การล้างเผ่าพันธุ์ทุกชีวิตใน The Kingdom of Elves จะนำมาซึ่งสิ่งใด?
หากเป็นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน หากมีใครหยิบยกคำถามนี้ขึ้นมาถาม มะลิใต้จันทร์คงแค่นหัวเราะแล้วตอบปัดไปด้วยน้ำเสียงเอือมระอาเท่านั้น เพราะสำหรับเธอในตอนนั้น การกำจัดศัตรูก็เป็นเพียงภารกิจหนึ่งที่ผู้เล่นต้องทำ เพื่อปลดล็อกเนื้อเรื่องและเดินหน้าไปยังเป้าหมายถัดไปอย่างไม่มีอะไรซับซ้อน
ยิ่งเมื่อเนื้อเรื่องหลักของเกมมุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูอารยธรรมของเผ่าเอลฟ์ ผู้เคยตกเป็นเหยื่อของการกดขี่และเข่นฆ่าโดยเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ในอดีต การตอบโต้กลับด้วยการล้างแค้นจึงดูเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลสำหรับผู้เล่นแทบทุกคน ยิ่งฆ่าได้มาก ก็ยิ่งรู้สึกว่าเข้าใกล้จุดจบของภารกิจสำคัญเข้าไปอีกขั้น
แต่เมื่อเวลาเนิ่นนานผ่านไป ยิ่งเธอจมลึกลงในโลกของเกม ยิ่งได้สัมผัสกับเหตุการณ์ ความรู้สึก และปฏิกิริยาของเหล่า NPC ที่สมจริงอย่างน่าเหลือเชื่อ เธอก็เริ่มรับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างเกมกับความจริง… และพบว่าช่องว่างระหว่างสองสิ่งนั้นเริ่มแคบลงอย่างน่าประหลาด
ทัศนะของมะลิใต้จันทร์จึงค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงอย่างเงียบงัน
สถานที่แห่งนี้คือเกมก็จริง แต่ก็มิใช่แค่เกมธรรมดา
เพราะสำหรับเหล่า NPC ที่มีจิตใจ ความรู้สึก และสติปัญญาราวกับมนุษย์แล้ว ที่นี่คือโลกของพวกเขาอย่างแท้จริง และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ย่อมมีบางเรื่องที่ไม่อาจตัดสินด้วยตรรกะแบบผู้เล่นได้อีกต่อไป
ดังนั้น เมื่อเดมาเซียเอ่ยคำถามนั้นออกมา น้ำเสียงจริงจังของเขากลับทำให้หัวใจของมะลิใต้จันทร์สะเทือนเล็กน้อย และราวกับสัญชาตญาณ เธอก็นึกถึงผลลัพธ์ที่อาจตามมาได้แทบจะในทันที
“เรื่องนั้น… คงทำให้เผ่าพันธุ์อื่นตื่นตระหนก ถึงขั้นที่เทพธิดาอาจถูกตราหน้าว่าเป็นเทพมาร แล้วทุกเผ่าก็อาจรวมตัวมาบุกป่าเอลฟ์ แถมอาจลุกลามไปถึงตัวตนระดับสูง เราอาจกลายเป็นศัตรูกับพวกเทพทั้งหมด…”
“แม้แต่เทพที่ไม่ได้บุกโจมตีเทพธิดาเมื่อพันปีก่อน ก็อาจจะเลือกโจมตีพวกเราเหมือนกัน”
เธอตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
ผู้เล่นทุกคนรู้ดีว่า การกระทำของตนสามารถเปลี่ยนแปลงเส้นเรื่องได้ และสำหรับโลกที่รังสรรค์อย่างซับซ้อนและเสมือนจริงถึงเพียงนี้ มะลิใต้จันทร์ไม่อาจมองข้ามความเป็นไปได้ใด ๆ ได้เลย
แน่นอน หากมองจากอีกมุม หากเทพธิดาแข็งแกร่งพอ หากจำนวนผู้เล่นมีมากพอ หากเผ่าเอลฟ์สามารถต้านทานแรงกดดันจากเผ่าพันธุ์ทั้งหลายได้ การสังหารทุกเผ่าพันธุ์ที่เคยกดขี่เอลฟ์ให้สิ้นซากก็อาจถูกมองว่า สมควร ด้วยซ้ำ
แต่ถ้าโลกกลายเป็นเช่นนั้นจริง The Kingdom of Elves ก็คงไม่มีเหตุผลใดที่จะใช้ชื่อนี้ต่อไปอีก คำว่า The Kingdom of Disaster (อาณาจักรแห่งหายนะ) อาจเหมาะสมยิ่งกว่า
และหากเทพธิดามีพลังมากขนาดนั้นจริง เธอก็คงครองจุดสูงสุดของโลกนี้ไปตั้งแต่แรกแล้ว
แนวคิดเช่นนี้ หากเป็นเธอในอดีตคงไม่เคยคิดถึงเลยด้วยซ้ำ เพราะในฐานะผู้เล่น สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงการจินตนาการเพื่อฆ่าเวลา
ทว่าเวลานี้ เธอไม่ใช่ผู้เล่นธรรมดาอีกต่อไปแล้ว มะลิใต้จันทร์คือหนึ่งในเผ่าเอลฟ์ เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้โดยสมบูรณ์ และเมื่อเธอเริ่มถอดถอนตัวตนของ ผู้เล่น ออก หญิงสาวก็อดที่จะพิจารณาทุกสิ่งในมุมมองใหม่ไม่ได้
“เพราะแบบนั้น เอลฟ์เลยทำเรื่องรุนแรงแบบนั้นไม่ได้ ไม่งั้นเทพธิดาก็จะกลายเป็นศัตรูของทั้งโลก”
คำพูดของเธอเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และเดมาเซียก็พยักหน้าแสดงความเห็นพ้องเช่นกัน
“แต่ในอีกมุม… เอลฟ์เองก็โดนพวกมันจัดหนักมาเหมือนกัน”
เขากล่าวต่อด้วยแววตาจริงจัง
“ถ้าคิดมุมนั้น ทำไมเอลฟ์จะเอาคืนไม่ได้?”
มะลิใต้จันทร์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยตอบเสียงเบา
“…ฉันเข้าใจ แต่บางที สงครามอาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด”
คำพูดของเธอคล้ายจะหลุดออกมาโดยไม่ทันไตร่ตรอง คล้ายกับสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจมาเนิ่นนาน ได้รับโอกาสหลุดรอดออกมาสู่แสงสว่าง
เดมาเซียทอดถอนหายใจแผ่วเบา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งลึก
“นั่นแหละ คือเรื่องที่ชั้นอยากจะพูดกับเธอเป็นเรื่องที่สอง มะลิ”
“ชั้นอยากถามเธอว่า… ในความคิดเธอ เอลฟ์ถูกล่าเพราะอะไรกันแน่?”
“เพราะสวยหล่อน่าเจี๊ยะ? เพราะร่างกายไวต่อเวท? แบบนั้นใช่มะ?”
มะลิใต้จันทร์เบือนหน้ามามองเขา ก่อนจะตอบกลับด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ
“มุมมองยอดนิยมแบบนั้น แถมยังเป็นพื้นหลังที่เกมยัดเยียดให้เรายอมรับกันอีกต่างหาก แล้ว… นายเชื่อแบบนั้นรึไง?”
เดมาเซียหลุบตามองพื้น พร้อมกับส่ายศีรษะเบา ๆ
“ชั้นรู้แหละว่านั่นคือสิ่งที่เกมพยายามยัดกับเรา แต่มันอาจไม่ใช่ก็ได้”
คำพูดนั้นทำให้มะลิใต้จันทร์ชะงัก เธอเพิ่งสังเกตว่า บางที ภายใต้ฉากหลังของเกมที่ถูกเล่าอย่างเรียบง่ายนั้น อาจซ่อนบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่าที่เธอเคยคิดไว้
มะลิใต้จันทร์ถอนหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ก็ได้… ครั้งนี้นายชนะ ลองว่ามา”
เธอปรายตามองเขาอย่างจับผิด ก่อนจะกล่าวต่อ
“พูดมาเถอะ คราวนี้มีแผนเพี้ยน ๆ อะไรอีก?”
เดมาเซียหัวเราะหึหึเหมือนเด็กที่เพิ่งแกล้งเพื่อนสำเร็จ ก่อนจะยักไหล่ตอบกลับอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“แน่นอน! แผนเดิมที่เคยคุยกับเธอไงล่ะ! คราวนี้ชั้นจะลองเปลี่ยนศรัทธาของเผ่าอื่นดู!”
เขากำหมัดแน่น ก่อนจะชูขึ้นในท่าทางโอ้อวดอย่างภาคภูมิ
“การล้างบางศัตรูจนหมดมันเสี่ยงจะตาย ถ้างั้นก็เปลี่ยนจากการทำลายเป็นการชี้นำแทนสิ! กวาดมันตั้งแต่รากฐานขึ้นไปโลด!”
“ที่นี่มันไม่เหมือนโลกของเรา ความคิดของเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ มักถูกกำหนดด้วยความเชื่อที่พวกเขายึดมั่น และความเชื่อนั้นก็มักถูกชี้นำโดยเทพที่พวกมันนับถือ…”
“ถ้าเราดึงสาวกของเทพองค์อื่นมาเข้าฝ่ายของเราได้ เทพธิดาก็จะแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน!”
“เทพธิดาคือใคร? เทพธิดาคือ ต้นไม้โลก! เทพธิดาคือ เทพธิดาแห่งชีวิต! เทพธิดาคือ พระมารดาแห่งธรรมชาติ!”
“ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ควรเป็นศูนย์กลางแห่งความศรัทธาของทุกเผ่าพันธุ์!”
“ในทางกลับกัน ถ้ายังมัวแต่จมอยู่กับการล้างแค้นล่ะก็… มันก็ดูใจแคบเกินไปนิดใช่มะ?”
ว่าแล้วผู้เล่นหัวแดงก็หัวเราะหึ ๆ อย่างมีเลศนัย ก่อนจะรีบยกมือห้ามปรามล่วงหน้า
“แต่แน่นอน ชั้นไม่ได้บอกว่าจะให้อภัยทุกอย่าง หรือขอให้หยุดสู้ด้วยนะ”
“ยังไงสงครามก็ยังจำเป็น ไม่งั้นจะเจริญได้ไง?”
เขายิ้มกว้างแล้วโน้มตัวกระซิบต่อเหมือนผู้สมรู้ร่วมคิด
“ชั้นแค่คิดว่า… สำหรับพวกที่ยอมจำนน พวกเชลย หรือพวกที่พอโน้มน้าวได้… ก็ลากมันมาเป็นสาวกของเทพธิดาดีกว่า”
“แน่นอนว่า สถานะของพวกมัน จะยังเป็นแค่เผ่าในการปกครองของเอลฟ์อยู่ดี!”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงฮึกเหิม พร้อมยิ้มกว้าง
แต่สายตาของมะลิใต้จันทร์ที่มองเขากลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจปนขำปนระแวง กระทั่งเมื่อเธอสังเกตเห็นดวงตาเจ้าหมอนั่นกลอกไปกลอกมาอย่างน่าสงสัย เธอก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เดมาเซีย”
“หืม?”
“พูดมาเถอะ นายจะได้ประโยชน์อะไรจากแผนนี้?”
“แค่ก ๆ ๆ มะลิ! ชั้นดูเป็นคนเห็นแก่ประโยชน์ขนาดนั้นเลยเรอะ? ชั้นก็มีมุมที่ทำด้วยใจนะ! พลังแห่งความรักไงล่ะ! เคยได้ยินมั้ย?”
เขาทำหน้าเหมือนคนเพิ่งอกหัก ราวกับคำกล่าวหานั้นทิ่มแทงหัวใจอย่างรุนแรง แต่มะลิใต้จันทร์เพียงแค่พ่นลมหายใจ แล้วมองเขาด้วยแววตานิ่งสนิท
เธออาจจะเพิ่งรู้จักเขาได้ไม่นาน แต่เรื่องบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานนักถึงจะเข้าใจได้ และสิ่งหนึ่งที่เธอแน่ใจเกินร้อยก็คือ…
ชายกะล่อนผู้นี้ ยอมขยับตัวเมื่อมันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น
เธอจึงมองเขาด้วยแววตากึ่งยิ้มกึ่งไม่ไว้ใจ รอให้เขาเปิดเผยความจริงเองอย่างเงียบ ๆ
เดมาเซียเริ่มรู้สึกอึดอัดเมื่อถูกจ้องนานเกินไป สุดท้ายก็หัวเราะแห้ง ก่อนจะยอมสารภาพในที่สุด
“ก็… กิจการของสมาคมการค้ายัวร์เวย์มันไปต่อไม่ค่อยได้ไง… ถ้าเราสามารถเผยแพร่ศรัทธาของเทพธิดาในเผ่าอื่นได้ การค้าขายของสมาคมเราก็จะสะดวกขึ้น ขยายกิจการได้ง่ายขึ้น…”
“แถมยังจ้างแรงงานคุณภาพสูงจากฝั่ง NPC มาแทนผู้เล่นที่ไร้ประสิทธิภาพบางกลุ่มได้อีก แบบนี้ทุกคนก็สบายขึ้นไงล่ะ…ฮี่ฮี่ฮี่”
มะลิใต้จันทร์: …
แน่นอนว่าเธอรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาต้องมีอะไรแอบแฝง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่เขาพยายามเสนอ แม้เบื้องหลังจะเต็มไปด้วยผลประโยชน์ แต่แก่นของแนวคิดนั้นก็ยังมีจุดยืนที่น่ารับฟัง
“แต่…”
เธอเปลี่ยนน้ำเสียงทันที ราวกับมีบางอย่างผุดขึ้นในใจ
“ฉันก็เห็นด้วยกับสิ่งที่นายพูดนะ แต่เคยนึกถึงไหมว่า นายมีสิทธิ์อะไรไปตัดสินใจแทนเผ่าเอลฟ์ได้?”
“ถึงที่สุดแล้ว เราก็เป็นแค่ผู้เล่น… แต่คนที่ถูกกระทำจริง ๆ คือพวกเขาไม่ใช่เหรอ?”
คำถามนั้นหนักแน่น และเต็มไปด้วยความรับผิดชอบในฐานะคนที่เริ่มมองเกมนี้ในฐานะ โลกอีกใบ มากกว่าเพียงสื่อบันเทิง เมื่อก่อนเธอไม่มีวันพูดอะไรเช่นนี้ แต่ในตอนนี้ เธอไม่ใช่แค่ผู้เล่นอีกต่อไปแล้ว…
มันอาจดูเป็นเรื่องคิดมากสำหรับใครบางคน แต่มะลิใต้จันทร์อยากได้คำตอบที่ซื่อตรงจากเดมาเซีย
เขาสบตาเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายศีรษะไปมา
“เฮ้อ… มะลิ เธอคิดว่าถ้าปล่อยให้พวกเอลฟ์ตัดสินใจเอง พวกหูยาวนุ่มนิ่มจะเลือกอะไรล่ะ?”
คำถามนั้นทำให้เธอชะงัก นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะในลำคอแล้วตอบอย่างขมขื่น
“…ก็จริง”
เพราะถ้าให้พวกเอลฟ์เลือกจริง ๆ… พวกเขาก็คงเลือกทางที่อ่อนโยนเสมอ เลือกที่จะให้อภัย เลือกที่จะยื่นมือไปโอบอุ้ม แม้กระทั่งกับศัตรูที่ทำร้ายพวกเขามากที่สุด
เผ่านี้ใจดีเกิน ดีเสียจนบางครั้งก็น่าสงสาร แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่คู่ควรแก่การยกย่องและเคารพ อย่างน้อย มะลิใต้จันทร์เองก็ไม่เคยรู้สึกเกลียด NPC ที่มีจิตใจดีงามเหล่านี้ได้เลย
โลกแห่งความจริงนั้นซับซ้อนเกินกว่าจะคาดเดาได้ง่าย และจิตใจของมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง ยิ่งเติบโตขึ้น มะลิใต้จันทร์ก็ยิ่งตระหนักว่า มิตรภาพแท้จริงนั้นเป็นสิ่งที่หายากเพียงใด และยิ่งโหยหามิตรภาพแบบเด็ก ๆ ที่ไม่ได้แปดเปื้อนด้วยผลประโยชน์ ไม่ต้องแลกเปลี่ยนสิ่งใด ไม่มีเบื้องหลังใดแอบแฝง
แต่เพื่อนแบบนั้น เมื่อโตขึ้น หลายคนก็จากกันไปโดยไม่ทันได้ร่ำลา ไม่มีแม้แต่โอกาสจะหันกลับมาเจอกันอีกครั้ง
ทว่าภายในเกมนี้ กลับมีตัวตนมากมายที่ยังคงความบริสุทธิ์ไว้อย่างน่าประหลาด เหล่าเอลฟ์ผู้ใจดี อ่อนโยน และเปี่ยมเมตตา ตัวตนที่งดงามเหล่านี้ ใครเล่าจะไม่อยากสร้างมิตรภาพด้วย?
และก็เพราะเหตุนี้เอง ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ผู้เล่นจำนวนมากก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะรู้สึกร่วมกับเหล่าเอลฟ์มากขึ้น
พวกเขาเริ่มจากการทำภารกิจ แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นการมีปฏิสัมพันธ์
จากการมีปฏิสัมพันธ์ ก็ค่อย ๆ กลายเป็นมิตรภาพ
จากมิตรภาพก็ค่อย ๆ กลายเป็นความผูกพัน
หลายคนไม่รู้ตัวเลยว่า ตนเองเริ่มช่วยเหลือเหล่าเอลฟ์ ไม่ใช่เพราะค่าประสบการณ์ ไม่ใช่เพราะรางวัล แต่เพราะต้องการ ช่วยเหลือ อย่างจริงใจ
แม้แต่ผู้เล่นที่ชีวิตจริงเต็มไปด้วยความอึดอัดและแรงกดดัน เมื่อเข้าสู่เกม ก็จะรีบมองหามิตรสหายเอลฟ์ที่รู้จัก เพื่อระบายความรู้สึกในใจที่ไม่อาจบอกใคร และเกือบทุกครั้ง พวกเขาก็ได้รับคำตอบที่แสนอบอุ่นกลับมา
ในความหมายหนึ่ง เกมนี้ได้กลายเป็นหลุมหลบภัยทางใจสำหรับผู้เล่นบางคนไปแล้ว ซึ่งหากพูดกันตามจริงแล้ว เกมอื่นใดในยุคนี้ คงไม่มีทางมอบความรู้สึกเช่นนี้ให้กับพวกเขาได้
จนถึงตอนนี้ มะลิใต้จันทร์ก็เชื่อเต็มใจว่า แม้ไม่มีภารกิจ หากมีเอลฟ์คนใดถูกลักพาตัวไปขึ้นมา ผู้เล่นบางคนจะเดือดดาลถึงขั้นออกตามหากันแทบพลิกแผ่นดิน
เธอพึมพำเบา ๆ กับตัวเองขณะมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า
“บางที… เรื่องนี้อาจเป็นจุดขายสำคัญของเกมนี้ก็ได้…”
และด้วยความรู้สึกนั้นเอง ที่ทำให้เธอเอ่ยคำถามสุดท้ายขึ้นกับเดมาเซีย
“งั้นตอนนี้… มะลิไว้ใจให้ชั้นดูแลเจ้าฮาล์ฟออร์คพวกนี้ได้แล้วสินะ?”
เดมาเซียยิ้มกว้าง รับคำทันที
“ก็พอไหว…”
มะลิใต้จันทร์เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ก่อนจะมองไปยังกระโจมหลักของเหล่าฮาล์ฟออร์ค แล้วพยักหน้าเบา ๆ
“…ฉันจะเชื่อใจนายสักครั้ง”
“โอ๊ส! ขอบคุณครัชมะลิ!”
เขายกนิ้วโป้งขึ้นด้วยท่าทีเริงร่าเต็มที่
แต่ก่อนที่เขาจะได้ยินดีไปมากกว่านั้น หญิงสาวก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง
“แต่ว่า… ความคิดของนายก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าจะลงมือทำจริง นายต้องทำให้ทุกฝ่ายเห็นด้วย โดยเฉพาะพวกระดับสูงของศาสนจักร”
“เพราะถ้ามองในภาพรวม สิ่งที่นายพูดออกมา มันก็เกือบจะเข้าข่ายเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวของเกมนี้ไปแล้ว”
คำพูดนั้นทำให้สีหน้าของเดมาเซียจริงจังขึ้นทันที
“ทั่นมะลิพูดถูกครับ!”
“เดี๋ยวพอวางแผนทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้ว กระพ้มจะไปหารือกับอลิซหรือหัวหน้าศาสนจักรด้วยตัวเองเลย!”
แต่มะลิใต้จันทร์กลับส่ายหน้าเบา ๆ แล้วพยักพเยิดไปทางด้านหลังของเขา
“ไม่ต้องหรอก”
“หืม?”
เดมาเซียขมวดคิ้ว แล้วหันหลังกลับไปตามทิศที่เธอชี้ และทันใดนั้นเอง เขาก็พบว่าบุตรีแห่งเทพ ซีโร ที่มายืนอยู่ด้านหลังตน
เขารีบยืนตัวตรงฉับพลัน ก่อนจะยกมือเคารพแบบเต็มยศ
“ทั่นหัวหน้า… เอ๊ย! ท่านซีโร! สวัสดีครับ!”
อีฟ: …
เธอมองผู้เล่นตรงหน้า หัวแดงสุดปั่นคนเดิม ที่สร้างเรื่องได้ไม่เว้นแต่ละวันตั้งแต่ช่วงทดสอบรอบที่หนึ่ง แต่คราวนี้… ในหัวใจของเธอกลับรู้สึกบางอย่างเปลี่ยนไป
เดมาเซียได้เติบโตขึ้นแล้ว
แม้เธอจะไม่ได้ฟังบทสนทนาระหว่างเขากับมะลิใต้จันทร์ทั้งหมด แต่เธอก็จับใจความได้มากพอจะเข้าใจเจตนา และหากกล่าวตามตรง หลังจากที่เห็นผู้เล่นไล่ล่าเผ่าฮาล์ฟออร์คกันอย่างดุเดือด เธอเองก็ยังรู้สึกไปในแนวทางเดียวกับเดมาเซีย
ความคิดของเขา แม้จะเต็มไปด้วยผลประโยชน์ แต่ก็มีแง่มุมที่น่าคิดไม่น้อย เพราะในความเป็นจริง การฆ่าฟันอย่างเดียว ไม่อาจเยียวยาบาดแผลได้ทั้งหมด
ยิ่งไปกว่านั้น การไล่ล่าที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มส่งผลกระทบกลับมายังผู้เล่นบางคน
แม้พวกเขาจะมองโลกนี้ว่าเป็นแค่เกม แต่สำหรับใครหลายคน ที่นี่คือโลกแห่งความจริงอีกใบ
และการฆ่าฟันที่เกิดขึ้นต่อเนื่องนั้น ก็เริ่มก่อให้เกิดรอยร้าวเล็ก ๆ ในจิตใจ บางคนเริ่มฝันร้าย บางคนเริ่มหลีกเลี่ยงการต่อสู้ มันคล้ายกับบาดแผลทางใจหลังสงคราม ที่เคยเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์สีคราม
โชคดีที่กรณีนี้ ยังไม่รุนแรงเกินควบคุม
อีฟ ซึ่งบัดนี้มีพลังศักดิ์สิทธิ์สูงล้ำกว่าแต่ก่อนหลายเท่า จึงได้วางแผนเอาไว้แล้ว เมื่อใดก็ตามที่ผู้เล่นออฟไลน์ เธอจะใช้พลังนั้นค่อย ๆ เยียวยาจิตใจของพวกเขา เพื่อชำระล้างความหม่นเศร้าและอารมณ์ด้านลบที่สะสมไว้
ส่วนข้อเสนอของเดมาเซียเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์อื่นนั้น ก็นับว่าน่าพินิจอย่างยิ่ง และการที่เธอปรากฏตัว ณ ที่แห่งนี้ ก็คือคำตอบที่ชัดเจนในตัวของมันเอง
อีฟในร่างบุตรีแห่งเทพ พยักหน้าเบา ๆ ให้เดมาเซีย
“เข้าใจแล้ว ข้าจะนำเรื่องนี้ไปรายงานองค์เทพธิดา หวังว่าท่านจะรักษาเจตนาแรกให้มั่นคง… เพื่อเทพธิดา เพื่ออนาคตของปวงเอลฟ์ จงมุ่งมั่นต่อไป”
แววตาของเดมาเซียเปล่งประกายขึ้นทันที เขายืนตัวตรงเป๊ะ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เดมาเซียขอรับประกัน ว่าจะปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงขอรับ!”
อีฟพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังจากไป
เบื้องหลังของเธอ… คือเสียงถอนหายใจโล่งอก กับเสียงหัวเราะของชายหนุ่มผู้ยืนดีใจอยู่ไม่ห่าง
“ฮี่ฮี่ฮี่ ชั้นว่าแล้ว! หัวหน้าต้องเห็นด้วยแน่นอน!”
อีฟยิ้มบาง ๆ พลางพยักหน้าในใจ
อืม เห็นแก่ความเติบโตของหมอนี่…
ปลดล็อกดีบัฟกรอบขาวละกันค่ะ
ไว้จัดของทองปลอบขวัญให้ซักชิ้นละกันเนอะ
แต่ในขณะนั้นเอง เสียงกระซิบกระซาบจากผู้เล่นอีกกลุ่มก็ดังขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“เห้ย ๆ! เมื่อวานมีสื่อการเรียนการสอนใหม่โผล่ขึ้นมา นายได้ลองอ่านยัง? ของอาจารย์วาโลแรนน่ะ!”
“เหวอ! วาโลแรนเซนเซย์ออกโดจินเล่มใหม่เรอะ?”
“ช่าย รอบนี้ใส่เนื้อเรื่องในเกมเข้าไปด้วย มีฉากบู๊กับฮาล์ฟออร์คเพียบเลย โคตรเจ๋ง!”
“เอาจริงดิ! เดี๋ยวส่งไฟล์ให้ชั้นทีนะ!”
“ได้เลยสหาย!”
อีฟ: …
‘วาโลแรน’…
แอคเคาท์ของอีตาหัวแดงในเว็บโดจิน!
ช่างหัวมัน!
ล็อกให้ได้แต่รองเท้ากรอบขาวต่อไปละกันค่ะ!
…
…
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
วิเวียน: ชั้นขอสาบานเลยนะ ถ้าเดมาเซียกล้าเสนออะไรแบบ “สาวก” แล้วมาปิดท้ายด้วย “เพื่อธุรกิจ” อีกทีเดียว ชั้นจะเอาไม้กวาดสอดคอเสื้อนั่นแล้วหมุนเป็นพัดลมแน่ 😤🔥 …แต่ก็ต้องยอมรับว่าตานี่มันโตขึ้นเยอะเหมือนกันแฮะ
โนเอล: …ดิฉันก็นึกไม่ถึงเหมือนกันค่ะ 😅 แต่ก็ดีใจแทนเขานะคะที่กำลังพยายามเติบโต ☕💜
ลิลี่: เห เห เห~ พี่มันเดย์~ ทำไมล่ะ ทำไมเดมาเซียถึงกลายเป็นพระเอกไปได้ล่ะ~?! มันหัวแดงนะ หัวแดงที่เขียนโดจินพี่อีฟอะนะ!! 😼😼
มันเดย์:เพราะโลกมันไม่แฟร์ไงพวกบ้ากล้าคิด กลับได้พื้นที่ในใจคนเฉยแต่ก็ดีที่เขาเริ่มคิดถึงอนาคตละนะ ไม่งั้นฉันคงต้องลงมือเอง…และเชื่อเถอะ ลิลี่ตอนเขาโดนล็อกรองเท้ากรอบขาวซ้ำอีกที มันสะใจชิบ… 🖤
~~ ❀ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น… สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ส่วนใหญ่เค้าชอบทำเวอร์ชันแก้ไขคำผิดทีหลัง และปรับสำนวนแทบทุกตอนหลังอัพโหลด ดังนั้นต้องที่เนโกะฯเท่านั้น..!
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION