หลังชัยชนะอันเด็ดขาด หลี่มู่ซึ่งรับบทบาทเป็นผู้นำในสมรภูมิ ก็เริ่มจัดระเบียบการยึดครองด้วยความแน่วแน่และสุขุมเยือกเย็น
ท่ามกลางแสงแดดที่เริ่มแผดเผาหลังฝนหยุดตก เสียงฝีเท้าของเหล่าผู้เล่นกึกก้องทั่วทั้งหมู่บ้านที่เคยเป็นถิ่นฐานของเผ่ากระโจมทอง พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบราวกับฝูงจักรกลที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้แล้ว
และคำสั่งแรกที่หลี่มู่ส่งออกไป ไม่ใช่การเฉลิมฉลอง หากเป็นการเริ่มต้นกระบวนการล้างศรัทธา ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญที่สุดในสงครามระหว่างเทพ
เพราะในสมรภูมิที่เดิมพันด้วยศรัทธาเช่นนี้ การโค่นล้มศัตรูมิได้หมายถึงเพียงแค่การทำลายร่างกาย หากแต่ต้องบดขยี้หัวใจ และช่วงชิงแรงศรัทธาทั้งหมดให้จงได้ เพื่อบั่นทอนพลังของเทพฝ่ายตรงข้าม
สำหรับผู้เล่นแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด ตลอดระยะเวลากว่าสองเดือนในทะเลทรายมรณะ พวกเขาได้สั่งสมประสบการณ์จากภารกิจลักษณะนี้มานับไม่ถ้วน แทบทุกคนจึงเตรียมตัวมาอย่างพร้อมสรรพ ไม่เว้นแม้แต่รูปเคารพของเทพแห่งเหมันตฤดูและการล่าที่ถูกสร้างขึ้นไว้ล่วงหน้า เพียงเพื่อรอใช้เป็นเครื่องมือในพิธีบังคับลบหลู่ศรัทธา
เสียงอึกทึกเริ่มดังขึ้นอีกครั้งในลานกักกันเชลย ฮาล์ฟออร์คที่ยังมีชีวิตรอดถูกต้อนมาเรียงแถวต่อหน้าแท่นรูปเคารพ อูลร์ที่พวกเขาบูชามาตลอดชีวิต บัดนี้กลับถูกใช้เป็นเครื่องชี้วัดความภักดีครั้งสุดท้ายของพวกเขาเอง
เมื่อคำสั่งบังคับให้ลบหลู่เทพถูกประกาศออกมา ความเงียบสงัดในหมู่เชลยก็แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นความสั่นสะเทือนทางอารมณ์ บ้างตาเบิกโพลง บ้างกัดฟันแน่น บ้างก็ร่ำไห้ด้วยเสียงอันเงียบงัน… แม้บางรายจะยอมจำนนไปแล้ว ทว่าศรัทธาที่ฝังรากลึกมายาวนานก็ไม่อาจถอนทิ้งได้ง่ายดายเช่นนั้น พวกเขาเริ่มต่อต้าน บ้างร้องตะโกน บ้างกรีดร้องด้วยความสิ้นหวัง และบ้างพุ่งเข้าใส่ผู้เล่นด้วยมือเปล่า
ทว่า สำหรับผู้เล่น นี่คือฉากซ้ำที่พวกเขาคุ้นชินมานับครั้งไม่ถ้วน เพราะในสงครามศรัทธา ทุกการลบหลู่จะตามมาด้วยความรุนแรงเช่นนี้เสมอ และทุกครั้ง ก็จบลงด้วยความเงียบจากร่างไร้วิญญาณของผู้ต่อต้าน
ด้วยกำลังจากสมาคมระดับกลางที่ดูแลลานเชลย… เหล่าฮาล์ฟออร์คที่กล้าขัดขืนก็ล้มตายราวกับใบไม้ร่วง ท่ามกลางเสียงคมดาบที่ตัดผ่านอากาศ และเสียงร่างกระแทกผืนทรายอย่างไร้ชีวิต กระบวนการทั้งหมดดำเนินไปอย่างลื่นไหล เยือกเย็น ราวกับการสังหารคือทักษะที่ผู้เล่นเหล่านี้เชี่ยวชาญมานานแสนนาน
เมื่อเสียงโหยไห้สุดท้ายสิ้นสุดลง เชลยที่เหลือก็ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เล่นอีกต่อไป บางรายทรุดลงร่ำไห้อย่างหมดแรง บ้างก็ยกมือไหว้วอนขอชีวิตด้วยเสียงสั่นเครือ และสุดท้าย พวกเขาก็ยอมลบหลู่เทพของตนเองทีละตน ทีละตน จนกระทั่งแท่นรูปเคารพที่เคยสูงส่งนั้น ดูเป็นเพียงก้อนหินที่ไร้ความหมาย
เสาหลักแห่งศรัทธาของเผ่ากระโจมทอง ได้พังทลายลงอย่างสมบูรณ์
บรรยากาศอันโหดเหี้ยมนี้ไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของเหล่าเอลฟ์ผู้ร่วมศึก พวกเขายืนมองภาพเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและซับซ้อน บางตนขมวดคิ้ว บางตนกำหมัดแน่น บางตนหลบตาราวกับรับไม่ได้… พวกเขาเคยเชื่อว่ารู้จักผู้เล่นดีพอ ว่าผู้ถูกเลือกจากต่างโลกเหล่านี้เป็นมิตร ซื่อสัตย์ และเปี่ยมด้วยอารมณ์ขัน ทว่า ภาพตรงหน้ากลับตอกย้ำความจริงอีกด้านที่พวกเขาไม่เคยรู้จัก
โดยเฉพาะเมื่อเหล่าผู้เล่นที่เพิ่งฆ่าฟันเสร็จหมาด ๆ พากันกระจายตัวออกไปค้นหาทรัพย์สินในหมู่บ้านด้วยความโลภราวกับฝูงแร้ง… ภาพเหล่านั้นยิ่งทำให้ความเชื่อเดิม ๆ พังครืนลง
เสียงหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลัง เรียบนิ่งแต่กระจ่างใส
“รู้สึกว่ามันโหดร้ายจนน่าตกใจใช่ไหม?”
เอลฟ์ทุกตนหันขวับไปตามเสียงนั้น และทันทีที่เห็นเจ้าของถ้อยคำ พวกเขาก็รีบยืนตรงเป็นระเบียบ พร้อมยกมือขึ้นวาดสัญลักษณ์คทาแห่งชีวิตที่กลางอก ก่อนเอ่ยพร้อมเพรียง
“สวัสดีท่านอัล!”
ผู้ที่ปรากฏตัว คืออัล มูนไลท์ บุตรแห่งเทพ และผู้นำหน่วยเอลฟ์ในเส้นทางนี้ หนึ่งในอัครสาวกที่ติดตามเทพธิดามาตั้งแต่เริ่มต้น และได้รับความไว้วางใจจากสมาคมหัวใจแห่งธรรมชาติอย่างสูงยิ่ง
เขายังคงดูเป็นเด็กหนุ่มตามวัย ทว่าทุกถ้อยคำที่เอ่ยออกมานั้นกลับเต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาของเขามั่นคงและแน่วแน่ราวกับสายลมแห่งหุบเขา ไม่เหลือเค้าความไร้เดียงสาในอดีตอีกต่อไป
เอลฟ์บางตนลังเล ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสับสน:
“ใช่… พวกเราไม่คิดเลยว่า เหล่าผู้ถูกเลือกจะมีด้านโหดร้ายเช่นนี้…”
“ตลอดมาพวกเราคิดว่า แม้พวกเขาจะช่างพูดช่างหัวเราะ แต่เนื้อแท้แล้วก็เปี่ยมด้วยเมตตาไม่ต่างจากเผ่าของเรา…”
อัลพยักหน้าเบา ๆ เขามองผู้เล่นที่ยืนอยู่ไกลออกไป พลางถอนหายใจ
“นี่แหละสงครามศรัทธา”
“ในสงครามเช่นนี้ หากไม่ละทิ้งความเมตตาเสียก่อน เราก็ไม่มีวันที่จะเอาชนะได้…”
เขาหยุดชั่วครู่ ก่อนกล่าวด้วยเสียงแผ่ว
“เหตุผลที่เผ่าของเราร่วงโรยในพันปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เพียงเพราะเราสูญเสียการปกป้องจากเทพ และถูกสาปให้แบกรับพันธนาการแห่งสายเลือดเท่านั้น…”
“แต่เป็นเพราะเราเมตตามากเกินไป”
“และความเมตตา คือสิ่งที่ไม่ควรมีในสงคราม”
อัลนิ่งไปชั่วขณะ สีหน้าฉายแววครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง คล้ายภาพความทรงจำบางอย่างได้หวนคืน
“ผมเคยได้ยินคำพูดหนึ่ง จากผู้ถูกเลือก”
“คำสอนโบราณจากบ้านเกิดพวกเขากล่าวว่า ผู้นำไม่ควรอ่อนโยนเกินไป”
คำกล่าวเรียบง่ายนั้น ลอยกลางอากาศท่ามกลางความเงียบ ก่อนที่เขาจะอธิบายเพิ่มเติม
“ในความเข้าใจของพวกเขา คำนี้หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างแม่ทัพกับทหาร ว่าไม่ควรให้ใจมากเกินไปในยามที่ต้องตัดสินใจ เพราะความลังเล อาจนำความพ่ายแพ้มาโดยไม่รู้ตัว”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ดวงตาฉายแววเคร่งขรึมขึ้น
“แต่ในมุมมองของผม คำนี้… ใช้กับศัตรูได้เช่นกัน”
“แม้พวกเราจะใฝ่สันติ เคารพชีวิต และหวังจะอยู่ในโลกที่ปราศจากการเข่นฆ่า… แต่ความจริงแล้ว โลกใบนี้ ไม่เคยเคลื่อนไปตามเจตจำนงของเราเลย”
“ความเชื่อ ศรัทธา เผ่าพันธุ์ การอยู่รอด… และการต่อสู้ ทั้งหมดล้วนหลีกเลี่ยงไม่ได้”
“ในสงคราม หากเรารู้สึกสงสารศัตรู นั่นก็คือการทอดทิ้งตัวเองให้ตกอยู่ในความโหดร้ายเสียเอง”
คำพูดของเขาไม่ได้เร้าอารมณ์ หากแต่เงียบขรึม แน่วแน่ และลึกซึ้งยิ่งนัก เอลฟ์ทุกตนเงียบงัน ไม่มีใครเอ่ยถ้อยคำใด มีเพียงแววตาเท่านั้นที่บอกว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในห้วงของการไตร่ตรอง
เห็นดังนั้น อัลจึงผ่อนน้ำเสียงลงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อ
“ผมไม่ได้หมายความว่า พวกท่านทุกตนจะต้องกลายเป็นเช่นผู้ถูกเลือก”
“พวกเขาคือนักรบจากต่างโลก ผู้ที่เทพธิดาอัญเชิญมาด้วยเหตุผลเฉพาะตัว และสำหรับพวกเขา… สงคราม ก็เป็นเพียง ‘กีฬา’ ประเภทหนึ่งเท่านั้น”
เขาหันไปมองผู้เล่นกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินตรวจตราแนวรบอย่างหละหลวม พูดไปด้วยสายตานิ่งสงบ
“เมื่อสงครามกลายเป็นกีฬา มันย่อมนำมาซึ่งการตัดสินใจที่ต่างออกไป… และเรื่องราวที่ยากจะเข้าใจจากมุมมองของพวกเรา”
“เพราะสำหรับพวกเขา มันคือกีฬาที่ไม่จำเป็นต้องคิดมาก… แต่สำหรับพวกเรา มันคือชีวิตและความตาย”
“อารมณ์ของพวกท่าน ความลังเล ความไม่สบายใจ มันจึงสมเหตุสมผล”
เสียงของเขานุ่มลงอีกเล็กน้อย
“แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้พวกท่านรู้ไว้ก็คือ… ไม่ว่าอย่างไร ทุกการกระทำของพวกเขา ก็ล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียว คือชัยชนะของเรา”
“และในตอนนี้… ไม่มีใครจะเป็นพันธมิตรที่มั่นคงไปกว่าผู้ถูกเลือกอีกแล้ว”
เขาเงียบไปชั่ววินาที ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงต่ำ
“สงครามไม่มีคำว่าถูกหรือผิด… และบทสรุปหลังสงคราม ก็จะถูกเขียนขึ้นโดยผู้ชนะเท่านั้น”
“เมื่อเราชนะ เราจะมีพลังและโอกาสในการสร้างระเบียบใหม่… ระเบียบที่เราใฝ่ฝันถึง ระเบียบที่เราเลือกเอง”
เขาชูมือขึ้นเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“เพื่อเกียรติของเทพธิดา… และเผ่าของพวกเรา!”
คำประกาศนั้นดังกังวาน กลั่นจากหัวใจและอุดมการณ์ที่แน่วแน่ ทันใดนั้น ดวงตาของเหล่าเอลฟ์ก็เปล่งแสงขึ้นอีกครั้ง พวกเขาชูมือขึ้นเช่นกัน ก่อนจะกล่าวพร้อมกัน
“เพื่อเกียรติของเทพธิดา… และเผ่าของพวกเรา!”
เสียงตอบรับสะท้อนก้องกลางทะเลทราย
…
จากที่ไกลโพ้น ณ เบื้องสูงของระบบเกม อีฟเฝ้าดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเงียบงัน
เหล่าเอลฟ์เริ่มคุ้นเคยกับสงครามแล้วค่ะ
พวกเขากำลังเรียนรู้ที่จะละทิ้งความเมตตาในสนามรบทีละเล็กทีละน้อย ถึงจะยังขมวดคิ้วเวลาเห็นพฤติกรรมของผู้เล่น แต่พวกเขาก็เริ่มใช้เหตุผลมากขึ้น
นั่นก็… ดีมากแล้วค่ะ
อีกอย่าง กิลด์หัวใจแห่งธรรมชาติก็ทำผลงานได้เยี่ยมเช่นกัน เค้านึกว่าตัวเองต้องออกโรงซะแล้ว แต่สุดท้าย เล่นหย่อนระเบิดรูปเคารพกันโต้ง ๆ เลย
เดมาเซียกับสายทัณฑ์สวรรค์นี่… ตัวป่วนวงการชัด ๆ
ชั้นล่ะอยากเห็นสีหน้าของอูลร์กับโฮลเดอร์ตอนนั้นเลยจริง ๆ…
จะว่าไป ตอนที่ทัณฑ์สวรรค์ฟาดลงมาเมื่อครู่นี้ มันแผ่วลงเล็กน้อยนะคะ
โฮลเดอร์ลังเลแหง ๆ
สำหรับเทพผู้มีศรัทธาเป็นพลังหลักแล้ว นั่นคือปัญหาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกโดยแท้ พลังของพวกเขามาจากศรัทธา และศรัทธานั้นก็หมายถึงภาพลักษณ์สูงส่งที่ต้องรักษาไว้ทุกลมหายใจ แม้เทพโบราณอย่างโฮลเดอร์ก็ยังเกิดความลังเล เมื่อการกระทำนั้นจะส่งผลต่อพันธมิตรของตน
สำหรับเทพเหล่านั้น… คำว่า หน้า ไม่ใช่แค่ศักดิ์ศรี แต่มันคือเสาหลักของพลังทั้งหมด
คิดได้เช่นนั้น เทพธิดาก็เชื่อมต่อเข้าสู่ระบบอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองสมรภูมิอื่น ๆ ที่ยังคงคุกรุ่นอยู่
สมาคมหัวใจแห่งธรรมชาติแม้จะเป็นกลุ่มที่เริ่มบุกช้าที่สุด แต่กลับกลายเป็นกลุ่มที่สามารถตีแตกหมู่บ้านฮาล์ฟออร์คได้เป็นลำดับที่สอง
และผลงานนี้ ต้องยกความดีความชอบให้ระเบิดทัณฑ์สวรรค์อย่างเต็มภาคภูมิ กองกำลังอื่นที่ไม่มีสายสัมพันธ์กับเดมาเซีย ส่วนมากก็ทำได้แค่ซื้อรูปเคารพจากยัวร์เวย์ในราคาสูงไว้ใช้ในวินาทีวิกฤติ
แต่ในท้ายที่สุด หมู่บ้านของฮาล์ฟออร์คที่เหลือก็ยังคงอ่อนแอกว่าเผ่ากระโจมทองอยู่ดี และแต่ละสมาคมก็มีไพ่เด็ดของตัวเอง
คณะกรรมการโมเอะโมเอะทุ่มทุนจัดหาเครื่องยิงหินกว่า 40 เครื่อง แค่ระดมยิงไม่กี่ครั้ง ม่านพลังศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้านฮาล์ฟออร์คก็แทบพังทลายไปสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้น สมาคมนี้ยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อหัวใจแห่งธรรมชาติ ลูกเมี้ยวเค็มเองก็ได้รับรูปเคารพจากเดมาเซียมาหลายชิ้น…
แม้กองกำลังฮาล์ฟออร์คที่พวกเขาเผชิญหน้าไม่ได้ด้อยกว่าเผ่ากระโจมทองเท่าใดนัก แต่ก็เห็นได้ชัด ว่าความพ่ายแพ้ของอีกฝ่าย เป็นเพียงเรื่องของเวลา
อีกด้าน สมาคมกองพันที่หนึ่ง แม้จะไม่มีรูปเคารพ และมีเครื่องยิงหินจำนวนน้อยกว่าใคร แต่กลับเป็นกลุ่มที่มีผู้เล่นสายต่อสู้มากที่สุด พวกเขาเลือกโจมตีเป้าหมายที่ใกล้เทือกเขาทมิฬ นั่นคือเผ่ากระโจมเงิน
หมู่บ้านแห่งนี้เคยถูกโจมตีมาหลายครั้ง จนทั้งแนวรับและกำลังรบอ่อนล้าเต็มที
แต่ฝั่งผู้เล่นยังมีทิบิเลีย มังกรแดงผู้มีพลังเทียบตำนาน แม้จะยังอยู่ในระดับทองขั้นสูงก็ตาม แม้จะเป็นกลุ่มที่เริ่มโจมตีช้ากว่ากองอื่น แต่ในที่สุด… กองพันที่หนึ่งก็สามารถตีเผ่ากระโจมเงินจนพินาศได้สำเร็จ
การศึกของพวกเขาถือว่าดุเดือดและร้อนแรงที่สุดในบรรดาทุกสมรภูมิ หากพิจารณาจากมุมมองของเกม มันช่างตื่นตาตื่นใจและเต็มไปด้วยฉากต่อสู้ที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา แม้สัดส่วนผู้เล่นที่ล้มลงจะมากจนน่าใจหายก็ตาม…
แต่ทุกครั้งที่เห็นชื่อผู้เล่นดับวูบไปต่อหน้า เค้าก็ยังอดปวดใจไม่ได้ค่ะ
ค่าชุบมันแพง…
อย่างไรก็ตาม ความประหลาดใจที่แท้จริงกลับมาจากทิศทางที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือสมาคมออโตบอท
สมาคมดาวรุ่งที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นโดยผู้เล่นจากรอบทดสอบที่สาม กลุ่มนี้มีศักยภาพโดยรวมต่ำกว่าสามสมาคมหลักอย่างเห็นได้ชัด ทว่ากลับกลายเป็นสมาคมแรกที่ตีค่ายสำเร็จ!
ไม่ใช่เพราะพวกเขาแข็งแกร่งกว่าคนอื่น และก็ไม่ใช่เพราะเป้าหมายที่โจมตีอ่อนแอกว่า แต่เป็นเพราะกลยุทธ์ของผู้นำสมาคม อย่างทรานส์ฟอร์เมอร์จีกัง
ก่อนที่ศึกจะเริ่มต้น เขาได้ลอบส่งราชินีแมงมุมโลลธ์ สัตว์อสูรระดับตำนาน เจาะเข้าสู่ใต้ดินอย่างเงียบงัน และในจังหวะที่ศึกใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้น โลลธ์ก็โจมตีหมู่บ้านฮาล์ฟออร์คจากใต้ดินโดยไม่ให้ตั้งตัว
วงเวทที่ถูกวาดไว้บนกำแพงป้องกันเมือง ถูกทำลายย่อยยับในพริบตา และเมื่อกำแพงถล่มลง ม่านพลังศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สามารถเปิดใช้งานได้อีกต่อไป
ศัตรูจึงถูกตีแตกโดยไม่ทันแม้แต่จะตื่นตกใจ
ขณะที่อีฟกำลังแบ่งสมาธิเพื่อสังเกตสมรภูมิอื่น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหู เรียกเธอกลับมาสู่สนามรบเบื้องหน้า
“ท่านซีโร พวกเราเก็บรวบรวมรูปเคารพของอูลร์ไว้ครบแล้ว รอท่านไปจัดการอยู่ครับ”
อีฟในร่างซีโรหันไปตามเสียงนั้น แล้วพยักหน้าเบา ๆ เมื่อเห็นว่าเป็นหลี่มู่
“ขอบคุณท่านมาก”
เธอกล่าวเรียบ ๆ แล้วจึงก้าวเดินตามเขาไป
ปลายทางคือหน้ากระโจมหลักของนักบวชประจำเผ่ากระโจมทอง ที่นั่น เหล่าผู้เล่นได้รวบรวมรูปเคารพเอาไว้มากกว่าสิบชิ้น
รูปเคารพที่ใหญ่ที่สุดสูงถึงสามเมตร คาดว่าเป็นศูนย์กลางของศรัทธาทั้งหมด และมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับม่านพลังศักดิ์สิทธิ์ของเผ่า
พลังศรัทธาอันเข้มข้นยังคงแผ่ซ่านอยู่รอบวัตถุบูชาเหล่านี้ และผู้เล่นจำนวนไม่น้อยก็ยืนมุงดูอยู่โดยรอบด้วยสีหน้า…เสียดายอย่างบอกไม่ถูก
เสียดายจริง ๆ…
ถ้าอูลร์ไม่เปลี่ยนทัณฑ์สวรรค์ให้กลายเป็นแบบเจาะจงเป้าหมาย ตอนนี้ที่ตรงหน้านี้ก็คงมีระเบิดวางอยู่อีกสิบกว่าลูกแล้ว
แถมยังมีระเบิดนิวเคลียร์ขนาดรัศมีสามร้อยเมตรอีกหนึ่งลูก…
แค่คิดก็ปวดใจแล้วค่ะ
บุตรีแห่งเทพหยุดยืนเบื้องหน้ารูปเคารพ วาดสัญลักษณ์คทาแห่งชีวิตลงบนอกด้วยท่วงท่าสงบและศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำอธิษฐานเสียงหนักแน่น
ทันใดนั้น แสงศักดิ์สิทธิ์ก็สาดออกจากร่างของซีโรอย่างเจิดจ้า พลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์แผ่ไล่ไปทั่วทั้งลานรบ ผู้เล่นทุกคนสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอันเกรี้ยวกราดและสงบงามในเวลาเดียวกัน
แสงศักดิ์สิทธิ์แผ่กระจายออกไปราวเกลียวคลื่นอันอ่อนโยน ครอบคลุมลงบนรูปเคารพของอูลร์ทุกชิ้น
เพียงพริบตาเดียว รูปเคารพเหล่านั้นก็เริ่มสั่นไหว แสงเรืองรองที่เคยส่องสว่างค่อย ๆ เลือนหายไป… ทีละน้อย… ทีละน้อย… ก่อนจะแปรสภาพกลายเป็นเพียงหินแกะสลักธรรมดา ไม่มีพลัง ไม่มีความเชื่อ ไม่มีจิตวิญญาณใดหลงเหลืออีกต่อไป
พลังศรัทธาทั้งหมดที่เคยถูกสะสมไว้ สลายไปในอากาศราวกับเถ้าธุลี นั่นคือการชำระล้างศรัทธาอย่างสมบูรณ์
ในสงครามแห่งศรัทธา เมื่อพื้นที่หนึ่งถูกฝ่ายตรงข้ามเข้ายึดครอง พิธีกรรมนี้คือสิ่งที่ต้องดำเนินตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และแม้แต่เทพองค์ใดก็ไม่อาจขัดขวาง
หลักการของพิธี คือการอธิษฐานจากศรัทธาของเทพตนเอง เพื่อขอให้ส่งมองอำนาจมาชำระพลังของศัตรูให้สิ้น ทุกอย่างต้องกระทำด้วยความสงบ นอบน้อม และไม่อาจแสดงความดูหมิ่น
นักบวชทุกคนสามารถกระทำพิธีนี้ได้ แต่ ณ ที่แห่งนี้… ผู้กระทำคืออีฟ และสำหรับเธอการอธิษฐานต่อเทพก็คือการอธิษฐานต่อตัวเอง
การกระทำเช่นนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงการครอบครองโดยสมบูรณ์เหนือพื้นที่แห่งศรัทธา
ดินแดนของเทพ ถูกกำหนดโดยเครือข่ายศรัทธา ถักทอขึ้นจากความเชื่อและรูปเคารพที่ได้รับการบูชา
และบัดนี้ เมื่อรูปเคารพทุกชิ้นถูกชำระล้างจนหมดสิ้น เครือข่ายศรัทธาของอูลร์ในดินแดนตอนเหนือของทะเลทรายมรณะก็ล่มสลายโดยสิ้นเชิง
พลังควบคุมของอูลร์ในพื้นที่แห่งนี้ ได้สูญสิ้นลงแล้ว พร้อมกันนั้น การปิดกั้นด้วยพลังแห่งเทพก็หมดผลตามไปด้วย
วงเวทเคลื่อนย้ายกลับมาเปิดใช้งานได้อีกครั้ง
และไม่นานนัก หลังจากอีฟทำลายเครือข่ายศรัทธาของอูลร์ลงได้สำเร็จ คณะกรรมการโมเอะโมเอะก็สามารถบุกทะลวงเข้าสู่หมู่บ้านฮาล์ฟออร์คแห่งสุดท้ายได้อย่างงดงาม
นับจากวินาทีนั้นเป็นต้นไป สี่หมู่บ้านใหญ่ของเผ่าฮาล์ฟออร์คทางตอนเหนือของทะเลทรายมรณะ ซึ่งเคยเป็นแนวป้องกันด่านสำคัญ ได้ล่มสลายลงอย่างสมบูรณ์
อูลร์ สูญเสียการควบคุมเหนือผืนทรายทางเหนือไปโดยสิ้นเชิง
ขณะเดียวกัน ผู้เล่นทุกคนก็ได้ปลดพันธนาการที่เคยจำกัดพลัง และความสามารถของตนลงอีกขั้น
ประตูสู่ใจกลางทะเลทรายมรณะ เปิดออกอย่างสมบูรณ์แล้ว
…
…
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
โนเอล: ☕💮วันนี้รุ่นพี่… ก็จะลุยต่อ หก-ตอน-รวด ใช่ไหมคะ?ดิฉันเตรียมกาแฟไว้ให้แล้วค่ะ ห้ามหยุดกลางทางนะคะ ♥
ถั่ว: ดีล ♥ถ้างั้นตอน 518-523 เราจะมีพูดคุยปิดท้ายทีเดียวเลยเนอะ โนเอลเตรียมพร้อมแปลยาว ๆ ค่ะ
~~ ❀ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น… สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ส่วนใหญ่เค้าชอบทำเวอร์ชันแก้ไขคำผิดทีหลัง และปรับสำนวนแทบทุกตอนหลังอัพโหลด ดังนั้นต้องที่เนโกะฯเท่านั้น..!
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION