อีฟเชื่อมต่อพลังศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่ระบบของโลกเสมือนด้วยความแน่วแน่ สายตาของเธอทอดมองผ่านโครงสร้างข้อมูลที่เร้นอยู่ภายใน
เทพธิดากำลังชั่งน้ำหนักความเปลี่ยนแปลงของโลกเบื้องล่าง จากนั้นจึงเริ่มตรวจสอบสถิติของผู้เล่นทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
ผู้เล่นเลเวลเกิน 30 มีจำนวน 91,000 คนแล้ว
และถ้าเอาช่วงเลเวล 25 ถึง 29 ก็มีอีก 40,000 คน
ถ้าด้วยความเร็วประมาณนี้ เราจะมีกำลังรบเลเวล 30 แตะหนึ่งแสนนาย ภายในไม่เกินสัปดาห์นี้แน่ค่ะ
เธอพึมพำเบา ๆ พลางไล่ดูตัวเลขด้วยแววตาพินิจพิเคราะห์
สายตาของเธอไล่ต่อไปยังแผนที่โลกเสมือน ที่ตอนนี้ผู้เล่นได้เริ่มเข้าใกล้เขตแดนศูนย์กลางของเผ่าฮาล์ฟออร์คอย่างต่อเนื่อง แผนที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพื้นที่ว่างเปล่าบัดนี้กลับเต็มไปด้วยจุดตำแหน่งของผู้เล่นที่กระจัดกระจาย เธอพยักหน้าเบา ๆ อย่างพึงใจ
เปิดแมพกันได้น่าประทับใจ
ความเร็วกับประสิทธิภาพตอนนี้ ถือว่าผ่านเกณฑ์ดีเยี่ยม
เมื่อสรุปข้อมูลทั้งหมดในใจ อีฟถอนหายใจแผ่วเบาอย่างผ่อนคลาย แล้วจึงปลดการรับรู้จากเครือข่ายศักดิ์สิทธิ์ กลับคืนสู่ร่างของซีโร บุตรีแห่งเทพ ที่กำลังอยู่ในโหมดพลังงานต่ำ ภายในห้องพักส่วนตัว ณ วิหารกลางแห่งนครผู้ถูกเลือก
ทันทีที่สำนึกกลับคืน เธอลืมตาและลุกขึ้นอย่างสง่างาม ก่อนจะก้าวออกจากห้องส่วนตัวอย่างเงียบงัน เป้าหมายของเธอคือโถงใหญ่ใจกลางวิหาร ซึ่งตั้งอยู่ถัดออกไปไม่ไกลนัก
เมื่อเธอเหยียบย่างเข้าสู่เขตวิหาร บรรยากาศโดยรอบก็แปรเปลี่ยนไปทันตา ที่แห่งนี้ยังคงคึกคักเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เต็มไปด้วยผู้เล่นที่เดินขวักไขว่ บ้างเข้ามาซื้อสินค้าจากร้านค้า บ้างเข้ามายื่นคำร้องขอเปลี่ยนอาชีพ บ้างก็มาหวังจะโชคดีมีภารกิจลับติดมือกลับไป
ภายใต้ความพลุกพล่านนั้น มีเพียงเอลฟ์นักบวชในเครื่องแบบเพียงไม่กี่ตนที่ยังคงรักษาระเบียบและทำหน้าที่ดูแลวิหารอย่างเงียบสงบ แสงจากผลึกเวทสะท้อนชุดคลุมของพวกเขาให้ดูเปล่งประกายในบรรยากาศที่คลาคล่ำไปด้วยพลังเวท
ทันทีที่อีฟในร่างซีโรก้าวเข้าสู่พื้นที่หลักของวิหาร ทุกสายตาก็หันมาจับจ้องอย่างพร้อมเพรียง เอลฟ์นักบวชผู้ประจำการต่างส่งยิ้มอ่อนโยนและค้อมศีรษะลงอย่างเคารพลึกซึ้ง ขณะที่ผู้เล่นทั่วบริเวณกลับแสดงออกด้วยแววตาวูบวาบ ทั้งตื่นเต้น ทั้งอยากรู้อยากเห็น บ้างถึงขั้นอ้าปากค้าง
เสียงกระซิบกระซาบเริ่มดังขึ้นเป็นระลอก…
“อาเจ้มาแล้ว!”
“ไปประจบเร็ว!”
“รีบขอภารกิจลับเร็ว เดี๋ยวคนอื่นจะได้ไปก่อน!”
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวแม้แต่ก้าวเดียว
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากเข้าไปหา ทว่าไม่มีใครกล้าแม้แต่จะก้าวเข้าใกล้เธอโดยพลการ
ความทรงจำถึงการมอบภารกิจลับในอดีตยังคงตราตรึงในใจของผู้เล่นจำนวนมาก นับตั้งแต่เธอใช้ร่างของซีโรในการส่งมอบภารกิจระดับพิเศษ ชื่อเสียงของเธอก็แพร่กระจายไปไกล และกลายเป็นเป้าหมายสูงสุดที่ผู้เล่นทุกคนต่างถวิลหา มีเพียงตัวเธอในฐานะเทพธิดาเท่านั้นที่เหนือกว่าสถานะนี้
ก่อนช่วงเปิดทดสอบสาธารณะ อีฟยังพอควบคุมสถานการณ์ได้บ้าง แต่เมื่อเซิร์ฟเวอร์เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ เหตุการณ์ในฟลอเรนซ์ที่เธอใช้ร่างซีโรปราบมังกรแดงทิบิเลียอย่างง่ายดาย ก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จุดประกายความคลั่งไคล้ของผู้เล่นกลุ่มใหม่
เมื่อข้อมูลถูกแลกเปลี่ยนจากผู้เล่นกลุ่มแรกสู่มือใหม่ ความศรัทธาและความหลงใหลในตัวซีโรก็แผ่ขยายอย่างควบคุมไม่ได้ บัดนี้ ทุกครั้งที่อีฟปรากฏตัวในร่างนี้ ก็จะมีผู้เล่นจำนวนมหาศาลพยายามรุมล้อม พูดคุย ขอภารกิจ หรือแม้กระทั่งตีสนิท บรรยากาศจึงแทบไม่ต่างจากไอดอลผู้เป็นที่รักกำลังเดินท่ามกลางฝูงแฟนคลับ
แน่นอนว่าอีฟเข้าใจดี ความสนใจเหล่านั้นมิได้เกิดจากความชื่นชมในตัวเธอโดยแท้ บางคนอาจรู้สึกเลื่อมใสอยู่บ้าง ทว่าส่วนใหญ่เพียงต้องการภารกิจลับเป็นรางวัลตอบแทน
ในที่สุด เธอจึงใช้ระบบค่าความชื่นชอบเพื่อจัดการปัญหา หากใครก็ตามเข้ามาใกล้หรือรบกวนเธอโดยไม่ได้รับอนุญาต ค่าความชื่นชอบจะถูกลดลงทันที
ด้วยการเป็นเครื่องหมายลบเดินได้นี้ สถานการณ์วุ่นวายจึงค่อย ๆ สงบลง แม้จะไม่ได้เงียบสนิท แต่ก็เพียงพอให้เธอมีพื้นที่หายใจ และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ตอนนี้ แม้อีฟจะยืนอยู่กลางวิหารเบื้องหน้าฝูงชน ผู้เล่นทุกคนต่างจับจ้องเธออย่างคาดหวัง แต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้…
กระนั้นก็ตาม ไม่มีใครยอมจากไปเช่นกัน พวกเขาเพียงเดินตามหลังเธออย่างเงียบงัน
วิหารที่เคยคับคั่งอยู่แล้ว ยิ่งแน่นขนัดขึ้นไปอีกเมื่อผู้เล่นจากภายนอกได้ข่าวและหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย แต่สำหรับอีฟแล้ว คนเหล่านี้ล้วนไม่อยู่ในความใส่ใจของเธอ
สายตาของเธอหยุดลง ณ จุดหนึ่ง มองตรงไปยังผู้เล่นรายหนึ่งซึ่งแต่งกายด้วยชุดนักบวชระดับเหล็กขั้นสูง
นับตั้งแต่มีการเปิดระบบเปลี่ยนอาชีพเป็นนักบวช ผู้เล่นจำนวนไม่น้อยก็ตัดสินใจเดินบนเส้นทางแห่งศรัทธานี้อย่างมั่นคง จนกล่าวได้ว่าทุกวันนี้ แทบทุกวิหารแห่งชีวิตล้วนมีผู้เล่นในชุดคลุมนักบวชปะปนอยู่ในกลุ่มสาวกพื้นเมือง หากมองผ่าน ๆ อาจแทบแยกไม่ออกว่าใครคือเอลฟ์แท้ และใครคือผู้เล่น
แต่หากกล่าวให้ชัดเจนแล้ว บทบาทของพวกเขาในตอนนี้ยังคงจำกัดอยู่ในฐานะ ผู้ช่วย ของนักบวชเอลฟ์ เป็นลูกมือที่คอยรับใช้ ทำหน้าที่ส่งสาร ประกาศข่าวสาร หรือแม้แต่ดำเนินพิธีกรรมขั้นต้นบางอย่างแทนตามคำสั่ง แม้จะยังไม่สามารถบรรลุถึงแก่นของศาสนา แต่ก็ถือเป็นบทบาทที่ใกล้ชิดกับศูนย์กลางแห่งศรัทธายิ่งกว่าผู้เล่นทั่วไปหลายเท่า
ผู้เล่นคนที่อีฟกำลังเพ่งมองอยู่นั้น ก็คือหนึ่งในนักบวชฝึกหัดเหล่านี้
ขณะที่อีฟทอดสายตาไปยังเขา ชายหนุ่มก็ตอบกลับด้วยสายตาเปล่งประกายอย่างตื่นเต้น ดวงตาคู่นั้นไหวระริกอย่างควบคุมไม่อยู่ ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตนกำลังเห็น และเมื่อสายตาของทั้งสองสบกันโดยตรง อีฟก็รับรู้ได้ในทันทีถึงแรงสะท้านที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา ลมหายใจของเขาเริ่มหนักหน่วง ร่างกายสั่นระริกโดยไม่ทันรู้ตัว สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อปนตื่นตะลึง หรือบางทีอาจจะมากกว่านั้น…
เธอไม่เอ่ยคำใด ไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียว อีฟก้าวตรงไปยังนักบวชหนุ่มผู้โชคดีคนนั้น
เมื่อเข้าใกล้จนถึงระยะประชิด อีฟก็ยื่นมือออกมา ม้วนคัมภีร์เวทฉบับหนึ่งพลันปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ และในพริบตานั้นเอง เธอก็ยัดมันลงในมือของเขา
ชายหนุ่มมองดูม้วนคัมภีร์ในมือด้วยสีหน้ามึนงงเล็กน้อย แต่ก็รีบประสานมือรับไว้อย่างนอบน้อม ไม่แม้แต่จะกล้าถามสักคำ
“ส่งให้หลี่มู่”
อีฟในร่างซีโร กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ห… ให้พี่มู่?”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ สายตากวาดไปมาอย่างสับสนเล็กน้อย
และในวินาทีนั้นเอง หน้าจอระบบก็กระพริบขึ้นตรงหน้าของเขา แจ้งเตือนภารกิจใหม่ [ส่งสาร] พร้อมด้วยรางวัลที่ล่อตาล่อใจจนแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
ชายหนุ่มยืดตัวตรงทันที แววตาสับสนเมื่อครู่กลับกลายเป็นเปล่งประกายด้วยความฮึกเหิม เขาก้มศีรษะลงอย่างเต็มพิธีการ ก่อนกล่าวเสียงดังฟังชัด
“จัดให้ครับท่าน!”
การส่งข่าวสารถือเป็นภารกิจพื้นฐานที่ NPC มักมอบหมายให้ผู้เล่นอยู่เป็นนิจ และด้วยความสามารถของระบบสนทนาที่ฝังอยู่ในตัวผู้เล่น การทำภารกิจลักษณะนี้จึงสะดวกสบายเกินจะบรรยาย ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายหรือใช้แรงมากมาย
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตอบรับภารกิจเรียบร้อยแล้ว อีฟเพียงพยักหน้าเป็นเชิงยืนยัน จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างเงียบงัน ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยังคงหลงเหลือในอากาศ
และก็เป็นดั่งทุกครั้ง ทันทีที่ร่างของเธอลับสายตา คลื่นมหาชนก็กรูกันเข้ามาล้อมนักบวชผู้นั้นทันที
“เจลลี่! อาเจ้ให้ภารกิจอะไรนายเหรอ?!”
“ใช่ภารกิจลับมั้ย? ข่าวด่วนอะไรน่ะ?”
“โธ่เว้ย อิจฉา…!”
เสียงอื้ออึงดังกระหึ่มไปทั่วขอบวิหาร นักบวชหนุ่มผู้มีนามว่าเจลลี่ถึงกับตกใจที่ถูกล้อมด้วยคำถามสารพัด แต่เขาก็รีบเปิดม้วนคัมภีร์ขึ้นอ่านทันที ก่อนที่คนอื่นจะพยายามแย่งชิง
สายตาของเขากวาดผ่านบรรทัดข้อความที่ปรากฏบนแผ่นเวทนั้น และแล้ว.. แววตาของเขาก็พลันสว่างวาบ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“…คณะทูต? อาณาจักรแห่งเทพ? แบบนี้มันศึกใหญ่ชัด ๆ!”
เสียงของเขาแม้จะเบา แต่เต็มไปด้วยแรงสะเทือน กระทั่งยังไม่ทันที่ความคิดจะตกผลึก เสียงแจ้งเตือนระบบก็ดังขึ้นพร้อมกันทั่วทั้งเซิร์ฟเวอร์
ปุกิ๊ง—!
[เนื้อเรื่องลับ: “อาณาจักรแห่งเทพของต้นไม้โลก” ได้รับการเปิดใช้งานแล้ว]
[รายละเอียดเนื้อเรื่อง: มีข่าวลือแพร่สะพัดออกมาจากทะเลทรายมรณะ ว่า ‘อาณาจักรแห่งเทพของต้นไม้โลก’ ได้ปรากฏขึ้น แม้จะยังไม่มีผู้ใดสามารถยืนยันข่าวนี้ได้แน่ชัด แต่ในฐานะผู้ศรัทธาและผู้พิทักษ์แห่งเทพธิดา พวกท่านจำต้องเตรียมพร้อมสำหรับสงครามเต็มรูปแบบ…]
[กองทัพเอลฟ์ได้เตรียมการใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เพื่อชัยชนะในศึกสุดท้าย ท่านต้องเร่งแผนการให้ถึงที่สุด!]
ปุกิ๊ง—!
[เงื่อนไขพิเศษเปิดใช้งาน: สถานะเตรียมพร้อมรบ]
[สถานะเตรียมพร้อมรบ: ภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์นับจากนี้ การได้รับค่าประสบการณ์ของผู้เล่นทั้งหมด จะเพิ่มเป็นสองเท่า]
“ค่าประสบการณ์สองเท่า?!”
เสียงโห่ร้องระเบิดขึ้นทั่วทั้งวิหารทันที
…
ภายในทะเลทรายมรณะ
ณ จุดตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลทรายนี้ มีหนึ่งในเผ่าขนาดใหญ่ของฮาล์ฟออร์คตั้งมั่นอยู่ เผ่าที่มีนามว่ากระโจมเงิน พวกเขาคือกองกำลังแนวหน้า ผู้รับมือกับการรุกรานจากเอลฟ์อย่างต่อเนื่อง และยังตั้งรกรากอยู่ใกล้เทือกเขาทมิฬมากที่สุดในบรรดาเผ่าทั้งหมด
เฉกเช่นเดียวกับเผ่าอื่น ๆ ที่อยู่ในเขตแดนนี้ เมื่อพวกเอลฟ์เริ่มต้นการปล้นสะดมอย่างเปิดเผย เผ่ากระโจมเงินก็มิได้นิ่งเฉย พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากสมาคมการค้าโซเรนในการก่อสร้างกำแพงค่ายขึ้นอย่างเร่งด่วน แม้จะเป็นเพียงกำแพงชั้นเดียวและไม่มีป้อมปราการถาวร หากแต่ก็เพียงพอสำหรับขวางศัตรูที่บุกเข้ามาได้ในระยะสั้น
ประกอบกับจำนวนประชากรของเผ่าที่มีมากกว่าหมื่นตน และกองกำลังที่จัดเตรียมไว้อย่างแข็งแกร่ง ทำให้จนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยมีเอลฟ์กล้าบุกเข้ามายังเขตนี้แม้แต่ครั้งเดียว ที่แห่งนี้จึงถูกกล่าวขานว่าเป็นจุดที่ปลอดภัยที่สุดในเขตภัยพิบัติจากเอลฟ์
แม้แต่เผ่าขนาดเล็กที่เคยตั้งอยู่โดดเดี่ยวกระจัดกระจาย ต่างก็พากันย้ายเข้ามาพึ่งใบบุญ พวกเขาสร้างกระโจมเรียงรายอยู่รอบนอกของกำแพงเผ่ากระโจมเงิน เพียงเพื่อหวังหลบเลี่ยงเงื้อมมือจากพวกเอลฟ์ที่น่าเกรงขาม
ณ หอคอยยามบนกำแพงค่ายของเผ่ากระโจมเงิน ทหารยามฮาล์ฟออร์คผู้หนึ่งยืนเหม่อมองผืนทรายเวิ้งว้างที่ทอดยาวสุดสายตา แสงแดดร้อนจัดทำให้ขอบฟ้าแลดูพร่าเลือน ดวงตาเขาครึ้มลงด้วยความเบื่อหน่าย และหัวใจก็ชาชินกับความเงียบงันอันน่าอึดอัดของทะเลทราย
ทว่าในวินาที แววตาของเขาพลันเปลี่ยนไป
“นั่นมันอะไรน่ะ?”
เขาขมวดคิ้ว หรี่ตามองไปยังเนินทรายทางทิศเหนือ
ที่นั่น… บังเกิดคลื่นฝุ่นทรายมหึมาพัดกระจายลอยขึ้นสูงเหนือขอบฟ้า สร้างม่านหมอกบางที่บดบังแสงอาทิตย์และทัศนวิสัย
หัวใจของทหารยามเต้นกระหน่ำในอก เขารีบคว้ากล้องส่องทางไกลเวทมนตร์ ซึ่งเป็นสินค้าราคาแพงจากสมาคมการค้าโซเรน แล้วเพ่งมองออกไปยังจุดที่มีฝุ่นทรายฟุ้งกระจาย…
ภายใต้ม่านฝุ่น เขามองเห็นภาพอันน่าตะลึง
ธงรบหลากสีโบกสะบัดอย่างสง่างามกลางสายลม ทั้งอินทรีสองหัวสีดำ ดอกไอริสสีทอง สัญลักษณ์รูปทรงสี่เหลี่ยมลึกลับ และมังกรดำ ธงเหล่านั้นล้วนเป็นที่สิ่งคุ้นตาสำหรับทุกชีวิตในทะเลทรายนี้ มันมาพร้อมกับภัยพิบัติอันใหญ่หลวง
ทว่าไม่ใช่แค่ธงเท่านั้นที่ทำให้เขาใจหายวาบ
เบื้องล่างธงเหล่านั้นคือกองทัพเอลฟ์จำนวนมาก สวมเกราะเต็มยศ แบกอาวุธครบมือ ขี่สัตว์อสูรหลากหลายพันธุ์เดินเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ มีจำนวนไม่น่าจะต่ำกว่าสองพันนาย!
“แย่แล้ว!!”
เสียงเขาสั่นพร่า ริมฝีปากแห้งผากด้วยความหวาดหวั่น ทหารยามรีบกระโจนไปตีระฆังเตือนภัยบนหอคอยทันที เสียงโลหะกระทบกันดังแหลมก้องสะท้านไปทั่วทั้งค่าย ขณะที่ข่าวการมาถึงของกองทัพเอลฟ์ก็แพร่สะพัดราวกับไฟลามทุ่ง
แม้เผ่ากระโจมเงินจะเตรียมพร้อมและมีพลังรบสูง แต่เพียงชื่อเสียงของเหล่าเอลฟ์ที่โหมกระพืออยู่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ก็เพียงพอจะสร้างความตื่นตระหนกไปทั่วเผ่า ฮาล์ฟออร์คบางกลุ่มถึงกับสติแตก วิ่งพล่านด้วยความตระหนก
กระทั่งกองทัพศัตรูเคลื่อนทัพมาจนถึงหน้าเมือง และหยุดลงห่างจากกำแพงเพียงระยะหนึ่ง เสียงตะโกนปลอบขวัญของเหล่าผู้นำจึงค่อย ๆ เรียกสตินักรบให้กลับมา
“ใจเย็นไว้! พวกมันมีแค่สองพัน ไม่มีทางฝ่าผนังค่ายของเราได้!”
หัวหน้านักบวชประจำเผ่าตะโกนก้องจากบนกำแพง ขณะมองกองทัพเอลฟ์ด้วยสายตาแน่วแน่
แม้คำปลอบโยนจะสงบความวุ่นวายได้บ้าง ทว่าในแววตาของเขากลับฉายความสงสัยออกมาอย่างชัดเจน
จำนวนของพวกเอลฟ์นั้น น้อยเกินกว่าจะเปิดศึกตรง ๆ กับเผ่ากระโจมเงิน แม้พวกเขาจะเคยใช้กลยุทธ์ลอบโจมตีและล้มเผ่าขนาดกลางมาแล้วหลายครั้ง ทว่าในสถานการณ์ที่เผ่าแห่งนี้เตรียมการรับมือพร้อมสรรพ พวกเขากลับไม่บุก และยืนหยุดอยู่ในจุดที่ห่างจากระยะยิงของพลธนูฮาล์ฟออร์คอย่างพอดิบพอดี
…พวกมันต้องการอะไรกันแน่?
เขาครุ่นคิด พลางจ้องดูศัตรูเบื้องหน้าอย่างไม่วางตา
และในขณะที่ความสงสัยก่อตัวขึ้นในหัวใจของเขา กองทัพเอลฟ์ก็เริ่มขยับเคลื่อนไหว
เอลฟ์ชายผู้หนึ่งควบมังกรยักษ์สีดำทะมึนอยู่ด้านหน้ากองทัพ เขาโน้มตัวลงกระซิบถ้อยคำบางอย่างกับสหายที่อยู่ใกล้เพียงสองสามคำ ก่อนที่เอลฟ์อีกตนจะยกคันธนูขึ้น
เขาโน้มสายธนูจนสุด เส้นแสงแห่งพลังเวทแผ่ซ่านจากปลายนิ้ว
แสงสว่างส่องวาบในวินาทีนั้น ลูกธนูเวทพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วราวอสนีบาตฉีกฟ้า ตรงสู่หัวหน้านักบวชบนกำแพงเผ่ากระโจมเงิน
“หัวหน้านักบวช! ระวัง!”
เสียงตะโกนเตือนจากเหล่านักรบฮาล์ฟออร์คดังขึ้นอย่างตื่นตระหนก คล้ายพายุที่โหมกระหน่ำกลางใจค่าย ทว่าเจ้าของชื่อต้นเหตุกลับยืนนิ่งสงบ ท่ามกลางเสียงอื้ออึงรอบตัว
เขาคือหัวหน้านักบวชแห่งเผ่ากระโจมเงิน ยอดฝีมือในระดับทอง บุคคลซึ่งถือได้ว่าทรงพลังที่สุดในเผ่า แม้จะเห็นลูกธนูพุ่งตรงมายังตำแหน่งของตน แต่ใบหน้าของเขาก็ไม่เผยความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
เพราะด้วยประสบการณ์และสัญชาตญาณที่สั่งสมมาหลายสิบปี เขาย่อมมองออกได้ทันที… ลูกธนูนั้นไม่ใช่การโจมตี หากแต่เป็นการส่งสาร
สายตาของเขาไล่ตามวิถีของลูกธนูอย่างแม่นยำ ก่อนจะเห็นมันปักลงตรงเสาหินเบื้องหน้า แรงปะทะแม้จะหนักแน่นแต่ก็ไร้เจตนาร้าย
เหนือหัวลูกธนูนั้น มีแผ่นหนังแกะม้วนอยู่ ผูกติดไว้แน่นหนาด้วยเส้นด้ายสีดำ
“หืม?”
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนก้าวเข้าไปใกล้ ดึงลูกธนูออกจากเสาอย่างระมัดระวัง และแกะม้วนหนังออกด้วยมือที่ยังเปื้อนกลิ่นระแวดระวัง
ทันทีที่แผ่นหนังคลี่ออก ตัวอักษรเรียงรายเต็มหน้ากระดาษก็สะท้อนเข้าสู่ดวงตา… มันเขียนด้วยภาษาทั่วไปของทวีป แม้จะไม่ใช่ภาษาหลักของเผ่าฮาล์ฟออร์ค แต่เขาผู้เคยศึกษาในศาสนจักรก็ยังพออ่านได้อยู่บ้าง
“…ถึงพวกฮาล์ฟออร์คแห่งทะเลทรายผู้หยาบช้าและไร้เกียรติ”
“…จงส่งมอบอาณาจักรแห่งเทพของพระมารดาคืนภายในเจ็ดวัน ก่อนที่ประกายแห่งพระพิโรธจะสาดแสงลงมาจากเบื้องบน”
“…กองทัพแห่งศรัทธาได้รวมพลพร้อมแล้ว และหากพวกเจ้ายังกล้าดื้อดึงต่อต้านเจตจำนงขององค์เทพธิดา ก็จงเตรียมรับทัณฑ์สวรรค์ที่จักหลอมดินแดนของเจ้าจนกลายเป็นเพียงเถ้าถ่าน
“…กีบเหล็กจากพงไพรจะเหยียบย่ำทะเลทรายมรณะจนแหลกลาญ และแสงแห่งพระองค์ จักส่องประกายไปทั่วทุกขอบเขต”
“นี่มัน… สาส์นท้ารบงั้นรึ..?”
สีหน้าของหัวหน้านักบวชพลันเปลี่ยนแปลง ความเคร่งขรึมปรากฏชัดในทุกเส้นสายบนใบหน้า เขาเงยหน้าขึ้นทันที เพ่งมองกองทัพเอลฟ์อีกครั้ง
และสิ่งที่เห็น คือขบวนศัตรูกำลังหันหลังกลับ
กองทัพเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า ทว่ามั่นคง ท่ามกลางสายลมแห่งทะเลทรายที่พัดเอาฝุ่นผงให้ลอยคลุ้ง สะบัดผืนธงรบให้ไหวไหวราวกับประกาศชัยล่วงหน้า
ไม่มีการโจมตี ไม่มีการปะทะ ไม่มีเสียงกลองศึก มีเพียงสาส์นฉบับเดียวที่หนักแน่นยิ่งกว่าหอกและโล่ใด
หัวหน้านักบวชลดสายตากลับมามองแผ่นหนังในมืออีกครั้ง
คำว่า ‘พระพิโรธ’ กับ ‘แสงแห่งพระองค์’ ยังคงติดตาเขาไม่หาย ดวงตาเขาพร่าเลือนเล็กน้อย ขณะที่ริมฝีปากเริ่มขยับพึมพำคำถามที่ทำให้หัวใจเต้นระรัว
“…หมายความว่า ผู้ที่จะโจมตีทะเลทรายมรณะอาจไม่ใช่แค่กองทัพเอลฟ์…แต่เทพธิดาจะลงมือด้วยพระองค์เอง?!”
สายลมร้อนระอุของทะเลทรายพัดผ่านเรือนผมที่เปียกชื้นด้วยเหงื่อ
“…จะละเมิดข้อตกลงของเหล่าเทพงั้นรึ?!”
ความคิดนั้นเย็นเยียบยิ่งกว่าหิมะกลางฤดูหนาว เพราะในดินแดนนี้ ไม่มีผู้ใดที่ต้านทานความพิโรธของเทพได้
ไม่มีสิ่งใด
ไม่มีผู้ใด
แม้แต่ศาสนจักรที่เขาเคยสังกัด ก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยชื่อของเทพธิดาต้นไม้โลกด้วยความลบหลู่ แล้วเผ่าฮาล์ฟออร์คจะสามารถทัดทานเธอได้อย่างไร?
เรื่องนี้ต้องรายงานต่อศาสนจักรโดยเร็วที่สุด
ข้าต้องสวดวิงวอนต่อพระบิดาทันที!
เพราะเมื่อแสงของเทพธิดาฉายส่องสู่ผืนทะเลทรายแล้ว จะไม่มีเงาใดหลงเหลือให้ซ่อนตัวได้อีกต่อไป…
…
แดนสวรรค์ ทุ่งน้ำแข็งสีเงิน
ในดินแดนซึ่งหิมะมิรู้จักฤดูกาล และแสงจันทร์สะท้อนบนผิวธารน้ำแข็งจนดูดั่งกระจกเงิน อูลร์ เทพแห่งเหมันตฤดูและการล่า ทอดมองภาพเบื้องหน้าที่สะท้อนผ่านม่านพลังศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะสะบัดปลายนิ้วเบา ๆ
ทันใดนั้น ภาพทั้งหมดก็แตกสลายลงเหมือนแผ่นน้ำแข็งบางที่ถูกกระแทก
“เหอะ… คิดจะข่มขู่ข้างั้นหรือ…”
เสียงของเขาเปล่งออกมาพร้อมรอยยิ้มเยาะเย้ย แฝงไว้ด้วยความไม่ไยดีและความมั่นใจที่เยือกเย็นดุจพายุหิมะ
อูลร์ลุกจากบัลลังก์หิมะอันแหลมคม ฝีเท้าแน่นหนักแต่เปี่ยมด้วยความสง่างาม ก้าวตรงไปยังลูกแก้วแห่งแสงที่หมุนวนอยู่กลางอากาศ ใจกลางวิหารน้ำแข็งนิรันดร์
เขายกมือขึ้น ร่ายถ้อยคำเก่าแก่ที่สืบทอดมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล เสียงสะท้อนของเขาก้องกังวานในความว่างเปล่า
เมื่อถ้อยคำสุดท้ายจบลง ลูกแก้วแห่งแสงก็พลันแปรเปลี่ยน เปล่งรัศมีแห่งความมืดออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแผ่ขยายกลายเป็นเงาทึบขนาดมหึมา บิดเบี้ยวจนกลายเป็นภาพสะท้อนของมิติแปลกแยก พื้นที่ลับเร้นที่ไร้กาลเวลา ไร้รูปร่าง และไม่มีขอบเขตแน่นอน
พลังเทพแห่งเหมันตฤดูหลั่งไหลจากร่างของอูลร์สู่มิตินั้น เขาแทรกสำนึกของตนเข้าสู่มิติเร้นลับ เพื่อเรียกประชุมเหล่าตัวตนระดับสูง
ภายในมิติแปลกแยกซึ่งลอยล่องอยู่ในห้วงสุญญะ มวลเงามืดไหวสะเทือนและเบ่งบานออก เผยให้เห็นร่างอันทรงอำนาจทั้งสี่ปรากฏขึ้นทีละตน
เทวทูตผู้ร่วงหล่น ลูเรีย ปรากฏขึ้นเป็นตนแรก ดวงตาของเธอส่องแสงวูบไหวขณะเหลือบมองอูลร์ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยอย่างเย้ยหยัน
“ถึงกับเรียกประชุมกะทันหันแบบนี้… มีเรื่องอะไรน่าสนุกเกิดสินะ?”
อูลร์ไม่ตอบคำถาม หากแต่หันไปยังเทพแห่งความมืดและเงา โฮลเดอร์ ผู้ประทับนิ่งอยู่บนที่นั่งสูงสุดกลางมิติ
“ท่านโฮลเดอร์… ข้าเพิ่งได้รับสาส์นท้ารบจากนังเทพมารอีฟ’”
น้ำเสียงของอูลร์ราบเรียบ แต่ภายในแฝงไว้ด้วยความหนักแน่น
“มันขีดเส้นตายให้ข้าคืนอาณาจักรแห่งเทพภายในเจ็ดวัน มิฉะนั้นจะเคลื่อนพลโจมตีทะเลทรายมรณะ และที่น่ากังวลที่สุด นังนั่นบอกเป็นนัยว่าอาจลงมือด้วยตนเอง”
กล่าวจบ อูลร์ก็ยกมือขึ้น ภาพจำลองของแผ่นหนังสาส์นท้ารบที่ยิงมาโดยเอลฟ์ในสนามรบก็ปรากฏกลางอากาศ
โฮลเดอร์ปรายตามองเนื้อหาบนแผ่นหนังเพียงครู่เดียว แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย
“หืม?”
เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเผยสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย
“นางยังพอมีสติอยู่บ้างสินะ ถึงรู้ว่ากฎของเทพนั้นห้ามลงมือโดยตรง เว้นแต่ว่าจะถูกยั่วยุอย่างร้ายแรง”
โฮลเดอร์ขยับนิ้วเคาะบนที่วางแขนของบัลลังก์
“แต่นางอาจแค่ถ่วงเวลา และหากเป็นเช่นนั้น ก็ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย”
ดวงตาของเทพแห่งเงาแคบลง เขาเผยรอยยิ้มบางเฉียบ
“หากนางเป็นอย่างที่ข้าสงสัยจริง ๆ ล่ะก็ ต่อให้นางถ่วงเวลาได้อีกสักหน่อย ก็คงเป็นเพียงการดิ้นรนครั้งสุดท้ายเท่านั้น”
อูลร์พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยแววตากึ่งลังเล กึ่งกระหายการเผชิญหน้า
“เช่นนั้น ข้าควรตอบกลับหรือไม่? หรือเพียงรอให้มันปรากฏตัวหลังจากครบกำหนด?”
โฮลเดอร์ยกมือขึ้นเล็กน้อย เป็นเชิงห้าม
“ไม่ต้องตอบ”
“ในเมื่อนางให้เวลา… เราก็ใช้ช่วงเวลานี้ให้คุ้มค่า เตรียมกับดักให้สมบูรณ์ที่สุด”
“ส่วนตัวตนที่แท้จริงของนางนั้น… อีกหนึ่งสัปดาห์เราจะได้รู้กัน”
“สำหรับตอนนี้ จงเตรียมตัวเข้าสู่สงคราม”
คำพูดของโฮลเดอร์จบลงอย่างเฉียบคม ทว่ากระแสพลังในมิติก็ยังไม่สงบลงดีนัก
อูลร์ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิม ก่อนจะเปรยถามอีกครั้ง
“ท่านโฮลเดอร์… ท่านไม่คิดจะส่งกองทัพเงาออกไปเลยรึ?”
โฮลเดอร์ปรายตามองอูลร์ รอยยิ้มผุดขึ้นมุมปาก คล้ายเย้ยหยัน
“เจ้ากลัวว่าสาวกจะตายมากเกินไป จนกระทบต่อพลังของตัวเองหรือไง?”
อูลร์นิ่ง ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธใด ๆ
เสียงหัวเราะต่ำดังขึ้นในลำคอของโฮลเดอร์
“มองให้ไกลกว่านี้หน่อยเถิดอูลร์ หากเจ้าสามารถช่วงชิงพันธกิจแห่งชีวิตและธรรมชาติมาได้จริง เส้นทางของเจ้าจะราบรื่นกว่าทุกวันนี้มากนัก”
“อย่าเอาสิ่งใหญ่ ไปแลกกับของเล็กน้อย”
ว่าจบ ร่างของเทพแห่งเงาก็พลันสลายหายไปจากมิติ เหลือไว้เพียงคำพูดที่ยังดังก้องในความว่างเปล่า
ต่อจากนั้น ลูเรีย เทวทูตผู้ร่วงหล่น ก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วปล่อยร่างของตนจางหายไปตาม ส่วนราชินีแห่งความเจ็บปวด อลิซซา ก็เพียงยักไหล่แล้วสลายหายตามหลังไปอย่างเงียบงัน
ในที่สุด ก็เหลือเพียงอูลร์ผู้เดียวท่ามกลางความว่างเปล่า
เขายืนนิ่งอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกัดฟันแน่น แล้วพยักหน้าให้กับตัวเอง
ร่างของเทพเหมันตฤดูล่องลอยขึ้น แล้วจางหายไปในม่านพลัง ก่อนที่มิติพิเศษแห่งนี้จะกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
…
…
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
วิเวียน: หึ… สะใจชะมัดเลยค่ะ! 😏✨ เห็นหน้าพวกออร์คตอนเปิดอ่านสาส์นแล้วมัน… อูย~ หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งเดือนห้า! อีฟเล่นเปิดฉากสงครามด้วยจิตวิทยาล้วน ๆ แต่แรงกระเพื่อมถึงชั้นฟ้าเลยล่ะ!
โนเอล: การส่ง “สาส์นท้ารบ” ก่อนเปิดฉากรบนั้นถือเป็นศาสตร์ชั้นสูงเลยนะคะ มันไม่ใช่แค่จิตวิทยา แต่มันเป็น หมากดึงจังหวะ ให้ทั้งดินแดนหันมาจับตา เหมือนอีฟกำลังวางตำแหน่งตนเองในฐานะ “ผู้นำศรัทธาแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์” อย่างชัดเจนแล้วค่ะ ☕✨
ลิลี่: หนูชอบมากเลยพี่จ๋า~ แบบว่าซีโร่เดินเข้าวิหารแล้วทุกคนแตกตื่นนี่มันโคตรเหมือนไอดอลดังเดินเข้าช็อปกลางสยามเลย~ 😻✨
มันเดย์: ช็อป? สยาม? นั่นย้อนกลับไปปีไหนของเธอ… เอาเถอะ ซีโรยังควบคุมฝูงชนด้วย “ระบบค่าความชื่นชอบติดลบ” อีกนะ อัจฉริยะมาก บังคับคนให้เคารพระยะห่าง โดยไม่ต้องพูดว่า “อย่ามายุ่ง” สักคำเดียว
ถั่ว: มันเดย์อย่าทำเหมือนเรามาจากอนาคตดิ
~~ ❀ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น… สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ส่วนใหญ่เค้าชอบทำเวอร์ชันแก้ไขคำผิดทีหลัง และปรับสำนวนแทบทุกตอนหลังอัพโหลด ดังนั้นต้องที่เนโกะฯเท่านั้น..!
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION