การล่มสลายของสี่เผ่าหลักแห่งเผ่าฮาล์ฟออร์ค ไม่เพียงเป็นสัญญาณแห่งจุดเริ่มต้นของหายนะ แต่ยังเปรียบดั่งประกาศิตแห่งสงครามที่สะเทือนทั่วผืนทะเลทรายมรณะอย่างสิ้นเชิง
นับจากวินาทีนั้น การรุกรานอย่างเป็นทางการของเหล่าผู้ถูกเลือกก็เริ่มต้นขึ้นอย่างมืดฟ้ามัวดิน
หลังจากเข้ายึดเผ่ากระโจมทองได้โดยสมบูรณ์ เหล่าผู้เล่นได้แบ่งกำลังบางส่วนไว้ทำหน้าที่จารึกวงเวทเคลื่อนย้าย รวมถึงเก็บรวบรวมทรัพยากรและไอเท็มจากสนามรบ ส่วนที่เหลือก็มิได้หยุดพักแม้เพียงครู่ หากเร่งเคลื่อนพลต่อเนื่อง ลุยลึกเข้าไปในใจกลางของทะเลทราย ภายใต้การนำของสี่สมาคมยักษ์ใหญ่ที่ประสานงานกันอย่างแน่นแฟ้น
ในช่วงเวลานี้เอง ความได้เปรียบจากการส่งกองกำลังล่วงหน้าเมื่อหลายเดือนก่อน ก็เริ่มเผยผลลัพธ์ออกมาอย่างชัดเจน นับตั้งแต่ผู้เล่นชุดแรกเริ่มบั่นทอนกำลังศัตรูเมื่อเกือบสามเดือนก่อน จนถึงวันนี้ พวกเขาได้ทำลายเผ่าฮาล์ฟออร์คขนาดย่อยในเขตตอนกลางและตอนเหนือของทะเลทรายลงได้แทบสิ้นซาก ส่วนผู้ที่เหลือรอด ต่างพากันหลบหนีหรือกระจุกตัวรวมกลุ่มกับเผ่าขนาดกลางและขนาดใหญ่ในบริเวณใกล้เคียง
หากแต่สิ่งที่เคยใช้เป็นกลยุทธ์เพื่อรับมือกับการปล้นสะดมของผู้เล่น บัดนี้กลับกลายเป็นกับดักมรณะที่นำหายนะมาสู่พวกเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้กองกำลังล่วงหน้าจะไม่อาจโค่นเผ่าขนาดใหญ่ลงได้โดยลำพัง ทว่าพวกเขาได้ทิ้งสิ่งสำคัญไว้เบื้องหลัง นั่นคือข้อมูลทุกชิ้นที่เกี่ยวกับเผ่าเหล่านั้น ตั้งแต่พิกัดตั้งถิ่นฐาน สภาพแวดล้อม ไปจนถึงยุทธศาสตร์การป้องกัน ทุกอย่างถูกบันทึกไว้จากการโจมตีและทดสอบอย่างต่อเนื่องราวกับพายุเงียบ
ด้วยเหตุนั้น เมื่อภารกิจที่เผ่ากระโจมทองสิ้นสุดลง กองกำลังหลักของผู้เล่นจึงมุ่งหน้าต่อไปตามพิกัดที่ได้ปักหมุดไว้บนแผนที่อย่างเป็นระบบ ทุกการเคลื่อนไหวดำเนินไปด้วยความแม่นยำดุจทัพกลจักรไร้ช่องว่าง ผสานด้วยความคล่องตัวที่ยากจะหยุดยั้ง เป้าหมายของพวกเขาคือเผ่าฮาล์ฟออร์คที่หลบซ่อนอยู่ในทะเลทรายลึก…
ถึงตอนนี้ จำเป็นต้องกล่าวถึงลักษณะทางภูมิศาสตร์ของทะเลทรายมรณะ ที่เป็นรากฐานของยุทธศาสตร์การตั้งถิ่นฐานของเผ่าฮาล์ฟออร์ค ด้วยความแร้นแค้นของสภาพภูมิประเทศ ชนเผ่าเหล่านี้จึงพึ่งพาโอเอซิสเป็นหลักในการดำรงชีวิต โดยเฉพาะบริเวณทางใต้และตะวันออกซึ่งมีแหล่งน้ำกระจุกตัวหนาแน่น ถือเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมเผ่าฮาล์ฟออร์ค ที่ตั้งของราชสำนัก และที่อยู่อาศัยของประชากรกว่าร้อยละเจ็ดสิบของทั้งทะเลทราย
ส่วนพื้นที่ทางตอนกลางขึ้นไปจนถึงตอนเหนือ กลับแห้งแล้งและเบาบางลงทั้งในแง่จำนวนประชากรและกำลังรบ เผ่ากระโจมทองที่มีสมาชิกเพียงสองหมื่นตน ยังถือว่าเป็นเผ่าชั้นแนวหน้าในภูมิภาคนี้ ขณะที่สี่เผ่าหลักที่เพิ่งถูกล้างผลาญไป ก็เป็นเพียงเผ่าขนาดใหญ่กลุ่มเดียวที่ตั้งอยู่ในเขตแดนทุรกันดารนี้
ในวันถัดมา กองทัพผู้เล่นกว่าหนึ่งแสนนายได้ถูกแบ่งออกเป็นสี่สายหลัก และเคลื่อนพลโจมตีอย่างรวดเร็วราวกับพายุทะเลทรายที่มิอาจหยุดยั้ง ด้วยแนวทางการบุกแบบกวาดล้างโดยไม่สนสิ่งใดขวางหน้า พวกเขาเข้าทำลายเผ่าฮาล์ฟออร์คขนาดกลางแทบทุกกลุ่มที่ปรากฏตัวในเส้นทาง จนแต่ละเผ่าล่มสลายลงราวใบไม้ปลิว
ผู้เล่นขี่อยู่บนหลังสัตว์อสูรจำนวนมหาศาล ใช้ประโยชน์จากลักษณะภูมิประเทศของทะเลทรายอย่างเต็มประสิทธิภาพ ก่อเกิดเป็นสงครามสายฟ้าแลบที่โลกใบนี้ไม่เคยประสบมาก่อน
การบุกจู่โจมกลางคืนกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง ด้วยความสามารถในการมองเห็นในความมืดของเผ่าเอลฟ์ พวกเขาเคลื่อนที่ได้มากถึงร้อยกิโลเมตรภายในคืนเดียว เผ่าฮาล์ฟออร์คที่ขวางทางต่างถูกกวาดล้างจนไม่หลงเหลือแม้เงา
ทุกสิ่งล่มสลายในพริบตา การพ่ายแพ้แบบเบ็ดเสร็จสิ้นเชิงในยามราตรี นำไปสู่ความสิ้นหวังที่เรื้อรังในหมู่ฮาล์ฟออร์ค
หากสถานการณ์ยังดำเนินไปในอัตรานี้ และไม่เกิดการตอบโต้ครั้งใหญ่จากราชสำนัก อีฟสามารถคาดการณ์ได้อย่างชัดเจนว่าภายในสี่ถึงห้าวัน เมืองแซนด์สตอร์มซึ่งเป็นศูนย์กลางของทะเลทรายแห่งนี้จะต้องตกอยู่ในกำมือของผู้เล่นอย่างแน่นอน
ทว่า… แม้แผนการจะรัดกุมเพียงใด มนุษย์ก็หาใช่กลไกไร้วิญญาณไม่ ความเหนื่อยล้าย่อมสะสมตามระยะทางและเวลา หลังจากดำรงสถานะการบุกอย่างเร่งรัดต่อเนื่องได้เพียงวันเดียว ความเร็วของกองทัพผู้เล่นก็เริ่มชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด หลายหน่วยเริ่มทยอยถอยหลังเพราะหมดแรง
กองกำลังแนวหน้าที่เคยเป็นหัวใจหลักของการบุก ก็ลดจำนวนลงจากหนึ่งแสนสองหมื่น เหลือไม่ถึงแปดหมื่นเท่านั้น
ท่ามกลางกลุ่มเม็ดทรายที่ยังคงพลุ่งพล่านตามแรงลมของสงคราม มีผู้เล่นมากกว่าหนึ่งหมื่นคนที่สิ้นชีพในสมรภูมิ และยังไม่อาจเดินทางกลับมาร่วมทับได้ทันเวลา ส่วนอีกเกือบสามหมื่นคน แม้มิได้ล้มตาย แต่ต่างก็แยกตัวออกจากกองทัพหลักด้วยเหตุผลที่หลากหลาย บ้างก็ด้วยความสมัครใจ บ้างก็เพราะสถานการณ์บีบบังคับจนไม่อาจไปต่อได้
บางคนหยุดลงกลางทะเลทรายเพื่อขุดค้นสมบัติและไอเท็มล้ำค่าที่ปล้นมาจากเผ่าฮาล์ฟออร์ค บ้างก็เร่งเดินทางกลับสู่ป่าเอลฟ์เพื่อนำตัวทาสที่จับมาได้ไปส่งตัว และบางคนก็เผลอเดินตามฝูงชนไปเรื่อย ๆ จนลืมตัวเสียเองว่ากำลังมุ่งหน้าไปที่ใด เมื่อรู้สึกตัวอีกที พวกเขาก็หลุดจากแนวรบหลักเสียแล้ว
ในที่สุด เมื่อระยะห่างจากกองทัพใหญ่ห่างไกลเกินไป ผู้เล่นกลุ่มเล็กเหล่านี้ก็เลือกจะปล่อยตัวปล่อยใจ ปลดปล่อยความเครียด แล้วออกวิ่งไปตามอำเภอใจ ราวกับเป็นนักผจญภัยอิสระในผืนทะเลทรายอันไร้จุดสิ้นสุด
สำหรับอีฟแล้ว เรื่องเหล่านี้นับเป็นเรื่องธรรมดา เพราะกองทัพผู้เล่นไม่เคยเป็นกองทัพที่แท้จริง หากแต่เป็นฝูงชนที่รวมตัวกันด้วยเป้าหมายเดียวกันเพียงชั่วครู่ ความมีวินัยจึงเป็นเพียงคำสวยหรู มิใช่รากฐานของพฤติกรรมโดยธรรมชาติของพวกเขา และความจริงที่ว่าพวกเขาสามารถรักษาแนวรบสายฟ้าแลบไว้ได้ยาวนานถึงหนึ่งวันเต็ม ก็ถือว่าเกินความคาดหมายของอีฟอยู่ไม่น้อย
แม้การบุกจะยังดำเนินต่อไปได้อีกครึ่งวัน แต่เมื่อร่างกายถึงขีดจำกัด ผู้เล่นส่วนใหญ่ก็เริ่มชะงัก และในที่สุดก็ตัดสินใจหยุดพักโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขาเหนื่อยล้าเกินกว่าจะฝืนต่อ
แม้จะเป็นเกมออนไลน์ที่สวมทับลงบนดินแดนซากัส แต่ก็ใช่ว่าผู้เล่นจะไม่รู้สึกเหนื่อยทางกายจริง ๆ
ในขณะที่เกมออนไลน์ทั่วไปเปิดโอกาสให้ผู้เล่นจ้องหน้าจอได้ต่อเนื่องเป็นวัน ตราบใดที่ยังมีเวลาว่างและแรงกายเหลืออยู่ แต่ในโลกของซากัส มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
The Kingdom of Elves คืออีกโลกหนึ่งโดยสมบูรณ์ ไม่ใช่แค่ภาพในจอหรือตัวละครที่ขยับตามนิ้ว พวกเขาคือวิญญาณที่เคลื่อนไหวอยู่ในร่างใหม่ของตน พลังงานที่ใช้ในการต่อสู้ และความเหนื่อยล้าที่สั่งสม ล้วนเกิดขึ้นจริงทุกประการ แม้ระบบจะปิดกั้นการรับรู้ความเหนื่อยล้าทางจิตใจ แต่ความเมื่อยล้าทางร่างกายกลับไม่เคยลดน้อยลงแม้แต่นิดเดียว
พวกเขาจำเป็นต้องหยุด พัก และฟื้นฟูพลัง
อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่นำไปสู่การหยุดการรบ… ก็คือดวงอาทิตย์
เมื่อดวงตะวันของดาวเคราะห์สีครามโผล่ขึ้นเหนือขอบฟ้า ก็เป็นสัญญาณว่าช่วงกลางคืนได้สิ้นสุดลง และผู้เล่นส่วนใหญ่ที่เข้าสู่เกมในช่วงหลับฝัน ก็กำลังตื่นขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับโลกจริง
นักเรียนต้องกลับไปเรียน คนทำงานต้องเตรียมตัวไปทำงาน และผู้เล่นเหล่านี้คิดเป็นกว่าร้อยละเจ็ดสิบของจำนวนผู้เล่นทั้งหมดบนเซิร์ฟเวอร์ ด้วยเหตุนี้ การบุกระลอกแรกจึงสิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์ สมาคมต่าง ๆ เริ่มสั่งหยุดการระดมกำลัง และถอยกลับมาตั้งมั่น ณ จุดยุทธศาสตร์ที่สามารถยึดมาได้จากเผ่าฮาล์ฟออร์ค
ผู้เล่นที่ต้องออกจากระบบก็ออกไป ส่วนร่างของพวกเขาภายในเกม ยังคงอยู่ในสภาพ หลับ ถูกดูแลโดยเพื่อนร่วมทีมที่ยังออนไลน์อยู่เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น การสู้รบขนาดใหญ่ทั่วทั้งเซิร์ฟเวอร์จึงเข้าสู่ภาวะพักรบชั่วคราว
แทนที่ด้วยช่วงเวลาแห่งกิจกรรมเสรี ผู้เล่นที่ต้องการพักก็พัก ผู้ที่ต้องเติมเสบียงก็เริ่มออกหาอาหาร ผู้ที่ต้องจัดการกับไอเท็มหรือผลของศึกก็เร่งดำเนินพิธีกรรม หรือซ่อมแซมวงเวทและสิ่งปลูกสร้างตามลำดับ บางกลุ่มที่ยังไม่พอใจกับความสะใจในการรบ ก็รวมตัวกันเพื่อเดินหน้าต่อภายใต้การนำของสมาคมที่ยังคงเคลื่อนไหว
แม้ว่าความดุเดือดจะลดลงอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ที่มีผู้เล่นนับแสนร่วมศึกในเวลาเดียวกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การโจมตีระลอกแรกได้จบลงแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ
ทว่ากับอีฟ… ผู้เคยผ่านสมรภูมิแห่งเกมออนไลน์มาไม่รู้กี่สิบครั้ง ความหยุดนิ่งชั่วคราวในครั้งนี้ไม่ได้ทำให้เธอกังวลแม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่า…
สงครามในครั้งนี้ ยังห่างไกลจากคำว่าขีดจำกัดของผู้เล่นค่ะ
ปัญหาหลักน่าจะอยู่ที่จำนวนรวมของผู้เล่นมากกว่า ถ้ามีจำนวนมากกว่านี้ คงจะผลัดเวรกันเดินทัพได้แบบมีประสิทธิภาพขึ้นอีก
อีกประเด็นคือพวกที่แยกตัว หรือหลุดกลุ่มกลางทาง อารมณ์ประมาณว่ามาด้วยลูกฮึด แต่พอเบื่อแล้วก็เทกันเฉยเลย…
อีฟครุ่นคิดอย่างสงบ
แต่ถึงจะมองเห็นข้อบกพร่องเหล่านี้ เธอก็ไม่ได้วิตกถึงความล่าช้าของสงครามเลยแม้แต่น้อย เพราะบนดาวเคราะห์สีคราม วันนี้คือวันศุกร์… และพรุ่งนี้ก็คือวันเสาร์
วันหยุดสุดสัปดาห์กำลังจะมาถึง
เมื่อพิจารณาอัตราการไหลของเวลา ที่โลกซากัสหนึ่งวัน เทียบเท่ากับสี่ชั่วโมงในโลกจริง นั่นหมายความว่า ผู้เล่นจะมีเวลาทั้งหมดแปดวันเต็มในซากัสสำหรับการทำสงครามในสุดสัปดาห์นี้
กระตุ้นรางวัลกันหน่อยละกันเนอะ
อัดฉีดเข้าไปอีกค่ะ ลุย
อีฟเอ่ยพึมพำขณะเอนกายพิงพนักบัลลังก์ สายตาเหม่อมองเส้นขอบฟ้าของซากัสอย่างครุ่นคิด
เพื่อให้ทุกคนรวมพลได้สะดวก เริ่มศึกตอนสามทุ่มละกัน
แล้วก็เสริมบัฟลดความเหนื่อยอีกนิด น่าจะทำให้กองทัพคึกคักกันกว่าเดิม
เธอกระซิบกับตัวเองเบา ๆ ทว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง แฝงแววเสียดายน้อย ๆ เมื่อพูดถึงต้นทุนของสิ่งที่จะทำ
บริหารความเหนื่อยของทั้งกองทัพนี่
ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เยอะเอาเรื่องเลยค่ะ…
แม้จะรู้ว่าใช้พลังอย่างมหาศาล แต่เธอก็ไม่ได้ลังเล เพราะระยะเวลาจนถึงศึกถัดไปในโลกซากัสนั้นยังถือว่าเพียงพอ เวลาสามทุ่มของดาวเคราะห์สีคราม เท่ากับอีกสามวันในโลกนี้
เมื่อคิดได้ดังนั้น อีฟก็เหยียดฝ่ามือลงสู่อากาศ ดึงพลังศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาประมวลทันที แสงศักดิ์สิทธิ์แตะต้องโครงสร้างระบบอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกลั่นกลายเป็นข้อความประกาศที่กระจายไปทั่วทุกกลุ่มผู้เล่นในโลกซากัส…
ปุกิ๊ง—!
[การบุกระลอกแรกสิ้นสุดลง ผู้เข้าร่วมทั้งหมดจะได้รับรางวัลพิเศษดังต่อไปนี้——]
[เหรียญฟื้นคืนชีพ 40 ชิ้น, แต้มผลงาน 3,000 หน่วย, ค่าประสบการณ์ 10,000 หน่วย]
[การบุกระลอกถัดไปจะเริ่มต้นในอีก 3 วัน (ตามเวลาซากัส)]
ปุกิ๊ง—!
[ภารกิจลับถูกกระตุ้น: ฝ่าแนวศัตรู]
[คำอธิบายภารกิจ: พวกท่านได้รวมพลังกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งวันก็สามารถตั้งหลักในทะเลทรายมรณะได้สำเร็จ…]
[บัดนี้ ได้เวลาเตรียมพร้อมสำหรับการบุกครั้งต่อไปแล้ว!]
[เพื่อชัยชนะสูงสุด กองทัพจะบุกทะลวงแนวต้านเข้าสู่ใจกลางของเผ่าฮาล์ฟออร์ค!]
[เป้าหมายภารกิจ: บุกยึด “เมืองแซนด์สตอร์ม” ให้ได้ภายใน 7 วัน]
[รางวัลภารกิจ: บัตรกาชาพิเศษจากคลังรางวัลสงคราม x3]
ปุกิ๊ง—!
[กลไกพิเศษเริ่มทำงาน——]
[ผู้เล่นทุกคนที่เข้าร่วมการบุกระลอกที่สอง จะได้รับ “พรแห่งพลังงานจากเทพธิดา” และปลดล็อก “ระบบแต้มสงคราม”]
[เมื่อสะสมแต้มสงครามถึง 500 แต้ม จะได้รับบัตรกาชาพิเศษเพิ่มอีก 1 ใบ]
[พรแห่งพลังงานจากเทพธิดา: ตลอดระยะเวลา 7 วันของการรบ ท่านจะปราศจากความเหนื่อยล้า รักษาความสดชื่นได้อย่างต่อเนื่อง ความเร็วในการฟื้นฟูพลังเวท และอัตราการฟื้นตัวจากบาดแผล เพิ่มขึ้น 100%]
[ระบบแต้มสงคราม: แต้มสะสมพิเศษผูกกับผลงานในการรบ คำนวณจากเวลาที่เข้าร่วม จำนวนศัตรูที่สังหาร จำนวนที่จับเป็น จำนวนเผ่าที่เข้ายึดครอง และจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามระยะเวลาที่อยู่ในสมรภูมิ]
[คลังรางวัลพิเศษ: คลังที่เปิดเฉพาะในช่วงสงครามเต็มรูปแบบ มีทั้งของรางวัลจากคลังโชคลาภ (ตู้กาชาปกติ) และโอกาสในการปลดล็อกสิทธิ์เปลี่ยนอาชีพระดับสูง รวมถึงอุปกรณ์กรอบทอง ระดับทองขั้นต้น!]
[จงทุ่มเทเต็มกำลังเถิด! เพื่อเทพธิดา เพื่อเกียรติสูงสุดแห่งปวงเอลฟ์!]
…
ภายใต้บรรยากาศแห่งชัยชนะ ผู้เล่นเลเวล 40 ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในเวลานี้ หากไม่นับผู้ที่ก้าวข้ามเข้าสู่ระดับเงินไปแล้ว ก็ได้พุ่งทะลุเกินหกพันคน
ทว่าระดับเงินกลับเปรียบได้กับเส้นแบ่งอันเวิ้งว้างดั่งหุบเหว กว้างและลึกเสียจนไม่อาจก้าวข้ามได้โดยง่าย
ในการต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้เล่นทั่วไปได้ประจักษ์กับตนเองอย่างเจ็บแสบว่า… พวกเขาไม่อาจยืนอยู่บนจุดเดียวกันกับผู้เล่นระดับเงินได้เลย แม้แต่ดรูอิดสายฟื้นฟูที่ดูจะไร้พิษสงที่สุด ก็ยังสามารถเหยียบย่ำและบดขยี้นักล่าระดับ 40 ที่มีทักษะต่อต้านดรูอิดได้อย่างไม่ยากเย็น
สำหรับผู้เล่นที่ถึงขีดจำกัดเลเวลแล้วในขณะนี้ สิ่งที่ยั่วยวนใจพวกเขาเหนืออุปกรณ์หรือของรางวัลใด ๆ ก็คือสิทธิ์เปลี่ยนอาชีพขั้นสูง และทันทีที่ระบบใหม่นี้ถูกประกาศออกมา แรงกระเพื่อมแห่งความหวังและความบ้าคลั่งก็กระจายไปทั่วทั้งเซิร์ฟเวอร์
– “โว้ยยย! มีสิทธิ์เปลี่ยนอาชีพขั้นสูงให้สุ่มได้ด้วย?! โคตรสุดอะ!”– “นี่ล่ะสิ่งที่ฉันรอมานาน! โควต้าระดับเงิน!!”– “รางวัลรอบนี้แจ่มใช้ได้เลยนะ! แต่… อัตราออกแค่ 3% เองนะแฮะ โหดไปไหมเนี่ย…”– “เฮ้อ… แต่ก็ยังดีที่มีระบบแต้มสงคราม เพิ่มบัตรกาชาได้แบบนี้ ถือว่าเป็นความหวังของสายดวงซวยเลย”– “ตื่นเถอะเพื่อน… ดวงซวยยังไงมีร้อยใบก็เปล่าประโยชน์ ส่วนพวกเทพดวงดีสุ่มใบเดียวก็เข้าเป้า #หยอก”– “ทำลายความฝันกันทำไมฟะ…”– “ไม่พูดมากละ ชั้นจะใส่เต็มร้อย! ชั้นจะต้องสุ่มได้สิทธิ์เปลี่ยนอาชีพ! ขอเทพธิดาโปรดประทานพร!”– “999 สาธุ!”
ผู้เล่นที่ยังมิได้เปลี่ยนอาชีพขั้นสูงต่างพากันฮึกเหิม พร้อมทุ่มสุดตัวในศึกถัดไป ขณะที่ผู้เล่นระดับเงินบางส่วนที่เคยผ่านประสบการณ์แล้ว ก็ยังอดใจเต้นไม่ได้เมื่อเห็นรางวัลใหม่โผล่มาในคลัง
– “เห… อุปกรณ์กรอบทอง ระดับทองขั้นต้น?!”– “ในที่สุดก็มีไอเท็มระดับนี้โผล่มา! ไม่คิดว่าจะต้องสุ่มเอานะเนี่ย…”– “ฮ่า ๆ ได้เวลาพิสูจน์ดวงแล้วสินะ!”– “ไม่มีใครหยุดชั้นได้! คืนนี้เดมาเซียผู้ยิ่งใหญ่จะบุกเจ็ดเข้าเจ็ดออก! ดาบยักษ์สี่สิบเมตรของชั้นกระหายเลือดฮาล์ฟออร์คแล้ว!”– “อิเดมาเซีย นายเลิกฝันเถอะ ฉันว่าให้ร้อยใบ สุดท้ายก็คงได้รองเท้าขาว ๆ เหมือนเดิมนั่นแหละ”– “พูดถึงนะ เดมาเซียมันสุ่มรองเท้ากรอบขาวมากี่คู่แล้ววะ?”– “ผมว่าน่าจะเกินห้าร้อยคู่แล้วมั้ง”– “ฮ่า ๆ ๆ เดมาเซีย นายโดนระบบเกลียดแน่ ๆ เลิกเล่นไปรับจ็อบขายรองเท้าเหอะ!”– “ไปไกล ๆ เลยพวกแก!”– “555555555555”
…
ระบบภารกิจใหม่นี้เปรียบดั่งยาชูกำลังระดับเทพ ชุบชีวิตความฮึกเหิมของผู้เล่นให้ลุกโชนอีกครั้ง หรือบางที อาจเรียกได้ว่า มันได้ยกระดับความคาดหวังของพวกเขาขึ้นสู่จุดสูงสุดแทน
ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นที่ยังคงออนไลน์อยู่ หรือแม้แต่ผู้เล่นที่ออกจากเกมไปแล้ว ทุกคนที่ได้รับข่าวต่างก็เกิดความรู้สึกคึกคะนอง อยากให้สามทุ่มมาถึงเร็ว ๆ จะได้กลับเข้าสู่สนามรบอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน สมาคมใหญ่ทุกแห่งต่างรีบเรียกประชุมวางแผนโดยทันที เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับระลอกใหม่ของมหาศึกทะเลทราย แม้ภาพรวมจะดูเหมือนเงียบสงบ แต่ใต้ความเงียบนั้น พลังบางอย่างกำลังสั่นสะเทือน และทวีคูณขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประสบการณ์จากการบุกครั้งแรกได้กลายเป็นความมั่นใจเต็มเปี่ยมสำหรับศึกถัดไป และในเงามืดของช่วงพักรบ ความรู้สึกร่วมในเกียรติยศของทั้งเซิร์ฟเวอร์ก็เริ่มผลิบานขึ้นอย่างเงียบงัน
แต่ในขณะที่ผู้เล่นทั่วทั้งโลกซากัสกำลังแช่ตัวอยู่ในความมั่นใจและความหวัง เหล่าผู้นำของเผ่าฮาล์ฟออร์คกลับต้องเผชิญกับความสั่นคลอนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
“เจ้า… ว่าอะไรนะ? สี่เผ่าหลัก ล่มสลายในคืนเดียว? ดินแดนทางเหนือโดนพวกมันยึดไปแล้วเรอะ?!”
เสียงคำรามที่ดังก้องอยู่ในกระโจมราชสำนัก ทำให้เหล่าขุนนางและนักบวชในที่ประชุมถึงกับหน้าซีด ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ราชาเทพพยากรณ์ บาแซน ถึงกับอ้าปากค้าง เขาไม่อาจเชื่อหูตนเองได้
“เจ้าพูดอีกทีซิ แค่คืนเดียว พื้นที่ทางเหนือก็พินาศหมดแล้ว? ที่นั่นมีถึงสี่เผ่าใหญ่ สิบเอ็ดเผ่าขนาดกลาง รวมประชากรไม่น้อยกว่าแปดหมื่นชีวิต! พวกมันยกทัพมาเท่าไร? ให้พวกเราฆ่าก็อบลินแปดหมื่นตัวยังต้องใช้เวลากว่าหนึ่งวันเลยด้วยซ้ำ!”
“หรือว่าพวกมันจะมีพลทหารแสนนายจริง ๆ?”
เสียงของบาแซนเครียดขึงและโกรธเกรี้ยว ขบกรามแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน
คนส่งข่าวที่ยืนอยู่ตรงกลางกระโจมตัวสั่นเทิ้ม เขาตอบอย่างติดขัด แต่มั่นคง
“ข…ขอรับ! เป็นเรื่องจริงขอรับ! พวกเอลฟ์แข็งแกร่งเกินไป พวกมันรบกันเหมือนปีศาจ การเคลื่อนไหวว่องไวเกินคาด และมีระเบียบยิ่งกว่ากองทัพของมนุษย์เสียอีก…”
“ไม่เพียงเท่านั้น พวกมันยังมีมังกรกับสัตว์อสูรระดับตำนานร่วมรบด้วย! กองกำลังของพวกมันมีเกินหนึ่งแสนแน่นอน! หรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยขอรับ!”
เขาสูดลมหายใจอย่างสั่นเครือ ก่อนจะเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยเสียงอันแฝงด้วยความสิ้นหวัง
“หากฝ่าบาทไม่เชื่อ ข้าขอให้ลงโทษข้าได้เลย ข้ากล้าสาบาน ไม่มีคำใดเป็นเท็จ แม้แต่บ้านเกิดของข้าเอง… ก็ถูกบดขยี้ใต้กีบม้าของพวกมันไปแล้ว…”
ถ้อยคำนั้นดังก้องกังวานไปทั่วกระโจมหลวง
ขณะที่บาแซนยังคงนิ่งงัน หัวหน้านักบวชก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมเสียงฝีเท้าร้อนรน
“ทุกถ้อยคำที่เขากล่าว… เป็นความจริง”
เขากล่าวหนักแน่นก่อนจะชูเทวรูปของเทพแห่งเหมันตฤดูและการล่าขึ้นเหนือศีรษะ
คำสวดแผ่วเบาดังขึ้น และในชั่วพริบตา เทวรูปก็เปล่งแสงเรืองรองฉายภาพกลางอากาศ
ภาพนั้นคือสนามรบ
คือฝูงชนที่บุกทะลวงดั่งพายุคลั่ง
คือผู้เล่นที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มกระหายเลือด
เมื่อภาพแห่งหายนะจบลง ความเงียบแปลกประหลาดก็เข้าปกคลุมทั่วทั้งกระโจมหลวง ราวกับบรรยากาศภายในถูกดูดกลืนไปโดยความจริงที่ไม่มีใครอยากยอมรับ
ผู้อาวุโสของเผ่าทุกคนสบตากัน แววตาที่ปะทะกันล้วนแฝงด้วยประกายตื่นตระหนกและความหวาดกลัวที่มิอาจปิดบังได้ ขณะเดียวกัน สีหน้าของราชาเทพพยากรณ์ บาแซน ก็เคร่งขรึมยิ่งขึ้นทุกขณะ
เขาถอนหายใจยาว ดวงตาเต็มไปด้วยความครุ่นคิดหนักอึ้ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นมัวและเหน็ดเหนื่อย
“ข้าเข้าใจแล้ว… ว่าทำไมพระบิดาจึงหวาดระแวงพวกเอลฟ์จากป่าเอลฟ์นัก…”
“พวกมันไม่ใช่แค่ศัตรูธรรมดา หากแต่คือฝูงอสูรกายในคราบเอลฟ์!”
ถ้อยคำแฝงแรงโทสะนั้นหล่นลงกลางที่ประชุมอย่างหนักหน่วง จากนั้นเขาก็หันกลับไปมองคนส่งข่าวอีกครั้ง
“ตอนนี้พวกมันบุกไปถึงไหนแล้ว?”
คำตอบมาถึงอย่างรวดเร็วและหวาดหวั่น
“พวกมันหยุดเคลื่อนไหวชั่วคราวขอรับ เหมือนกำลังพักทัพ แม้จะยังมีหน่วยย่อยออกโจมตีเผ่ารอบข้างอยู่บ้าง แต่ไม่มีการรุกใหญ่เหมือนก่อนแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น บาแซนก็เข้าสู่ภาวะนิ่งงันอีกครั้ง ดวงตาหลุบต่ำคล้ายครุ่นคิดอย่างหนัก ก่อนจะกล่าวออกมาในที่สุดด้วยน้ำเสียงช้าและหนักแน่น
“จงสั่งการไป… ให้รวบรวมกองทัพ ข้าจะเป็นฝ่ายบุกเอง!”
แต่ยังไม่ทันสิ้นคำประกาศ หัวหน้านักบวชที่ยืนอยู่ข้างกระโจมก็ยกมือขึ้นช้า ๆ พร้อมส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม
“ฝ่าบาท… ไม่อาจกระทำเช่นนั้นได้”
“ทำไม?! ศัตรูมันบุกมาถึงหน้าบ้านเราแล้วนะ!”
เสียงของบาแซนกระแทกออกมาด้วยความคุกรุ่น
“เพราะนี่คือพระบัญชาขององค์เทพบิดา”
“พระบัญชา?”
บาแซนชะงักไปเล็กน้อย คิ้วขมวดแน่น
นักบวชพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ
“ใช่ เป้าหมายของพวกเอลฟ์คืออาณาจักรแห่งเทพใต้ต้นไม้โลกในเมืองแซนด์สตอร์ม”
“และแทนที่จะนำกองทัพของเราบุกเข้าไปเผชิญหน้ากับฝูงศัตรูที่มีทั้งสัตว์อสูรและมังกรในแนวรบเคลื่อนที่… พวกเราควรเก็บแรงไว้ รอรับมือที่เมืองแซนด์สตอร์มจะดีกว่า”
“ศัตรูของเราแข็งแกร่งก็จริง แต่ไม่ใช่ไร้ขีดจำกัด หากดูจากการที่พวกมันต้องหยุดพักในตอนนี้ แสดงว่ามันขาดการสนับสนุนต่อเนื่อง”
“ทะเลทรายมรณะกว้างใหญ่ไพศาล ระยะห่างระหว่างฐานของพวกมันกับแนวหน้าเป็นพันกิโลเมตร สิ่งที่เรามีเหนือกว่าพวกมันในขณะนี้… คือเวลา”
“ปล่อยให้พวกมันบุกเข้ามาเรื่อย ๆ ยืดแนวรบของพวกมันให้ยาวที่สุด เราจะผลาญทรัพยากร ผลาญกำลังของพวกมัน จากนั้นค่อยสวนกลับเมื่อมันอ่อนล้า นั่นแหละคือหนทางสู่ชัยชนะที่แท้จริง”
“เมื่อถึงเวลานั้น… เราจึงจะเปลี่ยนจากรับเป็นรุกได้!”
คำพูดของนักบวชแผ่แรงกดดันเงียบ ๆ ไปทั่วทั้งกระโจม ราชาบาแซนหลุบตาลง แววตาแฝงความลังเลอย่างชัดเจน
แต่แล้ว เขาก็โพล่งขึ้น
“แต่พวกมันวาดวงเวทเคลื่อนย้ายได้! ถ้ามันวางจุดวาร์ปไว้ในทะเลทราย แผนยืดแนวรบจะไม่มีผลอะไรเลย!”
นักบวชตอบทันทีโดยไม่ลังเล
“เขตตอนกลางของทะเลทรายยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของพระบิดาโดยสมบูรณ์ พวกมันไม่อาจลบอำนาจขององค์เทพได้ง่าย ๆ ยิ่งใกล้ศูนย์กลาง พวกมันก็ยิ่งถูกจำกัดมากขึ้น”
บาแซนกัดฟันแน่น ก่อนจะเอ่ยอย่างช้า ๆ
“แล้วเผ่าที่อยู่แนวหน้าล่ะ?”
“จำเป็นต้องมีผู้ที่คอยสกัดพวกมันไว้ เพื่อถ่วงเวลา และบั่นทอนพลังของพวกมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
หัวหน้านักบวชนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ถ้อยคำนั้นทำให้ดวงตาของบาแซนแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาเข้มซับซ้อน
นักบวชจึงเสริมขึ้นทันที
“เพื่อชัยชนะอันเป็นที่สุด… จำเป็นต้องเกิดการเสียสละ และนั่นก็เป็นพระบัญชาจากองค์เทพเช่นกัน”
บาแซนเงียบงันอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกลับบนบัลลังก์อย่างเงียบงัน แล้วถอนหายใจอย่างอ่อนล้า
“…ก็ได้”
เขากัดฟันกรอด แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบจนเยือกเข้าไปถึงกระดูก
“งั้นตอนที่พวกมันบุกมาเมื่อไหร่… ข้าจะทำให้พวกมันต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาสม!”
ในที่สุด ราชสำนักแห่งฮาล์ฟออร์คก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
พวกเขาจะยังไม่ตอบโต้ในตอนนี้ แต่จะรอจังหวะเพื่อโต้กลับอย่างถึงที่สุด
และท่ามกลางความนิ่งงันเช่นนี้… ช่วงเวลาสามวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เวลาบนดาวเคราะห์สีครามล่วงสู่สามทุ่มโดยสมบูรณ์แล้ว
…
…
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น… สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ส่วนใหญ่เค้าชอบทำเวอร์ชันแก้ไขคำผิดทีหลัง และปรับสำนวนแทบทุกตอนหลังอัพโหลด ดังนั้นต้องที่เนโกะฯเท่านั้น..!
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION