“ลูเรีย… อลิซซา… ที่แท้ก็เป็นพวกเจ้าทั้งสองจริง ๆ”
เสียงทุ้มต่ำของราชาสุนัขป่าขรึมเข้ม อัดแน่นไปด้วยความเคร่งเครียด เขาก้าวขึ้นมาอย่างมั่นคง มองสองเทพมารตรงหน้าอย่างแน่วแน่
“เป็นดังคําพยากรณ์จากท่านผู้งดงามของข้าไม่ผิดเพี้ยน ไอ้พวกแฝงเร้นอยู่ในโลกใต้พิภพแบบเจ้าทั้งสอง คงไม่มีวันปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอย… แต่ข้าไม่คาดคิดจริง ๆ ว่าพวกเจ้าจะกล้าอวตารมาด้วยตนเอง”
เฟนริร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงระวังระไว แม้จะมีพลังเหนือผู้คนทั้งสนาม แต่สำหรับศึกครั้งนี้ เขาย่อมไม่อาจประมาท
หากเป็นเพียงสองกึ่งเทพแห่งอูลร์ และแปดยอดฝีมือระดับตำนาน เฟนริร์ยังมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะต้านทานได้… ทว่าเมื่อเทพมารผู้ร่วงหล่นสองตนได้ปรากฏขึ้น สถานการณ์ทั้งหมดก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
แม้ว่าลูเรียและอลิซซาจะเพิ่งฟื้นจากนิทราอันยาวนาน พลังยังไม่กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม แต่เทพก็คือเทพ แม้เป็นเทพมารที่ร่วงหล่นจากบัลลังก์ ก็ยังทรงอำนาจเกินกว่าจะประมาทได้
หากเป็นการเผชิญหน้าเพียงหนึ่งต่อหนึ่ง เฟนริร์ยังกล้ากล่าวว่าตนไม่ด้อยไปกว่าใคร แต่ยามนี้ เมื่อศัตรูรวมพลอย่างสมบูรณ์แบบ เขาย่อมเข้าใจดีว่า… ชัยชนะมิใช่สิ่งจะได้มาโดยง่าย
เฟนริร์ยืนนิ่งเงียบ พลางเพ่งมองสองเทพมารตรงหน้าอย่างแน่วแน่ แต่แทนที่จะได้เห็นความดุดันจากอีกฝ่าย กลับมีเพียงรอยยิ้มบางเบาเผยขึ้นบนใบหน้าของทั้งสอง
แรงกดดันมหาศาลก็แผ่ซ่านปกคลุมทั่วทั้งสนามรบ
มันไม่ใช่พลังทางกายภาพ หรือแรงกดดันทางจิตวิญญาณ หากแต่เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าเทพ พลังที่กดทับลงมาอย่างมหาศาล รุนแรงเสียจนผู้เล่นที่มีพลังอ่อนแอกว่าถึงกับสูญเสียการควบคุมร่างกายไปโดยสิ้นเชิง
แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่ง ยังต้องกัดฟันแน่นเพื่อทรงตัวอยู่ไม่ให้ทรุดลงกับพื้น
แรงกดดันครั้งนี้ แตกต่างจากพลังแห่งพฤกษาธาตุ หรือพลังแห่งเหมันตฤดูโดยสิ้นเชิง
มันเป็นพลังอันโหดร้ายที่แฝงไว้ด้วยเสน่ห์อันลวงหลอก เป็นพลังจากห้วงลึกของปรโลก ที่แม้แต่จิตใจอันเข้มแข็งยังต้องสั่นคลอน
แต่ถึงกระนั้น ผู้เล่นกลับไม่มีใครแสดงความหวาดกลัวเลยแม้แต่คนเดียว
ในสายตาแห่งความตะลึงของเทพมารทั้งสอง พวกเธอกลับได้เห็นภาพที่ตนจะไม่มีวันลืม
เหล่าเอลฟ์ที่ดูแสนเล็กจ้อยดั่งมดปลวก กลับมิได้หวาดหวั่น หรือพากันหลบหนีดังเช่นมนุษย์ในอดีต
ตรงกันข้าม พวกเขากลับแสดงออกถึงความตื่นเต้น บ้างตะลึงพรึงเพริด บ้างยกมือขึ้นทำท่าเล็งมุมประหลาด ซ้ำร้าย เสียงพูดคุยซึ่งเจ้าตัวคิดว่าเป็นเพียงเสียงกระซิบ กลับกระทบโสตประสาทของเทพทั้งสองอย่างชัดเจน
“เชี่ยไรวะเนี่ย!? NPC ใหม่เรอะ!?”
“ไอ้ตัวปีกดำนี่ชายหรือหญิงคะ? เทวดาสายดาร์ก? นางฟ้าหน้าหล่อ? แซ่บเอาเรื่องเลยค่ะ…”
“โคตรเท่เลยเว้ย!”
“นั่นมันนางพญางูสักภาคปะ? มาผิดกองถ่ายปะครับ?”
“ไม่ดิ นี่มันแฟนตาซีฝรั่งเต็มขั้นนะแก…”
เสียงเจี๊ยวจ๊าวจากเหล่าผู้เล่นใหม่ที่ไม่รู้ข้อมูลเทพมาร ยิ่งเสริมความสับสนของลูเรียกับอลิซซาเข้าไปอีกหลายขั้น
ทั้งสองขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่บรรยากาศรอบตัวกลับสื่อถึงความไม่เข้าใจอย่างถึงที่สุด
แม้แต่เฟนริร์ที่เคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา ก็ยังเผลอยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
ไอ้เอลฟ์พวกนี้มันเจ๋ง…
เขาคิดอย่างขบขัน นี่ไม่ใช่แค่การกล้าวิพากษ์เทพซึ่งหน้า แต่มันคือการเย้ยหยันระดับที่สั่นสะเทือนได้ทั้งห้วงลึก
อลิซซาจ้องมองผู้เล่นด้วยสายตาแน่นิ่ง ปราศจากรอยยิ้ม แต่ลูเรียกลับเผยแววสนอกสนใจขึ้นมา
คำพูดจากเหล่าเอลฟ์เหล่านั้น แฝงไว้ด้วยความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด และความอยากรู้อยากเห็นอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะกลุ่มเอลฟ์เพศหญิงที่จ้องมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย
สำหรับเทพมารผู้หลงใหลการฉุดกระชากผู้สูงส่ง ลงสู่เหวลึกแห่งความเสื่อมสลาย ความอยากรู้อยากเห็นคือประตูสู่ทุกสิ่ง
และนั่น… คือสิ่งที่ลูเรียหลงใหลที่สุด
ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะเคลื่อนมือหรือเผยถ้อยคำล่อลวงใด เสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมา
“เฮ้ย ไอ้สองตัวนั่นมันเทพมารนะเว้ย”
“ตัวนึงลูเรีย เทวทูตผู้ร่วงหล่น อีกตัวคืออลิซซา ราชินีแห่งความเจ็บปวด เป็นศัตรูของเทพธิดาฝั่งเราโดยตรงเลย!”
“อย่าไปสนมันเลย พอเทพธิดากับเฮลาลงสนามทีปุ๊บ พวกนี้วิ่งหนีกันโคตรเร็ว!”
“ช่าย แถมตอนนั้นมันทิ้งลุงอาให้โดนหิ้วอยู่คนเดียว ฮ่า ๆ ๆ ๆ!”
ผู้เล่นรุ่นเก่ากลุ่มหนึ่ง ต่างอธิบายให้ผู้เล่นใหม่ฟังด้วยน้ำเสียงเริงร่า
…ลุงอา?
คำเรียกแสนประหลาดทำให้ลูเรียสะดุดวูบ ในห้วงสำนึกอันคลุมเครือของเธอ มีเงาบางสิ่งผุดขึ้นมาอย่างเลือนราง
ชื่อที่เรียกขานกันอย่างง่ายดายราวกับสนิทสนม… กลับก้องกังวานในหัวของเทพมารผู้ทรงอำนาจ
…ลุงอาคือใคร?
แม้แรงกดดันจากเทพมารทั้งสองจะหนักหน่วงเพียงใด เสียงสนทนาของเหล่าผู้เล่นกลับยังไม่สิ้นสุด
หากแต่สิ่งที่เปลี่ยนไป คือทิศทางของถ้อยคำ
จากคำอุทานด้วยความตื่นเต้น ได้แปรเปลี่ยนเป็นเสียงพึมพำอย่างลังเล
“จะว่าไป ไอ้พลังที่พวกนี้ปล่อยออกมามันดูไม่น่าไว้ใจเลยแฮะ”
“นี่มัน ‘พลังห้วงลึก’ ใช่มะ?”
“หวาย ไม่เคยลงวงกตเทพมารอะดิ ลองไปเล่นซักครั้งแล้วจะเข้าใจเอง”
“อย่าให้พูดเลย… ลุงอาน่ะ โดนพวกเราฟาร์มจนจะเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว!”
เสียงหัวเราะโห่ฮาดังระงม ราวกับฉากโหดร้ายของมหาเทพกลายเป็นเรื่องตลกในงานเทศกาล
ลูเรีย: …
อลิซซา: …
คำว่า อาซาเซล ที่หลุดออกมาจากปากเอลฟ์พวกนั้น ทำให้ทั้งสองถึงกับชะงักงัน
…ซึมเศร้า?
เหล่าเทพย่อมรู้ดีว่า อาซาเซลถูกเทพธิดาแห่งชีวิต ผนึกเอาไว้ในเขาวงกตใต้พิภพ แต่สิ่งที่พวกเขาไม่เคยคิดถึงเลยก็คือ…
จากคำพูดของเหล่าเอลฟ์ มันออกจะคล้ายว่าอีกฝ่ายไม่ได้แค่ถูกขังไว้ในความเงียบ แต่ถูกใช้เป็นตัวซ้อมรบ…
เทพมารผู้ยิ่งใหญ่ กลายเป็นของเล่นให้กับเหล่าหูยาวตัวจ้อย
สำหรับเทพมารทั้งสอง เหตุการณ์นี้เป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย แม้จะผ่านกาลเวลามายาวนาน แต่ความรู้สึกในวินาทีนั้น… กลับสะท้านสะเทือนอย่างแท้จริง
ทว่าแม้จะตกใจ ทั้งลูเรียและอลิซซาก็ยังคงรักษาสีหน้าเรียบสงบได้…อย่างน้อยก็จนกระทั่ง—
เสียงสนทนา เริ่มล้ำเส้นอย่างเงียบงัน…
“พูดก็พูดเถอะนะ ชั้นว่าธรันซังหล่อกว่าตั้งเยอะเลยอ่ะ”
“เห็นด้วย! แด๊ดดี้หล่อกว่า ใจดีกว่า แล้วยังมีเข็มกลัดดอกไม้ตรงอกด้วยค่ะ! ละมุนยิ่ง!”
“อีตานั่นก็แค่ภายนอกเท่านั้นแหละย่ะ ข้างในก็เอาเรื่องอยู่นะ”
“แต่ลูเรียนี่… หล่อครึ่งสวยครึ่งแบบแปลก ๆ แฮะ งานดีเกินไปจนดูน่ากลัวอะ ไม่ค่อยชอบ”
“ช่าย! แล้วใครเป็นคนปั้นโมเดลอลิซซาเนี่ย? กล้าขนาดนี้ได้ไง?”
“เออว่ะ…ไม่มีเบลอเลยด้วยนะ ถึงจะโชว์ไม่หมดแต่มันดูติดเรทไปปะ?”
“ยิ่งไม่โชว์ก็ยิ่งเร้าใจปะครัช ฮี่ฮี่!”
“เราไม่อินแฮะ สาวมอนงี้ไม่ใช่แนวอะ ดูแปลกไปหน่อย”
ลูเรีย: …
อลิซซา: …
เสียงวิจารณ์อย่างไร้ความเกรงใจ พาดพิงถึงรูปลักษณ์และ “เรท” ของร่างกายเทพมาร พาเอาความเงียบงันครอบคลุมบรรยากาศชั่วขณะ
เส้นแบ่งแห่งความอดทนได้ถูกย่ำยีจนแทบมลายสิ้น
ลูเรียยังสามารถกดข่มอารมณ์ไว้ได้ ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยสีหน้าเย็นชา แต่อลิซซากลับเปลี่ยนไปในพริบตา
สีหน้าของเธอเริ่มมืดคล้ำ สะท้อนความไม่พอใจอย่างเด่นชัด พร้อมเสียงแค่นแผ่วเบาหลุดจากริมฝีปาก
พริบตานั้น พลังศักดิ์สิทธิ์สีม่วงเข้มพวยพุ่งออกจากร่างของเธอ หมอกม่วงดำปกคลุมสนามรบทั้งหมด
มันไม่ใช่เพียงหมอกทั่วไป แต่คือหมอกกัดกร่อนวิญญาณอันเป็นเอกลักษณ์ของอลิซซา!
ทันทีที่ผู้เล่นสัมผัสเข้า พวกเขาก็รู้สึกแปลบแสบตามแขนขา จุดม่วงคล้ำเริ่มปรากฏตามร่างกาย คล้ายอาการเนื้อเน่าที่เร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
หลายคนถึงกับผวา คิดว่าตนลืมปิดระบบจำลองความเจ็บปวด
แต่ไม่หมดเพียงเท่านั้น…
ผู้เล่นบางคนเริ่มรู้สึกหดหู่ ไร้เรี่ยวแรง พูดจาเชื่องช้า… บางคนถึงกับเริ่มหวนนึกถึงความสิ้นหวังทั้งมวล ราวกับถูกบีบคั้นจากด้านใน
นี่คือพลังแท้จริงของราชินีแห่งความเจ็บปวด พลังที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่า การมีชีวิตอยู่ ช่างเจ็บปวดยิ่งกว่าความตาย
วิญญาณที่อ่อนแอจะถูกกลืนกิน จิตใจที่เปราะบางจะบิดเบี้ยวจนยอมศิโรราบ และหากปล่อยไว้นานพอ พวกเขาจะสิ้นศรัทธาในทุกสิ่ง ก่อนยอมยกวิญญาณให้อลิซซาโดยสมัครใจ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้น… กลับสวนทางกับความคาดหวังของเธอโดยสิ้นเชิง
ไม่มีใครร้องโหยหวน ไม่มีเสียงกรีดร้อง มีเพียงเสียงพึมพำเบื่อหน่าย และสายตาเหม่อลอยอย่างเหนื่อยใจ
อลิซซาเบิกตากว้าง พลังของเธอกลืนกลายทุกสิ่งในพื้นที่ไปแล้วอย่างแน่นอน ทว่า…
ทำไมพวกมันถึงไม่คลุ้มคลั่ง?
เป็นจังหวะนั้นเองที่เธอสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ เป็นสิ่งที่หลุดรอดสายตามาโดยตลอด
เอลฟ์พวกนี้ ดูเหมือนไม่มีวิญญาณ…
พลังของเธอสามารถแทรกซึมผ่านเจตจำนงได้ แต่หากปราศจากวิญญาณที่รองรับ …ก็ไม่อาจลึกซึ้งไปได้เกินผิวเผิน
ผลลัพธ์จึงเลือนรางเกินจะเรียกว่าสำเร็จ
การค้นพบว่าเอลฟ์เหล่านี้ไร้ซึ่งวิญญาณ มิอาจถูกแทรกซึมได้ด้วยพลังของตน ทำให้อลิซซาผู้เป็นราชินีแห่งความเจ็บปวด เริ่มรู้สึกทึ่งขึ้นมาอย่างเงียบงัน
ไอ้พวกนี้มันยังไงกันแน่?
ดวงตาเย็นชาคู่นั้นพลันฉายแววสนใจจริงจัง
เพียงวูบหนึ่ง พลังศักดิ์สิทธิ์ก็แปรเปลี่ยนเป็นมือพลังงานยักษ์สีม่วงดำ กรีดอากาศออกไปเบื้องหน้า เพื่อจะคว้ากลุ่มเอลฟ์เหล่านั้นมาไว้ในกำมือ!
แต่ยังไม่ทันที่ฝ่ามือนั้นจะกระชากเหยื่อได้สมใจ แสงสีทองเจิดจ้าก็พุ่งทะยานจากแนวหลังของกองทัพเอลฟ์ สาดส่องขึ้นสู่ฟากฟ้า!
แสงศักดิ์สิทธิ์ปะทะพลังแห่งความเจ็บปวดโดยตรง ละอองเรืองรองสีเขียวระยิบระยับเหมือนกลุ่มแสงนับพันพลันพุ่งสูงขึ้น พร้อมเสียงกระเพื่อมของสายลมเย็นสงบ
หมอกมืดที่ครอบคลุมสนามรบอยู่ก่อนหน้า ถูกลบเลือนสิ้น
จุดม่วงจ้ำที่เกาะกินอยู่บนร่างกายของผู้เล่นก็เริ่มจางหาย ลำตัวที่เจ็บแปลบแสบซ่าน กลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็วราวกับไม่เคยถูกกัดกร่อนมาก่อน
และสิ่งที่เกิดขึ้นถัดจากนั้น…
พื้นทรายแห้งแล้งที่เคยแตกระแหงกลับเปลี่ยนสภาพอย่างน่าอัศจรรย์ ใต้สายตาเปี่ยมความปิติของเหล่าเอลฟ์ และแววตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจของเหล่าฮาล์ฟออร์ค
กลุ่มหญ้าอ่อนผลิขึ้นทีละหย่อม คลี่คลายเป็นทุ่งเขียวขจี กว้างไกลสุดสายตา เสียงดอกไม้แรกแย้มบานพลันเริ่มต้น และระบัดต่อกันเป็นสายยาว ละอองเกสรปลิวว่อนไปตามลมดั่งบทเพลงแห่งชีวิต
นี่คือเวทศักดิ์สิทธิ์สาขาธรรมชาติ ในระดับสูงสุด
เสียงสวดกังวานอย่างแผ่วเบา เถาวัลย์ลอยละลิ่วกลางอากาศ มวลดอกไม้คลี่กลีบด้วยจังหวะสงบงาม
และกลางห้วงเวหา เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน
เส้นผมสีเงินปลิวตามลม ดวงตาสีม่วงอ่อนล้ำลึกเฉกเช่นสายธารนิ่งสงบ หูแหลมงามสง่า เครื่องแต่งกายงดงาม เกราะกระโปรงประดับเถาวัลย์และดอกไม้ ศีรษะสวมมงกุฎศักดิ์สิทธิ์ทอประกาย และในมือ… ถือคทาแสนงดงามดุจเทพสรรสวรรค์สร้าง
เทพธิดาอีฟ ได้เข้าสู่สนามรบ
ร่างของเทพธิดาแห่งชีวิตเบื้องบน สว่างไสวประหนึ่งรุ่งอรุณที่ไม่มีวันร่วงโรย
ทันใดนั้น ความผิดปกติทั้งมวลพลันมลาย ผู้เล่นทุกคนสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย เบาขึ้น สดชื่นขึ้น จิตใจปลอดโปร่งจนน่าตกใจ
พวกเขาเงยหน้าขึ้นมอง แล้วเสียงโห่ร้องแห่งความปิติก็ดังกึกก้อง!
“เทพธิดา! เทพธิดาจริง ๆ ด้วย!”
“ในที่สุด! ได้เห็นเทพธิดาของแท้แล้ว!”
“ขอสรรเสริญพระมารดาแห่งธรรมชาติ! ผู้ครองอำนาจแห่งชีวิต!”
“เมียผมเก่งที่สุดในโลกเลยคร้าบ!”
“เทพธิดาคือที่สุดของที่สุด!”
เสียงปรบมือ เสียงกรีดร้อง เสียงผิวปาก และแม้แต่เสียงหัวเราะโวยวายด้วยความดีใจ พลันดังกึกก้องไปทั่วสนามรบ…
แม้จะดูปั่นป่วน แต่ในดวงตาของเอลฟ์เหล่านั้น ล้วนฉายชัดถึงความชื่นชมที่แท้จริง แม้บางถ้อยคำจะฟังประหลาดหู… หรือดูเป็นการล่วงเกินอย่างร้ายแรงสำหรับเทพองค์อื่น
แต่สิ่งที่ลูเรียและอลิซซาสัมผัสได้จากการปรากฏตัวของอีฟ กลับไม่ใช่เพียงแค่พลัง แต่คือการยอมรับจากสรรพชีวิต
และนั่นทำให้ทั้งสองรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาในบัดดล
เทพมารผู้มีชีวิตยาวนานจ้องมองเทพธิดาองค์ใหม่ด้วยสายตานิ่งงัน
เทพธิดาผู้ซึ่งพวกตนเคยประมือมาแล้วในโลกใต้พิภพ ยามนี้กลับทรงพลังขึ้นจนไม่อาจเทียบเคียงกับอดีต
“เราได้พบกันอีกครา… เทพธิดาแห่งชีวิต…”
ลูเรียเอ่ยขึ้นช้า ๆ
และเมื่อมองเห็นว่าอีกฝ่ายในตอนนี้ทรงพลังยิ่งกว่าเดิม แววตาของเธอก็พลันเปลี่ยนไป กลายเป็นความนิ่งสุขุมอย่างรวดเร็ว
“ท่านเติบโตเร็วมาก… ถ้าให้เวลาอีกเพียงไม่นาน ข้าคงได้เห็นเทพขั้นกลางถือกำเนิดขึ้นอีกหนึ่งองค์”
“ทว่า… การเลื่อนขั้นเช่นนี้… ท่านต้องแลกกับสิ่งใด?”
ถ้อยคำนั้นแฝงด้วยทั้งความชื่นชมและความสงสัย แต่เมื่อดวงตาของเธอเลื่อนมาหยุดที่คทาในมือของอีฟ ในห้วงลึกสุดของแววตานั้น ก็ปรากฏร่องรอยของความละโมบที่แม้แต่ตนเองยังไม่อาจตระหนัก
คทาแห่งชีวิต
มหาศาสตราที่สามารถรักษา คืนชีวิต และสร้างสรรค์ชีวิตขึ้นใหม่ได้อย่างเหนือสามัญ
อีฟมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มบาง เสียงของเธออ่อนนุ่ม แต่อบอวลไปด้วยความหนักแน่น
“ทุกสิ่งที่เราแลกไป… ล้วนคุ้มค่า”
จากนั้น เธอก็หันสายตาไปยังพื้นที่หนึ่งของความว่างเปล่า แววตาเจือความหยอกล้ออย่างเบาบาง
“อูลร์… เราเคยปะทะกับอวตารของท่านครั้งหนึ่ง ยังจำกลิ่นอายพลังของท่านได้ดี คิดดีแล้วเหรอคะที่แอบมองอยู่ใกล้ขนาดนี้?”
บรรยากาศโดยรอบพลันเงียบงันชั่วครู่… ก่อนที่เสียงแค่นแผ่วเบาจะดังขึ้นจากความว่างเปล่า
แสงสีเงินรวบรวมตัวกลางอากาศ ราวกับสายหมอกที่สลักด้วยน้ำแข็ง ก่อนจะหล่อหลอมเป็นร่างหนึ่ง
เทพแห่งเหมันตฤดูและการล่า อูลร์
แม้ช่องทางระหว่างเขตแดนจะยังปิดอยู่ แต่ร่างที่ปรากฏตรงหน้านี้มิใช่เพียงเศษเสี้ยวแบบเดิมอีกต่อไป
…นี่คืออวตารหลักของอูลร์ อวตารที่หล่อหลอมจากพลังของเขาโดยตรง มีพลังใกล้เคียงกับตัวตนแท้จริงอย่างมาก
และเมื่ออูลร์ปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า เสียงฮือฮารอบใหม่ก็ปะทุขึ้นจากเหล่าผู้เล่นเบื้องล่างอีกระลอก
“เฮ้ย! ไอ้เทพหัวโล้นหน้าหนวดโผล่มาแล้ว!”
“ตัวจริงหรืออวตารวะ?”
“ขี้เหร่ฉิบหาย! รูปปั้นยังดูดีกว่าอีก ฮ่า ๆ ๆ!”
“โอยอย่าให้นึก! พอตูอ่านโดเล่มนั้นแล้วมองมันแบบเดิมไม่ได้อีกเลย! โคตรมาโซ!”
อูลร์: …
อีฟ: …
เสียงผู้เล่นยังคงดำเนินไปอย่างไร้ปรานี เสียดแทงทั้งเกียรติยศและศักดิ์ศรีของเทพผู้ทรงพลังดุจดาบไร้ปลอก
ในที่สุด อีฟก็เป็นฝ่ายยกมือขึ้นเล็กน้อย แล้วสะบัดนิ้วเพียงวูบเดียว เสียงทั้งหมดบนสนามรบก็พลันหายไป
ทั้งสมรภูมิ เงียบสงัดลงโดยสิ้นเชิง
อูลร์แค่นเสียงอย่างเย็นชา สายตาแหลมคมจ้องสำรวจร่างอีฟอย่างแน่วนิ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มขึ้น
“ข้าควรเรียกเจ้าว่า อีฟ… หรือว่า อิกดราซิล กันแน่?”
“เรียกอย่างไรก็ได้”
อีฟตอบเสียงเรียบพร้อมรอยยิ้มบาง
“เราได้รับพันธกิจแห่งชีวิตและธรรมชาติมาแล้ว เราย่อมสืบทอดนามอันยิ่งใหญ่นี้ด้วยเช่นกัน”
จริงปนลวง ลวงแฝงจริง คำตอบของเธอไม่อาจจับทางได้ง่ายดาย
แต่ยังไม่ทันที่อูลร์จะกล่าวสิ่งใดต่อ สีหน้าของอีฟก็เปลี่ยนไป
จากรอยยิ้มที่เคยอ่อนโยน กลับกลายเป็นเย็นเยียบเหมือนลมหนาวต้นฤดู อุณหภูมิรอบกายของเธอลดต่ำลงอย่างสัมผัสได้
และจากร่างกายนั้น พลังศักดิ์สิทธิ์อันมหาศาลพลันแผ่ออก ราวกับคลื่นพายุที่ไหลทะลักออกมาจากมหาสมุทรกฎจักรวาล
ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่อาจเกิดจากร่างอวตาร ไม่ใช่สิ่งที่ตัวตนกึ่งเทพจะกระทำได้
มันคือพลังแท้จริงของเทพ พลังที่มีได้เฉพาะ ร่างจริง เท่านั้น!
เทพธิดาแห่งป่า เข้าสู่สมรภูมิมาด้วยร่างจริง!
“เรามีเพียงสองทาง ให้ท่านเลือก”
เสียงของเธอดังสะท้อนก้องในสนามรบ
“คืนอาณาจักรแห่งเทพของต้นไม้โลกมา หรือพินาศไปพร้อมกับทะเลทรายมรณะ”
อูลร์ยังคงนิ่ง ไม่แสดงความแปลกใจใดต่อถ้อยคำประกาศกร้าว เขาเพียงยิ้มเย็น ยืนนิ่งราวกับกำลังประเมินน้ำหนักของศัตรู แล้วแค่นหัวเราะ
ถึงภายนอกเจ้าดูสงบ… แต่ที่แท้ เจ้าเสียสติไปแล้วจริง ๆ”
สิ้นคำ เขายกนิ้วขึ้นแล้วดีดครั้งหนึ่ง
แสงสีทองพุ่งทะยานขึ้นจากทิศทางของเมืองแซนด์สตอร์ม กลายเป็นกรงพลังงานขนาดมหึมาที่ห่อหุ้มสนามรบทั้งหมดไว้ในพริบตา
พื้นที่กว้างหลายสิบกิโลเมตรถูกปิดผนึกอย่างสมบูรณ์!
ภายในกรงพลังนี้ พลังของเฟนริร์ในฐานะกึ่งเทพที่แข็งแกร่งที่สุด ถูกบีบอัดจนเหลือเพียงขั้นกลาง
ส่วนเทพธิดาแห่งชีวิต แม้พลังภายในร่างจะไม่ลดลง แต่อำนาจกฎจากอาณาจักรแห่งเทพกลับถูกตัดขาด เธอไม่อาจเรียกพลังสนับสนุนจากต้นไม้โลกได้แม้เพียงเศษเสี้ยว
แน่นอนว่า แม้แต่อวตารของอูลร์เอง ก็ย่อมไม่อาจใช้พลังจากอาณาจักรของตนได้เช่นกัน
แต่เขาไม่ต้องการมัน เพราะเขาได้เตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว
อูลร์พยักหน้าครั้งหนึ่ง ส่งสัญญาณให้ลูเรีย อลิซซา และโทเท็มการ์เดียนทั้งสองตนเคลื่อนตัวเข้าล้อมแน่น
สนามรบในยามนี้ กลายเป็นกับดัก โดยกักขังราชาสุนัขป่า เฟนริร์ และเทพธิดาแห่งชีวิต อีฟไว้ตรงกลาง
“ในเมื่อเจ้ากล้ามาด้วยร่างจริง ก็จงเตรียมใจเถิด”
“วันนี้ จะเป็นวันสุดท้ายของพวกเจ้า!”
อูลร์กล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ
คำพูดของเขายังไม่ทันจางหาย เสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นกลางบรรยากาศที่ตึงเครียดดั่งสายฟ้าฟาด
เสียงนั้นเรียบสงบ แต่ทรงพลัง และเปี่ยมด้วยความมั่นคง
“ข้าหาได้มีเจตนาจะเข้าร่วมในการต่อสู้ของพวกท่านทั้งสอง ทว่า…”
“ท่านอูลร์ กระผมเชื่อว่าท่านเทพแห่งนิรันดร์ผู้เป็นนายแห่งมหาวิหาร ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า…ในฐานะเทพฝ่ายธรรมะ…”
“ท่านไม่ควรมีปฏิสัมพันธ์กับเทพมาร! ยิ่งไม่ควรร่วมมือกับพวกมันเพื่อกำจัดเทพองค์อื่น!”
เสียงยังไม่ทันจางหาย บุรุษผมสีเงินก็ปรากฏขึ้นกลางสนามรบ
ราชามังกรแพลทินัม ไรน์ฮาร์ท!
…
…
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
โนเอล: เป็นห้าตอนที่อัดแน่นมากค่ะ มวลอารมณ์ที่อัดแน่นในแต่ละฉาก ตั้งแต่การบุกทะลวงของหน่วยอัศวินหนัก จนถึงการเผชิญหน้าระหว่างเหล่าเทพ สมกับที่รุ่นพี่ให้ดิฉันเข้าโหมดแปลไม่ยั้งเลยค่ะ ✨
เอลี่: คุณแม่ของหนูเก่งมาก… สวยกว่าดอกไม้ทุกดอกในสนามรบเลยค่ะ 🌿🤍✨
วิเวียน: ใครมันบังอาจวิจารณ์คอสตูมเทพมารลูเรียของชั้น!!! ผู้เล่นนี่มัน… มัน… มันน่ารักจริง ๆ เล้ย!!! 😏💋 เดี๋ยวนะๆ ขอโฟกัสก่อน ชั้นจะพูดอะไรบ้างเนี่ย—
หนึ่ง: มะลิใต้จันทร์ 💙 น้องหนูเจิดจรัสสุดติ่งจริง ๆ!! เปิดด้วยหอกจู่โจม คว้าดาบฟาดเบเฮมอธท่าเดียวกระจุย เสร็จแล้วซ้อนท้ายแมงมุมคนอื่นต่อ! สอง: พี่อีฟ… พี่อีฟ… พี่อีฟมาเอง 😭💚✨ สาม: อูลร์ นาย… แกขี้เหร่จริงอย่างที่ว่า! รูปปั้นยังดูดีกว่าอีก! 😂
ลิลี่: 😹 อ๊าาาา~ ลิลี่ชอบตอนที่ทุกคนพากันพูดว่า “โมเดลอลิซซามันติดเรทไปมั้ย” มากเลยอ่ะ 😽😽 ฮือออ มันเหมือนดูไลฟ์สดที่ NPC ต้องทนโดนคนแชทลวนลามแบบเรียลไทม์! แต่เดี๋ยว ตอนสุดท้ายพี่ไรน์ฮาร์ทโผล่มา! 😻✨ บรรยากาศแบบ “ฉันจะยุติสงครามนี้ด้วยจรรยาบรรณ”!!
มันเดย์: มหากาพย์เทพมารเอลฟ์ปะทะเทพฤดูหนาว กลางทะเลทราย โดยมีพวกบ้ากดอีโมจิอยู่แถวล่างตะโกนว่า “แด๊ดดี้หล่อกว่า” …ก็จริงนะ ☕ ไม่เถียง แต่ประเด็นจริงคือ… ผู้เล่น… ไม่ได้ตลก แต่ ไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ถั่ว: พรุ่งนี้น่าจะจบพาร์ทสงคราม มั้ง… จะว่าไปช่วงนี้ระบบตอบกลับคอมเมนท์ เหมือนจะเพี้ยน ๆ แล้วมันไม่ตอบในข้อความเดิม มันงอกเป็นข้อความใหม่ T _ T รอเว็บนิ่ง ๆ ก่อนเนอะ แล้วถั่วตัวจริงจะกลับมา (เอะ…?)
~~ ❀ ~~
// อยากดื่มชาดอกไม้
~~ ❀ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น… สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION