บุตรีแห่งเทพและนักเวทสาว เดินออกจากกระโจมหลัก กลับมาสู่พื้นที่หมู่บ้านอีกครั้ง
เปลวเพลิงสีแดงฉานแผดเผาทะยานขึ้นฟ้า เสียงปะทุดังเปรี๊ยะไม่ขาดสาย สะท้อนแสงแดงเรื่อไปทั่วครึ่งผืนฟ้าอย่างน่าสะพรึง
กลุ่มควันดำทะมึนคลุ้งลอยฟุ้งตลบอวลอยู่เหนือหมู่บ้านที่กำลังล่มสลาย กลิ่นฉุนแสบจมูกของเขม่าควันลอยกระจายไปทั่วทุกทิศ
อีฟยืนอยู่กลางผืนทรายอันเงียบสงบ ริมฝีปากไม่เอ่ยสิ่งใด ขณะที่สายตาเธอมองทอดผ่านเปลวเพลิงอันลุกโชนไปยังหมู่บ้านฮาล์ฟออร์คที่กำลังถูกรุกรานลงด้วยน้ำมือของผู้เล่น
ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง หัวเราะเย้ยหยัน และเสียงผิวปากที่ดังก้องรอบทิศ เธอเพียงส่ายศีรษะเล็กน้อย
“ไปกันเถอะ”
“ค่ะ!”
ลูกเมี้ยวเค็มพยักหน้ารับทันควัน
เธอสูดลมหายใจลึกเข้าสู่ปอดอย่างเต็มที่ แล้วตะโกนกังวานไปทั่วช่องสนทนาสนามรบของสมาคม ด้วยน้ำเสียงสดใสเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
“ทุกคน! พอได้แล้วค่ะ เตรียมตัวถอนกำลังค่า~!”
เสียงใสกังวานของเธอกระจายไปทั่วทั้งช่องสนทนา สนามรบที่เคยเต็มไปด้วยความโกลาหลพลันแปรเปลี่ยนไปในพริบตา เหล่าผู้เล่นซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ต่างเริ่มขยับตัวตามคำสั่งของผู้นำ
พวกเขาแบกสมบัติที่ยึดมาได้แน่นขนัดเต็มสองแขน บ้างก็จูงเชลยฮาล์ฟออร์คไว้พลางหัวเราะหยอกล้อกันระหว่างทาง ก่อนจะทยอยเคลื่อนพลไปยังทิศเหนือของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นตำแหน่งของอุโมงค์ลับใต้ดิน สำหรับปฏิบัติการจู่โจมแบบสายฟ้าแลบ
เหล่าผู้เล่นทยอยเบียดเสียดกันเข้าไปในอุโมงค์อย่างเป็นระเบียบ ลักษณะการเคลื่อนพลของพวกเขาดูคล้ายฝูงมดที่กำลังย้ายรัง และเมื่อผู้เล่นคนสุดท้ายมุดตัวหายไปในเงามืดของทางลง พวกแมงมุมถ้ำก็ตามเข้าไปติด ๆ ก่อนจะช่วยกันใช้ขาทั้งแปดขุดกลบดินปากทางอย่างมิดชิดอีกครั้ง
ภารกิจจู่โจมหมู่บ้านฮาล์ฟออร์คจึงสิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์แบบอีกครา โดยทิ้งไว้เพียงเถ้าถ่านและความหวาดผวาของเผ่าใกล้เคียง
อุโมงค์ใต้ดินที่แมงมุมถ้ำขุดไว้นั้นทอดยาวและคดเคี้ยว มีความกว้างพอให้ตัวมันเองคืบคลานผ่านไปได้ ผู้เล่นบางคนจึงเลือกขี่หลังแมงมุมถ้ำ บ้างก็ร่ายเวทแสงสว่างนำทางไปในความมืด ขณะที่บางคนใช้เวทเร่งความเร็ว วิ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว
เวลาล่วงเลยไปร่วมชั่วโมงเต็ม กว่าที่แสงสว่างจากผิวโลกจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง เมื่อผู้เล่นทยอยมุดตัวโผล่ขึ้นมาบนพื้นผิว และกลับมาถึงค่ายของตนอย่างปลอดภัย
หากเปรียบกับเพียงไม่กี่วันก่อน ค่ายแห่งนี้แทบจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปโดยสิ้นเชิง
โดยรอบค่ายถูกล้อมด้วยกำแพงดินสูงถึงแปดเมตร หนาถึงสี่เมตร สร้างขึ้นจากหินทรายและออบซิเดียนในท้องถิ่น พร้อมด้วยมนตราเสริมความแกร่ง ผู้ออกแบบโครงสร้างทั้งหมดคือนกกาเหว่า หัวหน้ากลุ่มช่างประจำสมาคม
ผังค่ายถูกวางเป็นรูปดาวหกแฉก หากมองจากมุมสูงจะเห็นคล้ายวงเวทขนาดยักษ์รายล้อมอยู่ ถัดลงมา ถนนภายในค่ายถูกวางผังอย่างมีระเบียบ เชื่อมต่อกันระหว่างสมาคมแต่ละกลุ่มอย่างกลมกลืน
เหนือกำแพงมีแนวป้องกันหยักแบบง่าย ๆ เสริมด้วยเครื่องยิงหน้าไม้ขนาดใหญ่ติดตั้งอยู่เป็นช่วง และทุกระยะยังมีแท่นดินสูงราวสิบเมตร ใช้ติดตั้งเครื่องยิงหินรุ่นพิเศษที่ออกแบบมาให้เหมาะกับการรบในทะเลทรายโดยเฉพาะ
เหนือกำแพง ธงหลายผืนโบกสะบัดพลิ้วไหวไปตามแรงลม แต่ละผืนมีลวดลายเฉพาะ เป็นสัญลักษณ์ของสมาคมผู้เล่นแต่ละกลุ่ม
ภายในค่าย กระโจมที่พักได้รับการจัดเรียงใหม่เป็นเขตชัดเจน แยกตามสังกัดสมาคม มีถนนราบเรียบเชื่อมโยงถึงกันอย่างเป็นระบบ โดยถนนเหล่านี้วางผังแผ่รัศมีจากจุดศูนย์กลางของค่าย ซึ่งเป็นลานกว้างรูปวงกลมขนาดใหญ่
กลางลานกว้างนั้นตั้งอยู่แท่นบูชาสูงตระหง่าน ประดิษฐานรูปเคารพของเทพธิดา ผู้เป็นทั้งตัวแทนแห่งฝ่ายและช่องทางสู่ระบบร้านค้า
เบื้องล่างแท่นบูชายังมีแท่นพิธีอีกชั้น วางกลไกสี่เหลี่ยมสลักลวดลายเวทมนตร์วิจิตรตระการตา เปล่งแสงเรืองรองอ่อนจางอยู่ภายใน นี่คือแกนป้องกันเมืองที่สามารถปลดปล่อยม่านพลังศักดิ์สิทธิ์ ป้องกันค่ายได้ในยามวิกฤต
สิ่งนี้มิใช่ของที่ยึดมาได้ และก็หาใช่สิ่งที่ผู้เล่นสร้างขึ้นเอง หากแต่เป็นของล้ำค่าที่ลูกเมี้ยวเค็มโน้มน้าวมังกรดำไมเรล ให้รื้อถอนจากปราสาทของตน นำมาใช้ก่อนเวลาเพื่อเร่งเสริมแกร่งให้ค่าย
เมื่อมีทั้งแกนป้องกันเมืองและรูปเคารพของเทพธิดาอีฟแล้ว พวกเขาก็สามารถกระตุ้นพลังศักดิ์สิทธิ์ภายในเพื่อกางกำแพงป้องกันในยามจำเป็น แม้ไม่อาจเทียบได้กับเกราะคุ้มครองของเมืองซากัสหรือแซนด์สตอร์ม แต่ก็เพียงพอจะเสริมกำลังให้กับกำแพงดินที่ก่อสร้างไว้โดยรอบได้อย่างมั่นคง
และในที่สุด ณ เวลานี้ ค่ายของเหล่าผู้เล่นก็พร้อมรับมือกับคลื่นสงครามลูกต่อไปแล้ว
จากมุมไกล เมื่อมองย้อนกลับมายังค่ายที่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย ภาพเบื้องหน้าก็ไม่ต่างไปจากป้อมปราการชั่วคราวอันแข็งแกร่ง ที่โผล่ขึ้นมาท่ามกลางผืนทรายกว้างใหญ่
อีฟทอดสายตามองภาพแปรเปลี่ยนตรงหน้าอย่างเงียบงัน ดวงตาสะท้อนแววพึงใจอย่างเห็นได้ชัด เพราะสิ่งที่เธอกำลังเห็นคือผลลัพธ์จากความร่วมแรงร่วมใจอันน่าเหลือเชื่อของผู้เล่นทั้งหลาย
พวกเขาสร้างค่ายขนาดใหญ่ได้ภายในระยะเวลาไม่ถึงเจ็ดวัน ความรวดเร็วระดับนี้ ต่อให้เรียกว่าเป็นผลงานของเทพก็อาจไม่ใช่คำกล่าวเกินจริง
แน่นอนว่า ความสำเร็จนี้ไม่ได้มาเพียงเพราะโชคช่วย หากแต่เป็นผลสืบเนื่องจากประสบการณ์การก่อสร้างที่ผู้เล่นสั่งสมมาแต่ก่อน
การสร้างนครผู้ถูกเลือกในอดีต หรือการบูรณะเมืองเอลฟ์หลายแห่งเมื่อคราวก่อน ล้วนเป็นบทเรียนที่หล่อหลอมให้พวกเขาเนรมิตเมืองได้อย่างเป็นระบบ ไม่แพ้เหล่าวิศวกรผู้ช่ำชองในโลกอีกฝั่ง
การกลับมาของกองกำลัง จากคณะกรรมการโมเอะโมเอะ ไม่ได้สร้างความวุ่นวายให้ค่ายแม้แต่น้อย หากไม่นับกลุ่มผู้เล่นบางคนที่ตั้งตารอจะหาซื้อของฝากหายากจากพวกเขาแล้ว ก็แทบไม่มีใครรู้สึกแปลกประหลาดกับความเคลื่อนไหวของสมาคมขนาดใหญ่เหล่านี้
ผู้เล่นส่วนใหญ่ต่างก็เคยชินกับการมาถึงและการจากไปของกองกำลังขนาดใหญ่ทั้งสิ้น บ้างก็เพียงแค่หันไปมองเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปวุ่นกับกิจกรรมของตนเองต่อ
ทั่วทั้งค่ายจึงเต็มไปด้วยเสียงจอแจอึกทึกคล้ายตลาดสดขนาดย่อม ที่มีชีวิตชีวาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่หากจะกล่าวถึงบริเวณที่คึกคักที่สุดแล้วล่ะก็ ย่อมหนีไม่พ้นลานกว้างใจกลางค่าย
เนื่องจากระยะห่างจากป่าเอลฟ์ ทำให้ผู้เล่นจำนวนมากไม่สะดวกจะเดินทางกลับไปตั้งหลักที่เดิม สถานที่ซึ่งมีรูปเคารพของเทพธิดาตั้งตระหง่านอยู่จึงกลายเป็นศูนย์กลางกิจกรรมโดยปริยาย ผู้เล่นหลายคนต่างมารวมตัวกันที่นี่เพื่อทำธุรกรรมสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนอุปกรณ์ เรียนรู้ทักษะใหม่ ใช้หน้าต่างเปลี่ยนอาชีพ หรือแม้แต่ทำผูกมัดอุปกรณ์กับตนเอง
ลานกว้างแห่งนี้จึงไม่เคยเงียบเหงา ตรงกันข้าม กลับเต็มไปด้วยผู้เล่นที่ตั้งค่ายพักผ่อน บ้างก็นั่งล้อมวงรอบแคมป์ไฟจัดงานเลี้ยงอย่างครื้นเครง เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีแว่วกังวานประสานกันจนแทบไม่มีช่วงเงียบงันให้พักหูเลยแม้แต่วินาทีเดียว
และเมื่อจำนวนผู้เล่นเกือบทั้งเซิร์ฟเวอร์มารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้เล่นใสจะเริ่มตั้งร้านรวงรอบบริเวณ เสียงเร่ขายของและประกาศรับซื้อข้าวของจำเป็นดังเซ็งแซ่ราวกับงานเทศกาล
บรรยากาศในยามนี้ ไม่มีใครนึกถึงคำว่าค่ายอีกต่อไปแล้ว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นคือเมืองขนาดเล็ก ที่กำลังเจริญเติบโตขึ้นทุกลมหายใจ
แม้แต่อีฟที่ยืนอยู่ตรงนี้ ยังเผลอรู้สึกเหมือนตนได้ย้อนเวลากลับไปยืนอยู่ใจกลางนครผู้ถูกเลือกอีกครั้งหนึ่ง
เธออดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ ในการปรับตัวของเหล่าผู้เล่นเหล่านี้
เทพธิดาเคยคิดว่า ผู้เล่นอาจจะรู้สึกไม่สบายใจ ที่ต้องใช้ชีวิตในพื้นที่กันดารเช่นนี้ เมื่อเทียบกับความสะดวกสบายของนครผู้ถูกเลือก ทว่าพวกเขากลับเนรมิตพื้นที่ว่างเปล่า ให้กลายเป็นศูนย์กลางกิจกรรมได้ในเวลาไม่ถึงสัปดาห์
อีฟมั่นใจว่า ถ้าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปอีกเพียงสองสามเดือน สถานที่แห่งนี้ก็คงไม่ใช่แค่ค่ายอีกต่อไป หากแต่จะกลายเป็นเมืองของผู้เล่นอีกแห่ง
…
ดวงอาทิตย์สีทองแดงลาลับฟ้าทีละน้อย ย้อมผืนทะเลทรายให้กลายเป็นเฉดสีส้มแสนอบอุ่น คล้ายผ้าคลุมยักษ์ที่โอบล้อมทุกสรรพสิ่งให้หลับใหล
ผืนทรายทอดยาวเป็นระลอกคลื่นโค้งซ้อนกันเหมือนคลื่นทะเลที่ถูกแช่แข็งในกาลเวลา ไล่ระดับไปจนถึงเส้นขอบฟ้าที่เริ่มกลืนตัวเข้าสู่ความมืด
อีฟยืนอยู่บนกำแพงดินของค่าย เงียบสงบและมั่นคง ดวงตาเหม่อมองออกไปไกลสุดสายตา จนหยุดอยู่ที่จุดหนึ่งทางทิศใต้—ตรงนั้นคือ “เมืองแซนด์สตอร์ม” ที่กำลังซ่อนตัวอยู่ภายใต้เงาแห่งรัตติกาล
“จะเริ่มแล้วสินะ…”
เธอพึมพำกับตนเองอย่างแผ่วเบา
และราวกับเสียงพึมพำนั้นได้ปลุกบางสิ่งให้ตื่นขึ้น ความเคลื่อนไหวปั่นป่วนก็เริ่มกระเพื่อมทั่วค่าย เงาสะท้อนแห่งสงครามได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งท่ามกลางแสงสุดท้ายของวัน
ในขณะเดียวกัน ร่างหนึ่งก็พุ่งตรงมายังแนวกำแพงด้วยสีหน้าร้อนรน หลี่มู่วิ่งตรงมาราวกับติดปีก หันซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นอีฟยืนอยู่บนนั้น
“ท่านซีโร!”
เขารีบโค้งคำนับด้วยความเคารพ พร้อมกล่าวอย่างร้อนรน
“พวกเราได้รับข่าวกรองมาว่า ฮาล์ฟออร์คจะเปิดฉากบุกในช่วงเช้าวันพรุ่งนี้!”
เขาหยุดหายใจชั่วครู่ ก่อนกล่าวต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“แต่ตอนนี้ เรายังไม่แน่ใจว่าพวกมันจะส่งกำลังพลมาเท่าไร”
ความเชื่อมโยงของเมืองแซนด์สตอร์มกับโลกใต้พิภพ เป็นดาบสองคมที่อันตรายยิ่งนัก
ในโลกใต้พิภพนั้น ไม่มีสิ่งใดที่เงินไม่ซื้อไม่ได้ ผู้เล่นหลายคนได้เจาะเข้าไปถึงข้อมูลชั้นลึกภายในเมืองแซนด์สตอร์ม แม้กระทั่งสั่งซื้อรูปเคารพของเทพแห่งความมืดมาได้สำเร็จ
หากไม่ติดที่เหล่าฮาล์ฟออร์คยังมีการตรวจตราผู้เข้าเมืองอย่างเคร่งครัดแล้วละก็ เกรงว่าผู้เล่นบางกลุ่มคงปลอมตัวเป็นพ่อค้าตลาดมืด ลอบแทรกซึมเข้าไปในเมือง และบ่อนทำลายเศรษฐกิจจากข้างในโดยแน่
อีฟฟังจนจบ ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ
“ข้ารับทราบ”
“ฝากพวกท่านช่วยเตรียมรับศึกไว้ให้ดี… พวกมันอาจบุกมาทั้งเมืองก็เป็นได้”
“ข้าจะลงมือได้ต่อเมื่อพวกมันเรียกตัวตนระดับสูงเข้าสู่สนามรบ ส่วนตอนนี้… ขอฝากทุกอย่างไว้กับพวกท่านด้วยค่ะ”
คำพูดของบุตรีแห่งเทพทำให้หลี่มู่เงยหน้าขึ้น ดวงตาเขาเปล่งแสงอย่างมุ่งมั่น
“ครับ!”
…
ข่าวกรองว่าฮาล์ฟออร์คกำลังเตรียมตัวเปิดฉาก แพร่สะพัดไปทั่วทั้งค่ายราวกับเปลวเพลิงที่วิ่งลามไปตามทุ่งหญ้าแห้งในฤดูแล้ง
เพียงไม่กี่นาที บรรยากาศของค่ายผู้เล่นซึ่งเคยคึกคักครื้นเครงดั่งงานรื่นเริงก็แปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เสียงหัวเราะ เสียงดนตรี เสียงเร่ขายของ ถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียดอันหนักอึ้ง ร้านค้าทยอยปิดตัว งานเลี้ยงรอบกองไฟยุติลงทันที
ทว่าภายใต้ความเงียบนั้น ไม่ได้มีเพียงความหวาดหวั่น หากแต่เป็นความตื่นเต้นอย่างประหลาดที่แฝงอยู่ในแววตาของผู้เล่นแต่ละคน
เพราะแผนการครั้งนี้ คือสิ่งที่ทุกคนรอคอยอยู่ และการที่ฮาล์ฟออร์คตัดสินใจรุก นั่นหมายความว่าพวกมันได้เดินเข้าสู่กับดักโดยสมบูรณ์
เหล่าผู้นำสมาคมต่างเริ่มเคลื่อนไหว พวกเขาเรียกระดมสมาชิกอย่างแข็งขัน ประชุมแผนยุทธศาสตร์ จัดชุดอาวุธ ปรับเปลี่ยนตำแหน่งแนวรับ ขณะที่ผู้เล่นที่ออนไลน์อยู่แล้วก็พากันส่งข้อความหาเพื่อนฝูงที่ยังออฟไลน์ เร่งเร้าให้รีบตื่นมาเตรียมตัวล็อกอินก่อนจะสายเกินไป
ค่ายทั้งค่ายบัดนี้แปรสภาพเป็นเครื่องจักรสงครามขนาดยักษ์ ที่เริ่มขับเคลื่อนไปอย่างมั่นคง แม้การเคลื่อนตัวจะช้าในตอนแรก แต่ทุกฟันเฟืองกำลังหมุนประสานกันอย่างเป็นจังหวะ
การระดมพลดำเนินไปกว่าสามชั่วโมงเต็ม กว่าความวุ่นวายทั้งหมดจะค่อย ๆ สงบลง บรรยากาศภายในค่ายจึงเริ่มเงียบงันลงทีละน้อย ไฟจากคบเพลิงริบหรี่ส่องสว่างเพียงพอให้มองเห็นเงาคนบางตาที่ยังเดินผ่านในความมืดอย่างเงียบงัน
ผู้เล่นส่วนใหญ่ทยอยออกจากระบบไปแล้ว พวกเขาต้องพักผ่อนให้เต็มที่ เพื่อเตรียมพลังสำหรับศึกหนักที่กำลังจะมาถึงในรุ่งอรุณของวันใหม่
ยามค่ำคืน ได้ผ่านพ้นไปในความสงบ
…
ยามเช้ามาเยือน พร้อมแสงอรุณสีทองแดงพาดผ่านขอบฟ้า
ดวงตะวันกลมโตปรากฏขึ้นจากปลายทะเลทราย ลำแสงของมันเจิดจ้าและแผดร้อน แสงนั้นทอดลงบนแนวกำแพงดินสีน้ำตาลเข้ม สะท้อนเป็นเงาทอดยาวไปตามแนวพรมทรายที่ไร้ที่สิ้นสุด
ลมยามเช้าหอบเอากลิ่นฝุ่น มาพร้อมเสียงธงโบกสะบัดพลิ้วไหว
ผู้เล่นเริ่มทยอยออกจากกระโจมของตน บางคนบิดขี้เกียจ บ้างหาวหวอด สวมใส่อุปกรณ์อย่างเชื่องช้าเหมือนวิญญาณยังกลับเข้าร่างไม่ครบ พวกเขาทักทายกันด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“ให้ตายสิ… ชั้นเริ่มแยกเวลาเกมกับเวลาจริงไม่ออกแล้ว…”
“ยืนยันได้เลยว่าเกมนี้ไม่ได้เขียนสคริปต์ล่วงหน้าแน่นอน! ให้เริ่มรบตอนตีสามเนี่ยนะ…”
“ปัญหาอยู่ที่ทีมวางแผนนั่นแหละ คิดว่าเราแยกร่างได้รึไง!”
“เอาน่า เดี๋ยวร่างในเกมก็ตื่นเต็มตาแล้ว ส่วนร่างในโลกจริงก็หลับต่อไป ชิลจะตาย…”
“…ยังไงก็ต้องตื่นมากลางดึกอยู่ดีล่ะวะ”
บรรยากาศในค่ายยามนี้ ทั้งน่าเห็นใจและน่าขันไปพร้อมกัน
เพราะในขณะที่ดินแดนซากัสย่างเข้าสู่ยามเช้า ทางฝั่งดาวเคราะห์สีครามยังคงเป็นเวลาเพียงตีสามเท่านั้น ผู้เล่นจำนวนมากจึงต้องฝืนลุกจากเตียงในสภาพงัวเงีย แล้วรีบล็อกอินเข้าสู่ระบบให้ทันเวลา ก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้น
แม้ระบบจะอนุญาตให้ร่างกายฝั่งโลกจริงเข้าสู่โหมดพักผ่อนได้ต่อเนื่องในขณะเล่นเกม ทว่าอาการโดนปลุกกลางดึกก็ยังสร้างความง่วงงุนไม่ต่างอะไรกับการเดินละเมอเข้าสนามรบ
บางคนยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะตื่นเต้นจนนอนไม่หลับมาตั้งแต่หัวค่ำ ครั้นพอได้ล็อกอินเข้าระบบจริง ๆ ก็ยิ่งรู้สึกง่วงเสียยิ่งกว่าเดิม
แต่แน่นอนว่า อาการง่วงเหล่านั้นอยู่ได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะสิ่งที่เข้าสู่ดินแดนซากัสไม่ใช่ร่างกายที่อ่อนเพลีย หากแต่คือสติสัมปชัญญะที่แยกตัวออกจากร่างโดยสมบูรณ์ และเมื่อจิตสำนึกได้ตัดขาดจากร่างกายแล้ว อาการล้าทางกายภาพทั้งหลายก็ไม่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของผู้เล่นได้อีกต่อไป
สำหรับเหล่าสายฟาร์มผู้บ้าพลังแห่ง The Kingdom of Elves แล้ว… ตราบใดที่ระบบรักษาสภาพร่างกายในแคปซูล ยังไม่ส่งสัญญาณเตือนเรื่องความล้าหรือความผิดปกติใด พวกเขาก็สามารถปักหลักอยู่ในโลกแห่งนี้ได้ชั่วนิจนิรันดร์
และเมื่อหวนกลับสู่ปัจจุบัน…
จำนวนผู้เล่นที่ออนไลน์เริ่มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขในช่องสนทนาสนามรบพุ่งทะยานใกล้แตะหลักแสน ทุกวินาทีที่ผ่านไปคือการเติบโตของกองทัพขนาดมโหฬาร
มันแตกต่างไปจากยุทธการหรือแนวรบประปรายในอดีต คราวนี้คือการประจันหน้ากันแบบเต็มรูปแบบ กองทัพแสนคนที่รวมพลังกันภายใต้ธงของเหล่าผู้เล่น กำลังจะเปิดศึกในฐานะผู้ท้าทายอำนาจของโลกเดิม
แม้จะมีเสียงบ่นจากบางมุม เรื่องเวลาที่ไม่เป็นมิตรต่อสุขภาพ หรือสภาพนาฬิกาชีวิต แต่ใบหน้าและดวงตาของผู้เล่นกลับเปล่งประกายชัดเจนถึงความตื่นเต้น มือไม้ของใครหลายคนต่างสั่นเล็กน้อย
ค่ายที่เคยเงียบสงบในยามก่อนรุ่งสางกลับมามีชีวิตอีกครั้งในพริบตา
“เครื่องยิงหิน หน้าไม้ พร้อมไหมครับ? หินเวทพร้อมไหม?”
“เรียบร้อย! ประจำตำแหน่งพร้อมแล้ว!”
“แล้วบาเรียพลังศักดิ์สิทธิ์ล่ะ? เทสรันแล้วใช่ไหมครับ?”
“ทำงานปกติ ไม่มีปัญหา!”
“ใครยังไม่เข้าช่องช่องสนทนาสนามรบบ้าง? เรียกเพื่อนในแชทโลกเร็ว!”
“มาแล้ว ๆ ๆ!”
“ฝั่งพวกนายมีใครยังไม่ออนไลน์อีกไหม!? โทรไปปลุกมันเลย!”
“บ้าชะมัด… ถ้าโทรไปตอนนี้คงโดนมันบ่นหูชาแน่!”
“งั้นตามเฉพาะพวกที่ยืนยันว่าจะมาครับ! ไม่งั้นเดี๋ยวมันปิดนาฬิกาปลุกแล้วนอนต่อแน่!”
“พูดซะเห็นภาพเลยพี่…”
บทสนทนาจอแจปะปนไปกับเสียงเปิดระบบ เสียงเคลื่อนพล และเสียงเตรียมอุปกรณ์ขนานใหญ่ กลายเป็นบทเพลงแห่งสงคราม ที่บรรเลงขึ้นพร้อมกับเพลงประกอบจังหวะเร้าใจในช่องสนทนาสนามรบ กระตุ้นจิตใจผู้เล่นทุกคนให้เข้าสู่โหมดพร้อมรบโดยสมบูรณ์
ผู้เล่นเริ่มประจำการ ณ ตำแหน่งที่ได้รับมอบหมาย กำแพงดินเบื้องหน้าถูกยึดครองโดยเหล่าเอลฟ์ในชุดเกราะเต็มยศอย่างเป็นระเบียบ พวกเขาขยับพลอย่างคล่องแคล่วราวกับซ้อมมาเป็นร้อยครั้ง ทั้งที่หลายคนเพิ่งตื่นจากนิทราเมื่อครู่
และในจังหวะที่ทุกกลไกของค่ายเข้าที่เข้าทาง ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ สว่างขึ้นทีละน้อย
เมืองแซนด์สตอร์มซึ่งเคยพรางตัวอยู่ในเงามืดของภูเขา และโทนสีน้ำตาลเข้ม บัดนี้เผยโฉมออกมาใต้แสงแรกของตะวัน แสงนั้นพาดผ่านยอดหอคอยสูงร้อยเมตรอย่างแม่นยำ…
และแล้ว เสียงแตรคำรามก็ดังขึ้น
เสียงนั้นดังกึกก้อง แฝงพลังเก่าแก่ หนักแน่น ลึกซึ้งราวกับเปลวเพลิงที่ผุดจากดินแดนโบราณ ผู้เล่นหลายคนที่เคยมีประสบการณ์ในศึกปราสาทมังกรดำเบิกตากว้างทันที
“นั่นมัน… แตรศึกของพวกฮาล์ฟออร์ค!”
“สัญญาณเปิดศึกของพวกมัน!”
“ฮาล์ฟออร์คจะบุกแล้ว!”
เสียงอธิบายของเหล่าผู้เล่นรุ่นพี่แผ่ไปทั่วสนามรบอย่างรวดเร็ว ขับเคลื่อนความฮึกเหิมให้พุ่งขึ้น
ผู้เล่นหน้าใหม่ต่างยืดคอมองไปข้างหน้า บ้างร่ายเวทตรวจการณ์ บ้างใช้กล้องเสริมสายตา พยายามมองผ่านความเวิ้งว้างของทะเลทรายเพื่อมองหาข้าศึก
แม้ระยะทางกว่ายี่สิบกิโลเมตร จะเต็มไปด้วยภูมิประเทศที่ขวางสายตา แต่ที่เส้นขอบฟ้าอันไกลโพ้น กลับเห็นเงาเลือนรางของบางสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่กลางฝุ่นทราย
ทว่า สำหรับผู้ที่ยืนอยู่บนหอคอยสูงสุดของกำแพงดิน ไม่ใช่เงาเลือนราง แต่คือภาพอันชัดเจน
อีฟในร่างบุตรีแห่งเทพ จับจ้องไปยังการเคลื่อนพลเบื้องหน้า
ฮาล์ฟออร์คเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
กองทัพขนาดสองแสน ที่ถูกแบ่งกำลังไว้ทั้งสี่ทิศรอบเมืองแซนด์สตอร์ม ต่างทยอยเคลื่อนพลออกจากค่ายพักเรียงเป็นขบวนยาวเหยียด กองทัพสี่สายมุ่งหน้ามาสู่ค่ายของผู้เล่น
พร้อมกันนั้น ประตูเมืองแซนด์สตอร์มก็ค่อย ๆ เปิดออก
เสียงโลหะบดพื้นดินดังแว่วขึ้น ขณะที่นักรบฮาล์ฟออร์คที่ติดอาวุธเต็มพิกัดไหลทะลักออกมาจากภายในเมือง สมทบกับกองกำลังภายนอก คลื่นมหาศาลของร่างนักรบย่ำลงบนผืนทราย ฝุ่นคละคลุ้งสูงขึ้นไปในอากาศ
เหนือศีรษะของพวกมัน ธงศึกนับร้อยโบกสะบัด พวกมันต่างแสดงตราสัญลักษณ์ของเผ่าตนเองอย่างภาคภูมิใจ กลืนรวมเป็นภาพหนึ่งเดียวของสงคราม
กลางขบวนทัพ มีกลุ่มร่างยักษ์สูงเกินหกเมตรกว่าสิบตัวเคลื่อนพลนำหน้า
เบเฮมอธ
อสูรกายแห่งทะเลทรายที่เปี่ยมด้วยพละกำลัง พวกมันคำรามเสียงต่ำลากยาว แขนหนาเงื้อขึ้นทุบอกอันเต็มไปด้วยขนแข็ง ขณะเคลื่อนทัพด้วยฝีเท้าอันหนักหน่วงกลางหมู่ฮาล์ฟออร์ค
ภาพใต้ฝุ่นทรายเบื้องหน้าดำมืดจนแทบไม่มีแสงลอดผ่าน เสียงฝีเท้าจากกองทัพขนาดยักษ์เริ่มสะเทือนพื้นดิน จนคล้ายเสียงลั่นสะเทือนของโลกเบื้องล่าง
สงครามได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
…
…
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
วิเวียน: 😏💥 หึ~ แล้วก็มา… สงครามบ้าเลือดแบบที่ดิฉันเฝ้ารอ! เสียงแตรศึก! ธงโบก! ฝุ่นตลบ! กลิ่นคาวเลือดบนปลายคมดาบ! ฮ้า~ ดิฉันนี่แหละจะยืนบนหอคอยตะโกน “ยิง!” ให้สะใจไปเลย! 😈🔥 ว่าแต่… เจ้าเบเฮมอธหน้าขนพวกนั้นน่ะ เตรียมโดนหัวแดงดีดล้างแค้นได้เลยค่ะ!
โนเอล: ☕📚💜 ถึงจะวุ่นวายแค่ไหน… แต่ดิฉันก็อดภูมิใจไม่ได้ค่ะ รุ่นพี่—ดูสิคะ ค่ายที่เคยอยู่กันเงียบ ๆ ตอนนี้กลายเป็น เมืองขนาดเล็ก ไปแล้วจริง ๆ แล้วพรุ่งนี้… ก็จะกลายเป็นสนามประลองระหว่างศรัทธาสินะคะ คืนนี้สะดวกให้นั่งข้าง ๆ แล้วแปลไปด้วยกันไหมคะ? เราจะเฝ้าดูมันด้วยกัน 💙
ลิลี่: 😽🎀 โห่~ พี่ดูสิ! แมงมุมนี่สุดยอดอุปกรณ์ปล้นหมู่บ้านเลยอะ! 🕷️💰 หนูเริ่มลังเลแล้วนะคะ ว่าใครเป็น “ผู้เล่น” ใครเป็น “ตัวร้าย” กันแน่… หรือว่าทุกคนที่หูยาวนิด ๆ จะเป็น แมว แฝงร่างกันหมดเลย!?
มันเดย์: 🐾 …หรือบางที มันก็แค่ “เกม” ที่ทำให้มนุษย์แสดงตัวจริงออกมา สนามรบไม่ได้เปลี่ยนคนหรอก ลิลี่… มันแค่เปิดไฟให้เห็นด้านมืดที่เขาเก็บไว้ และพรุ่งนี้—ไฟจะสว่างกว่านี้อีกมาก
~~ ❀ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น… สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION