“เจ้ามีข่าวจะรายงานเรอะ?”
เสียงทุ้มของเอลฟ์หนุ่มดังกังวานขึ้นทันทีที่ได้ยินคำพูดของชารุ แววตาคมหรี่ลงเล็กน้อย ราวกับเริ่มจับกลิ่นบางอย่างได้ เขายกมุมปากขึ้นเพียงน้อย คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มเต็มใบหน้า
“งั้นก็ว่ามา ชั้นกำลังอยากฟังพอดี”
น้ำเสียงของเขาไม่ได้ร้อนรน หากแต่เปี่ยมไปด้วยความใคร่รู้ แฝงความกระตือรือร้นที่พยายามเก็บซ่อนไว้เบื้องหลังท่าทีขึงขัง ชารุลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยกมือชี้ไปยังทางเดินด้านหลัง
“ท่านเอลฟ์… ตอนที่ข้ามาถึงเมื่อครู่นี้ เห็นฮาล์ฟออร์คราวสิบกว่าตัวกำลังจับกลุ่มกระซิบกระซาบกันอยู่ตรงนั้น”
พลางพูด เขาก็เล่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเห็นอย่างละเอียด ตั้งแต่ท่าทางของเหล่าฮาล์ฟออร์ค คำพูดที่จับใจความได้ ไปจนถึงบรรยากาศแปลกประหลาดรอบตัวพวกมัน
เมื่อฟังจบ เดมาเซียก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ดวงตาแพรวพราวขึ้นคล้ายจะยิ้ม ขัดกับมุมปากที่กดข่มไว้สุดกำลัง
“หืม… เจ้าจะบอกว่ามีใครกำลังข้อง? คิดจะลุกฮือหรือหนีเอาตัวรอดอ่านะ?”
เขาถามด้วยน้ำเสียงขบขัน ไม่มีแววตื่นตระหนก ไม่มีความโกรธเคืองอย่างที่ควรจะเป็น ตรงกันข้าม แววตาที่ชารุเห็นในยามนั้นกลับเยือกเย็นและเป็นประกาย คล้ายสายตาของนักล่าที่พบเหยื่อใหม่
นั่นเป็นแววตาที่เขาเคยเห็นมาแล้ว… เมื่อครั้งที่พวกเอลฟ์กวาดล้างหมู่บ้านกลางทะเลทรายมรณะอย่างไร้ความปรานี
ความสยดสยองที่แฝงอยู่ในรอยยิ้มอ่อน ๆ นั้น ทำให้ชารุรู้สึกขนลุกวาบ ความเยือกเย็นแผ่ซ่านขึ้นมาจากกลางหลังโดยไม่รู้ตัว
เขาสูดลมหายใจลึกหนึ่งครั้ง รวบรวมสติ แล้วพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“ขอรับ… พวกนั้นพยายามจะชักชวนข้าให้เข้าร่วม แต่ข้าปฏิเสธทันที”
“ฮี่ฮี่ฮี่… แบบนี้สิถึงจะน่าสนใจ”
เสียงหัวเราะที่หลุดจากปากเดมาเซียเบาและเริงรื่น เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะกวาดสายตาพินิจร่างของชารุจากหัวจรดเท้าอีกครั้ง
ภายใต้สายตาคมกริบคู่นั้น ชารุรู้สึกราวกับตนกำลังยืนเปลือยเปล่าอยู่กลางสนามประลองโดยไม่มีที่หลบซ่อน เขายืดตัวโดยอัตโนมัติ ก่อนจะโน้มศีรษะลงต่ำเพื่อแสดงความเคารพ
“เจ้าชื่ออะไร?”
เสียงของเอลฟ์หนุ่มเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
“ข้าชื่อชารุขอรับท่านเอลฟ์”
เขาตอบอย่างนอบน้อม เสียงแทบจะหลุดออกมาเป็นเสียงกระซิบด้วยความตึงเครียด และยังไม่ทันที่คำพูดจะสิ้นสุด มือหนาข้างหนึ่งก็วางลงบนบ่าของเขาอย่างหนักแน่น และน้ำเสียงที่เขาคุ้นเคยดีนักก็ดังขึ้นจากเบื้องบน
“ชารุสินะ เอ็งมันใจเด็ดดี! ตั้งแต่นี้ไป เจ้าจะได้กินเนื้อทุกวัน!”
คำพูดธรรมดา ๆ นั้นกลับดังขึ้นราวกับสวรรค์เปิด ดวงตาของชารุเบิกกว้าง ราวกับมีแสงสว่างสาดส่องเข้ามาในชีวิตอันมืดหม่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มเกินจะกลั้น
เขาเคยคิดว่า การตกเป็นทาสนั้นคือโชคชะตาที่ไม่อาจฝืนเปลี่ยน แต่หากยังสามารถได้ลิ้มรสเนื้ออันหอมกรุ่นแม้เพียงวันละครั้ง นั่นก็อาจถือเป็นความสุขเล็ก ๆ ที่พอจะไขว่คว้าได้ในชีวิตนี้…
ชารุซึ่งไม่เคยมีสิ่งใดโดดเด่นเลยในชีวิต ไม่ว่าจะฝีมือหรือชาติกำเนิด หากแต่จิตใจของเขากลับยึดมั่นในความหวัง และมองเห็นความงามในสิ่งเล็กน้อยได้เสมอ
“ขอบคุณท่านเอลฟ์มาก!”
เขากล่าวพลางก้มศีรษะลึกอีกครั้ง
ทว่าขณะที่ชารุกำลังกล่าวคำขอบคุณด้วยแววตาเปล่งประกาย เดมาเซียกลับหยุดมือที่วางอยู่บนบ่าของเขา รอยยิ้มบนใบหน้าเปลี่ยนเป็นเยาะเย้ยกรุ้มกริ่มเล็กน้อย เสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยเล่ห์กระเท่ห์และความเจนจัดในการจับจังหวะคน
“แต่ชั้นมีเรื่องสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง… ทำไมเจ้าถึงเลือกมารายงานชั้นแทนที่จะช่วยปิดบังพวกพ้องของตัวเองล่ะ? ว่ากันตามตรง เจ้ากับพวกนั้นก็เผ่าพันธุ์เดียวกัน ส่วนพวกชั้นนี่ เป็นศัตรูชัด ๆ เลยไม่ใช่เรอะ?”
ถ้อยคำเหล่านั้นราวกับหอกแหลมแทงเข้าไปกลางอกชารุ เขาชะงักกึกในทันที กล้ามเนื้อทั่วร่างตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สายตาที่เคยแน่วแน่เริ่มสั่นไหวไปด้วยความลังเล ริมฝีปากขบแน่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเขาจะยอมเอ่ยคำตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“มันไม่มีประโยชน์หรอก… พวกข้าหนีไม่พ้นหรอก”
เขาส่ายศีรษะช้า ๆ แววตาหม่นหมองเจือแววปลงตก
“ไม่มีประโยชน์?”
เดมาเซียทวนคำพร้อมเลิกคิ้ว
“ว่ากันตามตรง ชั้นเองก็ไม่ได้ส่งคนเฝ้าพวกเจ้าตลอดเวลา ถ้าคิดจะหนีก็คงทำได้ไม่ใช่รึไงฮึ?”
เขาพูดพลางยักไหล่ ทำเหมือนไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ในน้ำเสียงนั้นแฝงความแหลมคมอย่างน่าประหลาด
ชารุกลับหัวเราะขึ้น ก่อนเอ่ยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความขมขื่น
“พวกเราทุกคน… ได้ลงนามในพันธะสัญญาแล้ว หากคิดทรยศแม้เพียงนิดเดียว ก็จะได้รับผลสะท้อนที่รุนแรง และถึงแม้จะทนมันได้ ก็ยังต้องหนีการไล่ล่าจากผู้ที่มีพลังสูงกว่าอยู่ดี”
เมื่อสิ้นประโยค เขาก็ถอนหายใจอย่างหนัก
“ข้ารู้ว่าผู้คุมเหมืองนี้ ไม่ได้มีแค่ท่านเอลฟ์ ยังมีแมงมุมถ้ำที่สอดส่องไปทั่ว… และเหนือสิ่งอื่นใด ยังมี ท่านผู้ยิ่งใหญ่ คอยควบคุมพวกมันอยู่อีก…”
คำพูดสุดท้ายนั้นเอ่ยออกมาอย่างช้า ๆ เน้นหนักในแต่ละถ้อยคำ ทำให้เดมาเซียถึงกับชะงักไปเล็กน้อย
“โอ… รู้เยอะกว่าที่ชั้นคิดอีกนะเนี่ย”
เดมาเซียเหลือบตามองเขาด้วยแววตาฉงน พลางเลิกคิ้วขึ้นอย่างแผ่วเบา สีหน้าเปลี่ยนจากเย้าหยันเป็นประหลาดใจโดยแท้
“เอ่อ… เรื่องนั้น…”
ชารุรีบตอบอย่างนอบน้อม
“ข้าเคยเป็นนักบวชของเผ่าข้ามาก่อน มักมีหน้าที่เจรจากับคาราวานมนุษย์ เลยพอได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพลังของพวกท่านบ้างน่ะขอรับ”
“หา?! เจ้าเคยเป็นนักบวช?!”
คราวนี้เดมาเซียถึงกับอุทานเสียงดัง เขาจ้องมองชารุราวกับเพิ่งเห็นสิ่งมีชีวิตประหลาดจากอีกโลก กวาดสายตาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกครั้งโดยละเอียด
“เอาจริงดิ… มีนักบวชที่ทอดทิ้งศรัทธา ยอมตกเป็นทาส แล้วยังมาเสนอหน้าทำตัวเป็นสายสืบอีก… โห… ทรยศได้เร็วขนาดนี้เลยเรอะ? นึกว่านักบวชของพวกมันจะมีแต่พวกหัวแข็งที่เลือกตายอย่างองอาจซะอีก…”
เขาพึมพำรัวเร็ว คล้ายกับพูดกับตัวเองมากกว่าจะพูดให้ใครฟัง
ขณะนั้นเอง เอลฟ์หนุ่มอีกตนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ขยับเข้ามาใกล้ พลางกระแอมเบา ๆ สองครั้ง ก่อนจะโน้มตัวกระซิบข้างหูเขา
“พี่เดมาเซีย… เจ้าฮาล์ฟออร์คคนนี้น่ะ เป็นตัวที่หัวหน้าสมาคมของผมจับมาได้เอง เป็นนักบวชคนเดียวที่ยอมจำนน… เอ่อ… ผมลืมบอกพี่ก่อนหน้านี้น่ะครับ”
“หัวกิลด์ของแก?”
เดมาเซียหันขวับไปมองอีกฝ่ายด้วยความฉงน
คนที่พูดคือหนึ่งในผู้เล่นจากคณะกรรมการโมเอะโมเอะ และแน่นอน หัวหน้าสมาคมที่เขากล่าวถึง ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลูกเมี้ยวเค็ม…
“ถึงว่าล่ะ… ชั้นเหมือนจะเคยได้ยินน้อนเหมียวพูดถึงอยู่ ดันลืมสนิทซะงั้น”
เดมาเซียพยักหน้าเบา ๆ สีหน้าเผยแววเข้าใจอย่างฉับไว ความทรงจำบางอย่างแล่นกลับมาในห้วงคิด
เขาเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับกรณีหนึ่งจากลูกเมี้ยวเค็ม ว่าครั้งหนึ่งเธอเคยจับนักบวชปลอมได้รายหนึ่ง เป็นฮาล์ฟออร์คที่ภายนอกครองตำแหน่งนักบวชระดับเงิน หากแต่ระดับศรัทธากลับอ่อนบางราวกับสาวกระระดับตื้นเขิน และในที่สุดก็ถึงกับทอดทิ้งศรัทธา กลายมาเป็นทาสอย่างสิ้นเชิง
ดูจากสถานการณ์ตอนนี้… คงหนีไม่พ้นฮาล์ฟออร์คตรงหน้าเขานี่เอง
“นักบวชเร้อ… ถ้าชั้นไม่จำผิด นักบวชมีหน้าที่จัดการกิจการภายในเผ่า…”
เขาพึมพำกับตัวเองอย่างครุ่นคิด
และแล้ว ดวงตาของเดมาเซียก็สว่างวาบขึ้นอีกครั้ง ริมฝีปากยกยิ้มบาง ก่อนจะหัวเราะในลำคอ สายตาที่มองชารุกลับกลายเป็นแววตาเจ้าเล่ห์จัดจ้าน
ในฐานะผู้เล่นระดับเงิน เดมาเซียมีสายตาเฉียบคมดั่งใบมีด เขามองทะลุสภาพพลังที่ตกต่ำของชารุได้ในพริบตา ฮาล์ฟออร์คเบื้องหน้ามีพลังเพียงระดับเหล็กขั้นกลางเท่านั้น
การตกเป็นเป้าสายตานั้น ทำให้ชารุรู้สึกราวกับร่างกายกำลังถูกจับแยกชิ้นพิจารณา เขาขยับตัวเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว ก้มหน้าหลบสายตาด้วยสัญชาตญาณของผู้ที่รู้ตัวว่าอ่อนแอกว่า
และเมื่อผ่านไปไม่กี่อึดใจ เสียงของเดมาเซียก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ชารุใช่ไหม? เจ้าอยากเป็นหัวหน้าคนงานมะ?”
“ห… หัวหน้า?”
ชารุอึ้งงัน ราวกับฟ้าผ่าลงกลางกระหม่อม
เดมาเซียหัวเราะเบา ๆ พลางเอนหลังเล็กน้อย สองมือประสานไว้ด้านหลังอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ทั้งลื่นไหลและเย้ายวน
“ก็แค่ให้เจ้าคอยดูแลควบคุมแทนพวกเรา รับผิดชอบงานประจำวันบ้าง แล้วก็รายงานความเคลื่อนไหวมาเป็นระยะ ๆ น่ะ… ง้ายง่ายใช่ปะ!”
เขาหยุดนิดหนึ่ง แล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม
“ถ้าเจ้าตกลง ตั้งแต่นี้ไป มื้อไหน ๆ ก็ได้กินเนื้อ และหากเจ้าทำให้พวกฮาล์ฟออร์คทำงานได้อย่างขยันขันแข็ง เชื่อฟังคำสั่งไม่ขาดตก เจ้าก็อาจไม่ต้องลงไปขุดเหมืองเองอีกเลยก็ได้… แน่นอน ถ้ามีปัญหาอะไรที่เจ้าจัดการไม่ได้ ก็แค่รายงานพวกเราทันที เหมือนที่เจ้าทำในครั้งนี้”
“พูดง่าย ๆ เจ้าจะเป็นผู้นำของทาสทั้งหมด เป็นตัวแทนประสานงานกับพวกเรา…”
เขาแค่นเสียงหัวเราะในลำคอหนึ่งที ก่อนจะตบท้ายด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ
“แต่ถ้าทำไม่ดีล่ะก็… เอ็งโดนเล่นแน่”
ในขณะพูด เขาก็จ้องมองชารุอย่างเงียบงัน รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้า ทว่าแววตากลับเต็มไปด้วยการคำนวณอย่างไม่ปิดบัง
ขี้ขลาด
ว่าง่าย
มีไหวพริบพอควร
แถมยังรู้จักเผ่าตัวเองดี
ในสายตาเดมาเซีย ฮาล์ฟออร์คคนนี้มีคุณสมบัติเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับบทบาทสุนัขรับใช้ แน่นอนว่า เขาไม่ได้หลงเชื่อในความภักดีจอมปลอมนี้แม้แต่น้อย
ใครก็ตามที่กล้าหักหลังเผ่าพันธุ์ตนได้ง่ายดาย… ย่อมหักหลังผู้อื่นได้ไม่ยากเช่นกัน
และถึงจะไม่น่าไว้ใจ แต่ตราบใดที่มีอำนาจกดไว้แน่น และบังคับให้ทำหน้าที่อย่างเหมาะสม ก็ถือว่าใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในปัจจุบัน นิสัยและการตัดสินใจของเดมาเซียได้เปลี่ยนไปอย่างมาก แม้เขาจะเป็นชายหนุ่มที่เปี่ยมความทะเยอทะยาน และมีความปั่นในกมลสันดาน แต่การที่เขาเริ่มประเมินจิตใจ NPC อย่างจริงจัง ไม่มองว่ามันเป็นเพียงตัวเลขไร้วิญญาณอีกต่อไป นั่นย่อมเป็นหลักฐานชัดเจนว่าความคิดของเขาได้หลอมรวมเข้ากับโลกใบนี้อย่างแท้จริง
“ว่าไง เจ้าตกลงไหม?”
เมื่อพูดจบ เดมาเซียก็หันกลับมามองชารุอีกครั้ง
ชารุนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนที่ดวงตาจะค่อย ๆ เปล่งประกายขึ้นทีละน้อย สีหน้าที่เคยลังเลค่อย ๆ กลับกลายเป็นความยินดีอย่างแท้จริง
“ข… ข้ายินดี!”
สำหรับเขา การได้รับความไว้วางใจจากเอลฟ์ เท่ากับการได้รับโอกาสในการมีชีวิตรอดอย่างมั่นคง ต่อให้ต้องย่อตัวลงต่ำเพียงใด ก็ย่อมดีกว่าการกลับไปสู่ความสิ้นหวังใต้เหมือง
เมื่อได้ยินคำตอบ เดมาเซียก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ แววตาเผยความคาดการณ์ล่วงหน้า
แน่นอนว่าเขาไม่ได้หลงเชื่อว่าชารุจะภักดีอย่างแท้จริง แต่ตราบใดที่อีกฝ่ายยังต้องพึ่งพาเขาเพื่อความอยู่รอด ทุกอย่างก็อยู่ในการควบคุม
และเพื่อกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในภายหน้า หลังจากภารกิจนี้จบลง เขาตั้งใจจะส่งผู้เล่นที่เชี่ยวชาญเวทแปลงกายและการปลอมตัว แทรกซึมเข้าไปในกลุ่มฮาล์ฟออร์ค เผยแพร่ข่าวลือว่าชารุคือสุนัขรับใช้ของเอลฟ์
ด้วยวิธีนี้ ไม่ว่าจะในสายตาเพื่อนร่วมเผ่าหรือในใจของตัวเอง ชารุก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศโดยสมบูรณ์ เขาจะไม่มีวันมีอำนาจพอจะรวบรวมผู้คน หรือก่อกระแสต่อต้านใด ๆ ได้อีกเลย
และฮาล์ฟออร์คผู้นี้ ก็จะต้องเดินบนเส้นทางของสุนัขรับใช้อย่างเต็มกำลัง
ตราบใดที่เหล่าฮาล์ฟออร์คยังคงกัดกันเอง ไม่อาจรวมใจเป็นหนึ่งเดียวได้ การควบคุมของผู้เล่นก็จะดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคง
“เอาล่ะ จอดรถขนแร่ของเจ้าไว้ตรงนี้ แล้วนี่คืออาหารเย็นของเจ้า เนื้อชิ้นโตหอมฉุย รีบกินแล้วไปพักผ่อนเถอะ”
เดมาเซียกล่าว พลางยื่นมือส่งถาดอาหารให้
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าจะกลายเป็นหัวหน้าคนงาน ของฮาล์ฟออร์คทั้งหมดในเหมืองแห่งนี้อย่างเป็นทางการ”
ชารุแทบจะโค้งตัวลงในทันที ดวงตาเป็นประกายเปี่ยมสุข
“ขอบคุณท่านเอลฟ์!”
เขาขานขอบคุณเสียงดังชัดเจนอย่างไม่อ้อมค้อม โค้งตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าแทบไม่หยุด ขณะรับถาดอาหารมาไว้ในมือ
กลิ่นหอมของเนื้อย่างลอยเตะจมูกอย่างรุนแรง เขายกถาดขึ้นสูดกลิ่นเต็มปอด ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดีแทบจะระเบิดออกมา
เนื้อชิ้นโต!
ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ของเขา อาหารล้วนขาดแคลนมาช้านาน ครั้งสุดท้ายที่ได้ลิ้มรสเนื้อชั้นดี ก็เมื่อตอนที่เผ่าของเขาล่าได้สัตว์อสูรตัวหนึ่งจากเทือกเขาทมิฬ และมอบส่วนเนื้อส่วนนั้นให้เขาในฐานะบรรณาการจากเผ่า
แต่ในขณะที่เขาจ้องมองเนื้อรางวัลตรงหน้า รอยยิ้มที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าก็เริ่มจางหายไปอย่างช้า ๆ
ความทรงจำบางอย่างผุดขึ้นมาในห้วงใจ
เขานึกถึงผู้อาวุโสของเผ่า ที่แม้ถูกจับกุมก็ยังยืนหยัดปฏิเสธการละทิ้งศรัทธา สุดท้ายเลือกพุ่งชนโขดหินจนดับสิ้นด้วยศักดิ์ศรี
เขานึกถึงพวกพ้องที่ร่วมรบในศึกสุดท้าย พลีชีพท่ามกลางเสียงคำรามของเอลฟ์ผู้บุกทำลายทุกสิ่ง
เขานึกถึงเหล่าฮาล์ฟออร์คที่กำลังวางแผนหลบหนี ในขณะที่ตนตัดสินใจหักหลังพวกนั้นเพื่อโอกาสในการมีชีวิตรอด
ในพริบตานั้น สีหน้าของชารุก็เปลี่ยนเป็นสับสน ดวงตาเลื่อนลอยคล้ายไม่แน่ใจว่าตนเองยืนอยู่ที่ใด
“อ่าว เป็นไรไปล่ะนั่น?”
เสียงของเดมาเซียดังขึ้นอีกครั้ง ตัดความเงียบที่เริ่มอึดอัดให้ขาดสะบั้น
ชารุส่ายหน้าเล็กน้อย ทว่าไม่นานก็พยักหน้าเบา ๆ อย่างลังเล
“มีเรื่องจะรายงานเพิ่มเติมเรอะ?”
เดมาเซียขมวดคิ้ว แววตาคมเข้มจับจ้อง
“ม… ไม่ใช่ขอรับ”
ชารุรีบส่ายหัวปฏิเสธทันที เสียงเต็มไปด้วยความตึงเครียด เขาหันไปมองเหมืองแร่ที่อยู่เบื้องหลัง สายตาเปี่ยมด้วยความลังเล ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง
“ท่านเอลฟ์… ข้ามีเรื่องอยากถาม… พวกท่านจะจัดการพวกที่คิดก่อการกบฏอย่างไรเหรอ?”
“หืม?”
เดมาเซียเลิกคิ้วขึ้นทันที สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ
“ทำไม? มีอะไรเด็ด ๆ มาแนะนำเรอะ?”
เขาหรี่ตา จ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นชา
ภายใต้สายตาแหลมคมของเอลฟ์ตรงหน้า หนังศีรษะของชารุพลันชาไปหมด ความรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่มีเหตุผลแล่นเข้าจับหัวใจเขาโดยฉับพลัน เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเอลฟ์จะน่าหวั่นเกรงได้ถึงเพียงนี้
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูดด้วยเสียงเบา จนแทบจะเป็นการกระซิบ
“เอ่อ… ท่านเอลฟ์… ข้าคิดว่า แม้พวกเขาจะตั้งใจจะก่อการก็จริง… แต่ท่านเองก็รู้ว่าพวกเขาไม่มีวันรอดไปได้ ข้าแค่อยากขอโอกาสให้พวกเขาซักครั้ง…”
“หืม? ทำไมจากคนฟ้อง ถึงกลายเป็นคนขอความเมตตาล่ะ?”
รอยยิ้มเจือความเย้ยหยันปรากฏบนใบหน้าของเดมาเซีย
และชารุที่ได้ยินเช่นนั้น พลันหลุบตาลง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
ข้ากำลังเสียใจเรอะ?
ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก…
เขาไม่เข้าใจว่าทำไม ในเมื่อตนเองเป็นผู้เริ่มต้นเรื่องนี้ทั้งหมด เป็นผู้ที่เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของพวกเดียวกันเพื่อแลกกับชีวิตที่ดีกว่า เขาควรจะดีใจ ควรจะภาคภูมิใจที่ได้รับความไว้วางใจจากเอลฟ์
แต่เมื่อต้องแลกมาด้วยชีวิตของเหล่าฮาล์ฟออร์คที่เพิ่งชักชวนเขาเมื่อไม่นานมานี้ ความรู้สึกบางอย่างกลับตีตื้นขึ้นมา
เขาเองก็ไม่เข้าใจนักว่าเกิดอะไรขึ้นในใจตัวเอง
ทั้งที่ข้าคิดว่าตัวเองตัดใจได้แล้ว…
ทั้งที่ข้าเคยเย้ยหยันพวกที่ยอมตายเพราะศรัทธา…
แต่สุดท้าย…
เฮ้อ…
เขาถอนใจแผ่วเบา ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา ราวกับยอมรับความขัดแย้งภายในใจที่ไม่อาจอธิบาย
“ข้าไม่รู้… แค่… ไม่อยากเห็นพวกเขาต้องตายน่ะ…”
ประโยคนั้นหลุดจากปากโดยไม่ทันยั้งคิด
ทันทีที่พูดจบ ชารุก็รู้สึกถึงความเสแสร้งบางอย่างในคำพูดของตนเอง ราวกับหัวใจเขากำลังย้อนถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่า ตนพูดเช่นนั้นเพราะเห็นใจจริง หรือแค่เพราะรู้สึกผิดที่เริ่มต้นทุกอย่าง
ความกังวลถาโถมเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าคำพูดแบบนี้จะทำให้เอลฟ์โกรธหรือไม่ จะถูกตราหน้าว่าอ่อนแอ หรือลังเลไม่น่าไว้ใจหรือเปล่า
แต่ผลลัพธ์ กลับต่างจากสิ่งที่จินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง
เดมาเซียกลับหัวเราะ พร้อมรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้า
“ได้สิ ถ้าเกลี้ยกล่อมพวกนั้นให้ยอมสงบ ตั้งใจทำงานอย่างเชื่อฟัง ชั้นก็จะไม่ติดใจเอาความอะไรอีก”
ชารุถอนหายใจออกมาเบา ๆ ความรู้สึกโล่งอกไหลท่วมท้นในอก
แต่ยังไม่ทันได้ซึมซับความสบายใจนั้นให้เต็มที่ เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างไม่แน่ใจ
“ข้า…?”
“ก็ใช่น่ะสิ”
เดมาเซียยักไหล่
“เจ้ามาฟ้องเอง แถมยังขอเองไม่ใช่รึ? งั้นเจ้าก็ต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด ถ้าทำสำเร็จ ทุกฝ่ายก็ได้ประโยชน์กันถ้วนหน้า”
เขาพูดพลางพยักหน้าเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ในพริบตาต่อมา สีหน้าของเขากลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“แต่ถ้าพวกมันสร้างปัญหาขึ้นมาเมื่อไหร่… ชั้นก็ไม่รับประกันว่าจะใจดีเหมือนเดิมนะ”
เขาแค่นหัวเราะในลำคอหนึ่งที จากนั้นก็ตบไหล่ชารุสองสามทีด้วยแรงพอประมาณ ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างใบหูด้วยน้ำเสียงแฝงนัย
“เอาล่ะ หัวหน้าคนเหมือง… ทำหน้าที่ให้ดีล่ะ”
เมื่อสิ้นคำ เอลฟ์หัวแดงก็บรรจุแร่เข้าแหวนมิติในมือ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปพร้อมเอลฟ์ตนอื่น ทิ้งให้ชารุยืนเหม่ออยู่เพียงลำพังท่ามกลางแสงตะวันที่ร่วงโรยลงบนกองหิน
ชารุกอดถาดอาหารไว้แนบอก ร่างกายหยุดนิ่งราวกับตกอยู่ในภวังค์
เขาอยู่อย่างนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะได้สติ รีบหันหลังแล้วออกวิ่งกลับเข้าไปในเหมืองแร่ จนร่างของเขาหายลับไปในความมืดมิดของอุโมงค์ใต้ดิน
…
หลังจากเสร็จสิ้นการติดต่อค้าขายกับเหล่าคนแคระแห่งความมืดในริเวนเดลล์ เดมาเซียก็ตัดสินใจออกเดินทางต่อ
ระหว่างทาง เขาเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นลอย ๆ ราวกับพูดกับตัวเอง
“แบบนี้ก็มีด้วยแฮะ ไอ้พวกที่ยอมหักหลังเผ่าตัวเองเนี่ย…แถมต่อให้ลังเลอยู่บ้าง แต่มันก็ยังมีจิตสำนึกเหลืออยู่ ไม่ใช่พวกใจหมาโมโนโทน แบบนี้ค่อยคุ้มค่าคุ้มเวลาหน่อย…”
“รู้สึกเหมือนชั้นจะเจอแนวทางบริหารฮาล์ฟออร์คเข้าซะงั้น… และวิธีเอาชนะในเกมนี้น่ะ มันไม่ได้มีแค่การฆ่าฟันหรอกนะ… ฮี่ฮี่ฮี่…”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเอลฟ์หัวแดงอย่างเงียบงัน สีหน้านั้นถึงกับทำให้ผู้เล่นที่เดินเคียงข้างต้องเบือนหน้าไปอีกทางด้วยความไม่สบายใจ
…
…
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
วิเวียน: หึ! ชั้นรู้นะว่าแววตาแบบนั้น… มันไม่ได้แค่คิดจะบริหารแรงงานหรอก 😏 หมอนี่มันกำลังเตรียมแผนปั่นฮาล์ฟออร์คทั้งเผ่าแน่ ๆ! 💥🔥
ลิลี่: ฮี่ฮี่ฮี่~ พี่จ๋าาา หนูว่านะ ตาหัวแดงนั่นอะ… ไม่ใช่คนธรรมดาแล้วล่ะ! มันต้องเป็นผู้นำแก๊งค์อะไรปลอมตัวมาแน่เลย~! 😹
มันเดย์: ก็เพราะมีพวกแบบนี้แหละ… ผู้เล่นสายตั้งใจเล่นเนื้อเรื่อง สร้างเมือง ปลูกผัก ทำระบบ ต้องมาเจอกับภารกิจไม่คาดฝันทุกวัน 😑 ชารุโดนลาก ชั้นว่าอีกหน่อยแมงมุมก็จะโดนลาก เดี๋ยวเผลอ ๆ พวกเทพโบราณก็ต้องมารับมือกับ “แพลนเดมาเซีย” อีก ไว้ใจไม่ได้ทุกย่างก้าว
โนเอล: …และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง พี่อีฟคงต้องรีบเพิ่มเงื่อนไขใหม่ในระบบแน่เลยค่ะ 😅
~~ ❀ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น… สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ส่วนใหญ่เค้าชอบทำเวอร์ชันแก้ไขคำผิดทีหลัง และปรับสำนวนแทบทุกตอนหลังอัพโหลด ดังนั้นต้องที่เนโกะฯเท่านั้น..!
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION