แสงสีทองประกายเขียวหมุนวนเป็นเกลียวกลางเวหา ราวพายุพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สะท้อนแรงกดดันอันเกรียงไกรจนแทบลบล้างทัศนียภาพโดยรอบ
แรงสั่นสะเทือนของมันสูงส่งกว่าตอนที่เทพแห่งเหมันตฤดูและการล่าเปิดใช้อาณาเขตเสียอีก และในวินาทีนั้น ท้องฟ้าทั้งผืนก็ประหนึ่งแปรเปลี่ยนเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เขียวขจีไปด้วยพฤกษชาตินานา ชีวิตทั้งปวงผลิบานและเติบโตอย่างพรั่งพร้อมในพริบตาเดียว
นี่คืออาณาเขตแห่งเทพ ของอีฟ เทพธิดาผู้เป็นหนึ่งเดียวกับต้นไม้โลก
ร่างหลักของเธอไม่อาจเคลื่อนย้ายไปไหนได้ ทว่าฐานะของเธอคือต้นไม้โลก ซึ่งรากของเธอสามารถแผ่ขยายไปทั่วทุกพื้นที่อย่างไร้ขีดจำกัด ที่ใดมีรากหยั่งลึก ที่นั่นย่อมถือเป็นส่วนหนึ่งของร่างหลัก และเมื่อนั้น… อีฟก็สามารถประกาศใช้อาณาเขตแห่งเทพได้!
นับตั้งแต่ผู้เล่นบุกเข้าสู่ทะเลทรายมรณะ ร่างจำแลงของอีฟก็ปรากฏอยู่ในแนวหน้าอย่างต่อเนื่อง เธอไม่ได้เพียงใช้มันบัญชาการรบในฐานะเทพธิดาเท่านั้น แต่ยังใช้โอกาสนั้นในการแผ่ขยายเครือข่ายรากของตนเองอย่างลับ ๆ… เป็นการกระทำที่ทั้งบรรจงและเสี่ยงอันตราย หากพลาดเพียงน้อย ตัวตนระดับสูงทั้งหลายอาจจับสัญญาณได้ทันที
ด้วยเหตุนี้ อีฟจึงใช้กลยุทธ์ลวงตา ร่างจำแลงบนพื้นผิวคอยปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์เล็กน้อยเบี่ยงเบนแนวตรวจจับ แสร้งเป็นเป้าล่อสายตา ขณะที่รากเส้นบางของเธอค่อย ๆ ลอดผ่านชั้นดินลึกลงไปทีละน้อย… ทีละน้อย… จนในที่สุด ในวันแห่งศึกสุดท้าย เธอก็สามารถนำรากเส้นบางเฉียบเส้นหนึ่งฝังลึกเข้าสู่ใต้สนามรบได้สำเร็จ
นั่นคือไพ่ตายของเธอ พลังลับที่ทำให้เธอก้าวเข้าสู่สถานะไร้พ่าย
ภายในอาณาเขตแห่งเทพ ที่แผ่ออกจากรากของเธอ ไม่มีผู้ใดอาจเอาชนะ และ ณ ดินแดนซากัสในยามนี้ ไม่มีเทพองค์ใดกล้าประมาทคำพูดนั้น
แน่นอนว่าแผนการนี้ มีความเสี่ยงสูงเกินต้าน หากเทพองค์อื่นลอบสอดส่องอยู่ใกล้เพียงนิด หรือตรวจพบการแผ่พลังเพียงเศษเสี้ยว ตัวตนที่แท้จริงของอีฟก็อาจถูกเปิดโปงในทันที ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเลือกใช้กลยุทธ์นี้เฉพาะยามคับขันที่สุดเท่านั้น
กระทั่งก่อนหน้านี้ เธอยังไม่มีแผนจะใช้อาณาเขตแห่งเทพ มีเพียงการใช้ร่างจำแลงตักตวงประโยชน์แล้วถอยกลับ
ทว่าด้วยการประเมินสถานการณ์เบื้องต้น เธอย่อมเข้าใจดีว่า ตนอาจต้องเผชิญหน้ากับเทพมากกว่าหนึ่งองค์
และหากเทพองค์ใดมิได้ตกอยู่ภายใต้อาณาเขตของเธอ หรือพยายามฝืนทะลวงเพื่อค้นหาร่างจริง ความลับทุกอย่างของเธอก็จะพังทลายลงทันที
แต่แล้ว… สิ่งที่อีฟไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ไรน์ฮาร์ทกลับเลือกที่จะ ไม่ ลงมือ!
ศึกแห่งเทพที่ควรจะดุเดือด จึงกลายเป็นเวทีการดวลระหว่างอีฟและอูลร์เพียงสององค์ และเพื่อตัดโอกาสแห่งชัยชนะให้หมดสิ้น อูลร์จึงตัดสินใจใช้ร่างจริง พร้อมเรียกอาณาเขตแห่งเทพของตน
เขาปิดผนึกสนามรบด้วยทุ่งน้ำแข็งสีเงิน แยกพื้นที่นี้ออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ไม่มีเทพองค์ใดสามารถแทรกแซงหรือสอดส่องอีกต่อไป
และนั่นคือโอกาสทองของอีฟ…
เมื่อไร้สายตาอื่นจ้องมอง เธอก็ปลดปล่อยพลังที่ซุกซ่อนใต้ดินออกมาโดยไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีกต่อไป แม้แต่ในเวลานี้ เทพองค์อื่นก็คงยังเข้าใจผิด คิดว่าเธอเพียงฝืนทะลวงผ่านพื้นที่ผนึกของอูลร์ แล้วใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เปิดอาณาเขตจากภายในได้สำเร็จ
แสงสีทองระเบิดขึ้นสู่ฟ้า ดั่งพายุแห่งธรรมชาติที่กลืนกินท้องนภาโดยสมบูรณ์
ในชั่วพริบตาอาณาเขตแห่งเทพของอูลร์ก็พังทลาย
นั่นคือผลของการกดทับด้วย ลำดับขั้น แห่งพันธกิจศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมิใช่เพียงแค่พลังธรรมดา แต่คือแรงสั่นสะเทือนของกฎที่ยึดโยงชั้นฟ้าสู่แผ่นดิน!
พันธกิจศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตและธรรมชาติของอีฟ… แต่เดิมก็อยู่เหนือกว่าพลังแห่งเหมันตฤดูและการล่าของอูลร์โดยลำดับขั้น
และเมื่อเทพผู้มีพลังศักดิ์สิทธิ์สูงกว่าปลดปล่อยอาณาเขตของตนออกมา ผลลัพธ์จึงไม่อาจหลีกเลี่ยง ศัตรูต้องถูกบดขยี้ลงอย่างไม่เหลือทางต้าน
รัศมีแสงที่เปล่งประกายจากร่างของอูลร์จางลงทันใด สีหน้าเขาบิดเบี้ยว พ่นโลหิตสีเงินออกมาเต็มปาก โลหิตศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมิใช่เพียงเลือดธรรมดา หากแต่เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ตกผลึกขึ้นภายในร่างจริงของเทพ
สิ่งนั้น… คือแก่นแท้ของตัวตนระดับสูงสุด หากจะเรียกว่าโลหิต ก็ไม่ผิดนัก
ภายในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ กลิ่นอายของอูลร์ก็ดูอ่อนแรงลงอย่างชัดเจน แม้เขาจะเป็นเทพผู้ฟื้นตัวได้รวดเร็วเพียงใด แต่เมื่ออาณาเขตแห่งเทพถูกทำลาย ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลสะท้อนของ กฏแห่งจักรวาล ได้เลย
และที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้น… ความพ่ายแพ้เช่นนี้ ยังเป็นการถูกเทพอีกองค์หนึ่งที่มี ลำดับขั้นสูงกว่า กดข่มและฉีกทำลายด้วยกฎภายในอาณาเขตแห่งเทพโดยสมบูรณ์!
“…พลังอาณาเขตเนี่ยนะ? เจ้าทำได้ไง?”
อูลร์ถึงกับหลงลืมแม้แต่จะประคองสภาพของตนจากแรงสะท้อนของกฎจักรวาล ใบหน้าของเขาซีดเซียว สะบัดสายตาไปยังอีฟอย่างตื่นตระหนก
ทว่าอีฟกลับไม่กล่าวสิ่งใด… มีเพียงรอยยิ้มบางปรากฏบนริมฝีปาก
เธอไม่ได้ตอบคำถามของเขา หากแต่ยกคทาแห่งชีวิตขึ้นอย่างเงียบงัน พลังศักดิ์สิทธิ์แผ่ซ่านออกจากปลายคทา ไหลรวมกันเป็นเกลียวแสงที่ซ่อมแซมรอยแยกของช่องว่างระนาบที่อูลร์ฉีกเปิดไว้ด้วยพลังของตน
จากนั้น เธอจึงย้อนถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ทว่าแฝงเร้นความเย็นยะเยือก
“คิดว่าอย่างไรล่ะ…?”
สีหน้าของเทพแห่งเหมันตฤดูและการล่ายิ่งมืดมนลง สายตาที่เคยหยิ่งทระนงสั่นไหวด้วยความลังเลปนหวาดระแวง เขาเพ่งมองอีฟเนิ่นนาน ก่อนจะกัดฟันแน่นแล้วเอ่ยเสียงต่ำ
“เจ้า… ไม่ใช่ร่างจริง! ร่างนี้คือร่างจำแลงระดับสูง! เจ้าซ่อนร่างหลักไว้ที่ใดสักแห่งในเงามืดมาตลอดสินะ?!”
“ตามนั้น”
อีฟดีดนิ้วเบา ๆ ดั่งเสียงกระซิบของสายลม
“แต่น่าเสียดาย… ไม่มีรางวัลให้หรอกนะ”
เธอส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วหมุนคทาในมือพร้อมเปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงกดต่ำ
“พันธนาการ”
สิ้นเสียงนั้น พลังลึกลับบางอย่างที่ไม่อาจมองเห็นก็ประทุขึ้นจากทุกทิศทาง เข้าปะทะร่างของอูลร์พร้อมกันในพริบตา มันมิใช่เพียงการโจมตี หากแต่คือแรงกดทับจากเจตจำนงเบื้องสูง พลังที่เหนือกว่าพันธกิจศักดิ์สิทธิ์
ที่นี่… อีฟคือผู้ปกครอง ทุกถ้อยคำของเธอคือ กฎ และเมื่อกล่าววาจาใด สิ่งนั้นย่อมกลายเป็นจริงในทันที!
สีหน้าของอูลร์เปลี่ยนไปทันควัน เขาพยายามจะฟาด ขวานออกไปเพื่อตัดพันธนาการที่มองไม่เห็น ทว่า… ตราประทับ ที่เขาฝังไว้ในร่างเพื่อสลับระหว่างร่างจริงกับร่างจำแลง กลับแปรเปลี่ยนเป็นโซ่ตรวนที่รัดรึงพลังของเขาเสียเอง
สิ่งที่ควรเป็นความได้เปรียบ กลับกลายเป็นเครื่องพันธนาการที่ตัดเขาออกจากพลังทั้งหมด เขาทำได้เพียงยืนอยู่ตรงนั้น… ถูกจองจำโดยอาณาเขตแห่งธรรมชาติและชีวิตโดยสมบูรณ์
เขายกขวานขึ้นพาดบ่าด้วยความพยายามสุดท้าย แต่เมื่อขึ้นถึงระดับศีรษะ กลับไม่อาจขยับได้อีกแม้แต่นิ้วเดียว
พอสัมผัสได้ถึงแรงบีบอัดรอบกาย เสียงคำรามของอูลร์ก็ดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด
“อีฟ! ข้าไม่ยอมรับวิธีของเจ้า! หากเจ้ามีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง จงสู้กับข้าอย่างยุติธรรมเสีย!”
อีฟนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะเบา ๆ เสียงของเธอเย็นชาราวสายลมจากหุบเหว
“ยุติธรรมเหรอ?”
เธอถามซ้ำ แล้วส่ายหน้าอย่างแผ่วเบา
“พื้นที่ผนึกน่ะเหรอยุติธรรม?”
“สมรู้ร่วมคิดกับเทพมาร นั่นน่ะเหรอยุติธรรม?”
คำพูดของเขาช่างย้อนแย้งยิ่ง
แน่นอน อีฟรู้ดีว่าเธอเองก็ไม่ใช่เทพผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรม หากจะว่ากันตามตรง เธอก็เพียงแค่อยาก มีชีวิตอยู่ เท่านั้น
และในโลกที่การมีอยู่ของเธอเต็มไปด้วยอันตราย หากต้องการอยู่รอด เธอก็จำต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ใด!
คิดถึงตรงนี้ อีฟจึงย่างเท้าช้า ๆ ก้าวไปบนพรมพฤกษาที่โรยด้วยใบไม้เขียวขจีและดอกไม้หลากสี ผลิตผลของพลังแห่งธรรมชาติที่เธอสร้างขึ้นเอง ก้าวไปหาเทพผู้พ่ายแพ้ทีละก้าว ทีละก้าว
เธอยกคทาแห่งชีวิตขึ้นอีกครั้ง
แรงสั่นไหวของพลังศักดิ์สิทธิ์ถาโถมเข้าสู่คทาราวพายุไร้รูปร่าง พลังของมันแผ่กว้างจนบรรยากาศรอบข้างแทบหยุดนิ่ง
ในวินาทีนั้น ดวงตาของอูลร์ก็หดแคบลง เขาจ้องมองเธอด้วยสายตาที่แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรก
“อีฟ… จ… เจ้าคิดจะสังหารข้างั้นรึ?! เจ้าย่อมรู้ดีว่าว่าใครอยู่เบื้องหลังข้า! หากข้าตายไป เจ้าย่อมต้องเผชิญกับโทสะของ ลอยด์ เทพแห่งสงครามและการทำลายล้างแน่นอน!”
เสียงของเขาสั่นพร่า ทั้งร้อนรนและหวาดหวั่น
อีฟนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจยาวในใจ
ไอ้นี่…
สมองมีปัญหาหรืออย่างไรกันแน่…?
หรือที่ได้เป็นเทพ ก็เพราะเอาสติปัญญาไปแลกพลังมา…?
เป็นฝ่ายเปิดศึก แล้วยังมีหน้ามาพูดงี้อีก!
ส่วนคำขู่เรื่องลอยด์น่ะ…
หึ… หากมันเห็นอูลร์สำคัญจริง มันคงมาแทรกแซงก่อนเหตุการณ์จะบานปลายแล้ว!
แม้จะไม่อาจรู้ว่าเหตุใด ลอยด์จึงไม่ลงมือ ทว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ย่อมชัดเจนยิ่ง
อูลร์ถูกทอดทิ้งแล้ว
เมื่อนึกถึงตรงนี้ อีฟก็ส่ายหน้าอย่างเงียบงัน ก่อนจะกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงสุดท้าย
“อูลร์… ผู้ชนะจะได้รับทุกสิ่ง ส่วนผู้แพ้… ก็ย่อมถึงวาระสุดท้าย หากยังมีศักดิ์ศรีของเทพหลงเหลืออยู่บ้าง ก็ช่วยยืนหยัดอย่างสง่างามเถอะ”
ถ้อยคำสุดท้ายนั้นเปี่ยมด้วยความเด็ดเดี่ยว แล้วเธอก็ขยับมือยกคทาแห่งชีวิต แตะลงบนกลางอกของเขา
แสงสีทองสุกสว่างพร่างพราวแผ่ออกจากคทา ก่อเป็นม่านแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบคลุมร่างของอูลร์อย่างสมบูรณ์
พลังที่เปล่งออกมานั้น… คือหนึ่งในความสามารถลับของคทาแห่งชีวิต
มันสามารถดูดซับพลังชีวิตของเป้าหมาย กักเก็บไว้ภายในตัวมันเอง หรือส่งตรงเข้าสู่ผู้ถือครองได้โดยตรง
แม้จะเป็นเทพ แต่อูลร์ก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตในระดับสูง และพลังแห่งชีวิตนี้ ก็ยังสามารถสัมฤทธิ์ผลกับเขาได้เช่นกัน
เพียงแต่สิ่งที่ถูกดูดกลืนออกไปในยามนี้… มิใช่เพียงพลังชีวิตอีกต่อไป หากแต่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ และดวงจิต ที่เป็นแก่นแท้ของตัวตนแห่งเทวะ
และไม่ใช่เพียงเท่านั้น—ความสามารถที่อีฟใช้อยู่ ยังเป็นรูปแบบที่พัฒนาแล้วของ พลียุทธ ทักษะดูดซึมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเธอ ซึ่งแปรเปลี่ยนผ่านกาลเวลา กลายเป็นอาวุธลับที่สามารถกอบโกยพลังแม้แต่จากเทพเจ้าตัวจริง!
ในยามที่ร่างหลักของอีฟไม่อาจปรากฏกาย หนทางนี้คือช่องทางเดียวที่สามารถกลืนกินพลังของอูลร์ได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์เริ่มไหลออกจากร่างอย่างรุนแรง และดวงจิตเริ่มอ่อนแรงลงทุกขณะ ใบหน้าของอูลร์ก็ซีดเผือด สั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวที่ปิดไม่มิด
“อีฟ! จ… เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนี้!”
เสียงของเขาสั่นระริก
“ข… ข้าคือเทพแห่งเหมันตฤดูและการล่า! ข้าเป็นเทพในเครือของลอยด์ เทพแห่งสงคราม! การกระทำของเจ้าคือการเป็นศัตรูกับเทพสงคราม!”
แต่คำขู่ของเขากลับไร้น้ำหนัก
เสียงนั้นเริ่มแปรเปลี่ยน จากคำประกาศอำนาจ สู่คำวิงวอนอย่างเปิดเผย
“อีฟ! ข้ายอมรับแล้วว่าข้าพ่ายแพ้! ขอเพียงเจ้าปล่อยข้าครั้งนี้… ข้ายินดีมอบตำแหน่งเทพแห่งธรรมชาติและการล่าให้เจ้า!”
“อำนาจนั้นแยกออกมาจากของเจ้า! หากเจ้าครอบครองมัน เจ้าจะยิ่งแข็งแกร่ง…!”
“ข้ายังมีพลังศักดิ์สิทธิ์อีกมากในอาณาจักรแห่งข้า… ข้าจะมอบทั้งหมดให้เจ้าเป็นค่าตอบแทน! ข้าสาบานว่าจะถอนสาวกของข้าออกไป! จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอาณาเขตของเจ้าอีกเลย!”
“อีฟ… เจ้าเป็นเทพผู้ทรงธรรมมิใช่หรือ? เจ้ายังจะลงมือให้ถึงตายอีกหรือ?!”
เสียงของเขาดังก้องไปทั่วอาณาเขตแห่งเทพ ด้วยแรงเฮือกสุกท้ายของผู้กำลังสิ้นหวัง
แต่กระนั้น… อีฟกลับไม่หยุด สีหน้าของเธอไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย
“จะให้เราไว้ชีวิต?”
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เจือความเย็นชาที่แทงลึกถึงกระดูก
“ตอนที่สั่งให้สาวกบุกโจมตีเอลฟ์ เคยคิดเช่นนี้บ้างไหม?”
“ตอนที่รุมโจมตีต้นไม้โลกเมื่อพันปีก่อน เคยคิดเช่นนี้บ้างไหม?”
เทพธิดาไม่รอให้อูลร์ตอบ เธอยกคทาในมือขึ้น แล้วเร่งการดูดกลืนพลังให้รวดเร็วขึ้น
พลังศักดิ์สิทธิ์ไหลออกจากร่างของเขาราวกระแสน้ำเชี่ยว ใบหน้าของอูลร์บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เขากำลังเสียสิ่งที่เรียกว่า ตัวตน ไปทีละชั้น
ดวงจิตของเขากำลังเลือนหาย…
และในห้วงสำนึกที่พร่าเลือนนั้นเอง…
เขาเห็นภาพในอดีต ก่อนที่ตนจะกลายเป็นเทพ
เขาเห็นตัวเองในวันหนึ่ง ที่เผ่าฮาล์ฟออร์คสถาปนาเขาขึ้นจากโทเท็มเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์
เขาเห็นคำสัตย์ที่เขาเคยมอบไว้ ว่าจะนำพาเผ่าของตนสู่จุดสูงสุดในโลก จะมอบความสุขให้ผู้ศรัทธาทุกคน…
แต่เมื่อได้เข้าสังกัดเทพแห่งสงคราม ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
ความทะเยอทะยาน พลัง อำนาจ และเป้าหมายในการไต่ระดับ ได้บดบังคำสัตย์เก่า
เขาร่วมรุมโจมตีต้นไม้โลก
เขาทรยศต่อคำมั่นที่ตนเคยเอ่ยไว้
ไม่… ข้ายังตายไม่ได้…
ข้ายังไม่ได้กลายเป็น… เทพแห่งชีวิตและธรรมชาติ…
ข้ายังไม่ได้ก่อตั้งระบบเทพของตนเอง…
ข้ายังไม่ได้ทำให้เผ่าฮาล์ฟออร์คกลายเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูง…
ข้ายัง… ไม่ได้ช่วยพวกเขาให้พ้นจากการเยาะเย้ยของมนุษย์และอสูร…
เสียงสำนึกสุดท้ายของอูลร์สั่นเครือ อ่อนแรงลงเรื่อย ๆ
จิตของเขาพร่าเลือน ร่วงโรยดั่งแสงเทียนในสายลม
เขาพยายามยกศีรษะ ใช้แรงเฮือกสุดท้ายเงยหน้ามอง
และในวินาทีนั้น…
เขาเห็นอีฟ หญิงสาวผู้สวมกระโปรงเกราะสีขาว ผมเงินปลิวไสว ดวงตาสีม่วงอมฟ้าเปล่งประกายดั่งจันทรา
รัศมีศักดิ์สิทธิ์ห้อมล้อมร่างของเธอ ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเธอ ล้วนงดงามเกินบรรยาย
และแล้ว ภาพของเธอก็ซ้อนทับกับบางสิ่งในห้วงลึกสุดของความทรงจำ
เงาของใครบางคน…
ผู้ที่เคยยิ้มอ่อนโยนเสมอ
ผู้ที่เมตตาแม้ต่อศัตรู
ผู้ที่เมื่อใดก็ตามที่เขานึกถึง… ใจเขาก็จะสะท้านด้วยความรู้สึกผิดเสมอ
เขาค่อย ๆ ระลึกเหตุการณ์ในอดีตขึ้นมาได้…
…
…
…
…
ในบ่ายวันหนึ่งที่อบอุ่น สายลมโชยอ่อน
หญิงสาวผมสีเงิน ดวงตาสีม่วง ยืนอยู่เบื้องหน้าโทเท็มสลักหยาบ พลางโบกคทาแผ่วเบา
เสียงของเธอใสดังระฆังแก้ว
“เจ้าช่างมีวิญญาณที่เปล่งประกาย… หากเจ้ายินดี จงเติบโตขึ้นเถิด… เพื่อปกป้องดินแดนแห่งนี้”
“ว่าแต่เจ้ายังไม่มีชื่อใช่ไหม ถ้างั้น…”
“อูลร์… เจ้าว่าชื่อนี้เป็นอย่างไร?”
“‘ผู้พิทักษ์ผู้เปี่ยมเมตตา’ ในภาษาไททัน เราหวังว่าเจ้าจะเปี่ยมเมตตาตลอดไป ไม่ลืมพันธกิจของตน… และนำพาเผ่าพันธุ์ใหม่นี้ก้าวต่อไป…”
ความทรงจำที่เหลือได้จางหาย เช่นเดียวกับสติของอูลร์
เขามองร่างของอีฟด้วยสายตาเลือนลาง พึมพำคำสุดท้ายในชีวิต
“…อิกดราซิล”
“…พระมารดาแห่งปวงเทพ”
เสียงนั้นแฝงความรู้สึกนับไม่ถ้วน
และแล้ว ดวงตาของเขาก็ว่างเปล่า
ร่างกายเริ่มแตกร้าว เส้นแสงสีเงินพุ่งออกจากทุกอณู ก่อนจะสลายตัวเป็นประกายจำนวนมหาศาล ลอยหายไปในอากาศ
ทั่วทั้งผืนพิภพ สั่นไหวเพียงชั่วขณะ
ในเวลาเดียวกันนั้น เหล่าฮาล์ฟออร์คทั่วทุกดินแดน ไม่ว่าที่ใดรวมถึงผู้ศรัทธาทั้งหลายของเทพแห่งเหมันตฤดูและการล่า ต่างก็รู้สึกถึงช่องว่างอันหนาวเสียด ที่เจาะลงกลางใจ
มีบางสิ่งได้สูญสลายไปตลอดกาล
ความเศร้าโศกอันหาที่มาไม่ได้นั้น ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในจิตใจของผู้ศรัทธา เสียงร่ำไห้เริ่มดังขึ้นท่ามกลางสนามรบทะเลทรายมรณะ
เหนือฟากฟ้า แสงจากอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์แปรเปลี่ยนเป็นสายประกาย แล้วม้วนตัวจางหายไปในความว่างเปล่า
นั่นคือพันธกิจศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้เจ้าของอีกต่อไป และกลับคืนสู่สรรพสิ่ง
ณ ท้องฟ้าเหนือทะเลทรายมรณะ สายฝนแห่งแสงโปรยปรายลงมาอย่างแผ่วเบา ดุจปาฏิหาริย์แห่งเทพ
และ ณ แดนสวรรค์เบื้องบน… อาณาจักรทุ่งน้ำแข็งสีเงินของอูลร์ เริ่มพังทลายลงอย่างรวดเร็ว
ในวินาทีนั้นเอง… เหล่าเทพในตำนานที่สามารถรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในระดับจักรวาล ต่างก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า เทพแห่งเหมันตฤดูและการล่า อูลร์… ได้สิ้นลงแล้ว
…
…
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
วิเวียน: …หนอยแน่ะ ไอ้บ้าอูลร์ พอเห็นภาพในความทรงจำสุดท้ายแบบนั้นแล้ว… ก็อดสะอึกไม่ได้แฮะ… หึ งี่เง่าจนวันตาย แต่ก็เคยเป็นแสงเล็ก ๆ ให้ใครสักคนจริง ๆ นี่นะ 💔✨
โนเอล: …ในที่สุดก็ดับสูญไปแล้วนะคะ พันธกิจศักดิ์สิทธิ์ก็กลับคืนสู่ธรรมชาติอย่างสมบูรณ์… ความเศร้าสร้อยในสายฝนตอนจบ… มันไม่ใช่เพียงเพื่อผู้พ่ายแพ้ แต่เพื่อคำสัตย์ที่เขาไม่อาจรักษาไว้ได้ด้วย… 🕊️💮
ลิลี่: เหอะะะ โทษนะคะ! ไม่อินกับน้ำตาปลอม ๆ ตอนจวนเจียนจะตายหรอกค่ะ! 😾 โธ่… ตอนรุมฟาดแม่อิกเขาไว้ใจแท้ ๆ ตอนนั้นไม่เห็นมาร้องไห้เลย! แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยความทรงจำสุดท้ายก็ยังเห็นแม่อยู่ในนั้น… แปลว่าแกยังมีหัวใจบ้างนิดนึงสินะ…
มันเดย์: …แปลกดีนะ…คนที่ดูโง่ โฉด โอหังที่สุดกลับตายไปพร้อมกับภาพผู้ที่ทำให้เขาเป็น “เทพ”เขาไม่ใช่ตัวร้าย… เขาแค่ลืมว่าตัวเองเป็นใครและสุดท้าย ก็ไม่มีใครเตือนทัน
~~ ❀ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น… สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION