ลูกมังกรใกล้จะฟักออกจากไข่แล้ว
ทิบิเลียสัมผัสได้โดยสัญชาตญาณ ที่แล่นวาบขึ้นมาทั่วกายทันที แม้โดยปกติแล้ว มังกรสีอย่างเธอจะเคยชินกับการใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องสายเลือดสืบทอดนัก แต่ภารกิจในการลำเลียงไข่มังกร และการดูแลให้ลูกมังกรถือกำเนิดขึ้นอย่างปลอดภัยนั้น ก็ยังเป็นพันธะที่มังกรเฒ่าแห่งเกาะมังกรได้มอบหมายไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม
ไม่ว่าเธอจะเฉยชาเพียงใด เมื่อเห็นภารกิจใกล้สัมฤทธิ์ผล ความโล่งใจอันเงียบงันก็แทรกซึมเข้ามาในใจโดยไม่อาจปฏิเสธได้…
ทว่า หน้าที่ของเธอยังไม่สิ้นสุด ภารกิจที่แท้จริงยังคงรอคอยอยู่เบื้องหน้า นั่นคือการคัดเลือกพันธมิตรแห่งพันธะสหายให้แก่ลูกมังกรจากหมู่เอลฟ์ผู้ถูกเลือก
เมื่อนึกถึงจุดนี้ ทิบิเลียก็ขยับกาย ลุกขึ้นยืนอย่างสง่างามโดยปราศจากความลังเลแม้แต่น้อย ดวงตาคมกริบกวาดมองไปยังฝูงเอลฟ์ที่กำลังทยอยรวมตัวกันที่ลานพิธีด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ภายในนั้นเต็มไปด้วยแววตาเย็นชาและความดูแคลน
แท้จริงแล้ว เธอไม่ได้จงใจเหยียดหยามพวกมัน หากแต่ความจริงก็คือ เอลฟ์เหล่านี้ช่างอ่อนแอเหลือเกิน พวกหูยาวประหลาดล้วนอ่อนแอทั้งกาย วุ่นวายทั้งใจ และเหนือสิ่งอื่นใด ไร้ซึ่งศักดิ์ศรีที่ควรมีติดตัวอย่างน่าเวทนา
ตลอดระยะเวลาที่พำนักอยู่ในฟลอเรนซ์ ทิบิเลียเฝ้าสังเกตเหล่าหูยาวเหล่านี้มาตลอด
เธอเคยได้ยินชื่อเสียงของเผ่าเอลฟ์ ว่าพวกเขาคือชนเผ่าที่งดงาม สูงศักดิ์ เย่อหยิ่งในเกียรติภูมิ แต่เมื่อได้สัมผัสกับความเป็นจริง ภาพในตำนานเหล่านั้นกลับสลายหายราวกับสายหมอกที่ถูกลมพัดกระจาย
สำหรับมังกรสีอย่างทิบิเลียแล้ว สิ่งที่เธอยอมรับได้มีเพียงสองสิ่งเท่านั้น คือความแข็งแกร่งและความเหี้ยมเกรียม พวกเอลฟ์เหล่านี้ แม้แต่จะยืนอย่างองอาจก็ยังทำไม่ได้ นั่งก็ไร้ความสง่างาม แม้แต่เศษเสี้ยวของศักดิ์ศรีที่เลื่องลือในตำนานก็ไม่อาจพบเจอ
ในสายตาของเธอ พวกมันไม่ต่างจากก๊อบลินที่ห่อหุ้มด้วยร่างงามสง่า ยิ่งกว่านั้น เพียงเพื่อแลกกับเกล็ดเพียงแผ่น หรือหยาดน้ำลายเพียงหยดจากตัวเธอ พวกมันก็พร้อมจะยิ้มประจบและยอมถูกเหยียดหยามอย่างน่าขัน
บางที ท่าทีเช่นนี้อาจเหมาะจะเป็นข้ารับใช้ได้ แต่หากจะก้าวขึ้นมาเป็นสหายของมังกรแล้ว…สำหรับทิบิเลีย นั่นคือการดูหมิ่นศักดิ์ศรีอย่างร้ายแรงที่สุด
ผู้ที่ภาคภูมิในศักดิ์ศรีของตนเท่านั้น ถึงจะคู่ควรกับการได้รับความเคารพ และเผ่าพันธุ์ที่ละทิ้งศักดิ์ศรีด้วยตนเอง ก็ไม่สมควรแม้แต่จะเงยหน้าสบตากับมังกรด้วยซ้ำ
เว้นเสียแต่กับท่านซีโร—
ผู้เดียวที่ทิบิเลียยอมรับ ผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยทั้งความงามและพลังอำนาจ สูงส่งและเปี่ยมไปด้วยความลึกลับ น่าเกรงขามยิ่งกว่าใครทั้งหมด
ในระหว่างที่ทิบิเลียกำลังครุ่นคิด เสียงพึมพำด้วยความตื่นเต้นก็ดังขึ้นใกล้ ๆ
“หืม? ใกล้จะฟักแล้วสิ? คราวนี้ใครจะเป็นผู้โชคดีนะ…”
มังกรดำไมเรลกล่าวขึ้น พลางจ้องมองไข่มังกรซึ่งเริ่มปรากฏรอยร้าวด้วยแววตาเป็นประกาย
ทว่าทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ทิบิเลียกลับหรี่ตาและส่งเสียงแค่น พร้อมแววตาเย้ยหยันวาบขึ้น
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะปล่อยให้ปลวกอ่อนแอพวกนั้น กลืนกินเจ้าไปจนหมดสิ้นเสียแล้ว”
เสียงเธอเปี่ยมไปด้วยความเหยียดหยาม เธอหันไปมองกลุ่มผู้เล่นที่กำลังตื่นเต้นรายล้อมลานพิธีอย่างเหยียดหยัน ก่อนเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยขึ้นบนใบหน้า
“พวกมดปลวกที่อ่อนแอ ไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้… ข้าไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าพวกผู้เฒ่าคิดอะไรอยู่ ถึงยอมให้สิ่งมีชีวิตต่ำต้อยเหล่านี้ทำพันธสัญญากับมังกรอันสูงศักดิ์ได้… ในสายตาข้า พวกมันยังดีไม่พอจะเป็นข้ารับใช้เลยด้วยซ้ำ”
ไมเรลหัวเราะในลำคออย่างแผ่วเบา ราวกับได้ยินเรื่องตลกที่น่าขบขันที่สุดในโลก ก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงขบขัน
“อ่อนแอ? ไร้ศักดิ์ศรี? ฮึ… เจ้านี่มันน่าสงสารจริง…”
ทิบิเลียขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน ก่อนกล่าวเสียงเข้ม
“อะไร? หรือข้าพูดผิดตรงไหน?”
ไมเรลส่ายหน้าช้า ๆ คล้ายจะระงับเสียงหัวเราะ พร้อมจ้องมองมังกรแดงด้วยแววตาเย็นเฉียบ
“ผิดสิ ก็เจ้าน่ะ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้ถูกเลือกของพวกเอลฟ์เลยแม้แต่น้อย”
เขาพูดพลางถอนหายใจเบา ๆ แล้วเหลือบตามองมังกรแดงตรงหน้าอย่างเวทนา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้ามังกรแดง… ก่อนเจ้าจะเดินทางจากเกาะมังกรมา เจ้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินนี้บ้างไหม?”
ทิบิเลียเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างแปลกใจ ก่อนตอบกลับด้วยเสียงเรียบนิ่ง
“สิ่งที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินใหญ่? ก็แค่การฟื้นคืนของพลังเวท แล้วบรรดาสิ่งมีชีวิตโบราณก็เริ่มตื่นไม่ใช่เรอะ?”
ไมเรลเพียงส่ายหน้าอีกครั้ง สีหน้าแฝงความผิดหวัง
“ดูท่าเจ้าคงไม่ได้รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นในป่าเอลฟ์ช่วงนี้… ต้องให้ท่านไมเรลมาสอน”
เขาว่า ก่อนจะเหลือบตามองไปยังกลุ่มผู้เล่นรอบลานพิธี
“ไว้รู้จักพวกหูยาวอาวุธวิบวับอย่างแท้จริงเมื่อไร เจ้าจะรู้… ว่าพวกนี้น่ากลัวขนาดไหน”
เสียงของไมเรลดังกังวานอย่างแผ่วเบา ทว่าสะท้อนอารมณ์แน่นหนัก “หากเจ้าได้สัมผัสกับพวกเขาอย่างลึกซึ้ง เจ้าจะค้นพบด้วยตนเอง ว่าความสามารถของพวกเขานั้นน่าเกรงขามเพียงไร”
มังกรดำหรี่ตาลง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ทรงพลัง
“อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นแค่ในเมือง หูยาวพวกนี้ส่วนใหญ่ ก็เป็นเพียงมือใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่โลกใบนี้ หรือไม่ก็เป็นพวกที่ไม่ชื่นชอบการสู้รบ หากพูดในภาษาของพวกเขา ฟลอเรนซ์ก็เป็นเพียง ‘หมู่บ้านเริ่มต้น’ เท่านั้น!”
ไมเรลยิ้มบาง ก่อนกล่าวต่อด้วยแววตาเป็นประกาย
“และพลังที่เจ้าเห็น… ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่น่าสะพรึงที่สุดของพวกเขาแม้แต่น้อย”
ท่ามกลางถ้อยคำราวกับตอกย้ำความไม่เข้าใจ ทิบิเลียได้แต่ขมวดคิ้วแน่น สายตาคมกริบจับจ้องมายังไมเรล ขณะที่อีกฝ่ายยังเอ่ยต่อด้วยเสียงเยียบเย็น
“ไร้ศักดิ์ศรีอย่างนั้นหรือ? ฮึ… หากเจ้ากล่าวว่าพวกเขาไร้ศักดิ์ศรี หากเจ้าคิดว่าพวกเขาขาดซึ่งความเย่อหยิ่ง เช่นนั้นแล้ว ในสายตาของท่านไมเรล โลกนี้ก็คงไม่มีผู้ใดที่เย่อหยิ่งและวิปลาสไปมากกว่าพวกเขาอีกแล้ว…”
…หยิ่ง?
วิปลาส?
ได้ยินเช่นนั้น ทิบิเลียก็ยิ่งสับสนยิ่งขึ้นกว่าเดิม เธอหรี่ตาลง จ้องมองไปยังฝูงเอลฟ์รอบลานพิธี พวกที่ครั้งหนึ่งถึงกับตบตีกันเพียงเพื่อแย่งชิงหยาดน้ำลายเพียงหยดเดียวจากตัวเธอ พวกที่ยอมทำสิ่งใดก็ได้โดยไร้ขอบเขตศักดิ์ศรี…
เอลฟ์หลากสีพรรค์นั้นเนี่ยนะ?
ระหว่างที่สองมังกรกำลังโต้ตอบกัน ไข่มังกรทั้งห้าฟองก็เริ่มส่งเสียงแตกร้าว ราวกับเสียงหัวใจที่กำลังเริ่มต้นการเต้นครั้งแรก
ลูกมังกรตัวน้อยโผล่หัวออกมาจากเปลือกไข่ทีละตัว ทีละตัว
ชีวิตใหม่ทั้งห้าค่อย ๆ ถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางแสงสว่าง มังกรดำหนึ่งตัว มังกรน้ำเงินหนึ่งตัว และมังกรเขียวอีกสามตัว
และในขณะที่พวกมันกำลังสั่นไหวอยู่ภายในโลกใบใหม่ที่เพิ่งพบพาน จู่ ๆ ก็มีแสงเรืองรองสายหนึ่งหลั่งรินลงมา ห่อหุ้มลูกมังกรทั้งห้าเอาไว้อย่างนุ่มนวล ราวกับผืนม่านแห่งปาฏิหาริย์
จากนั้น พลังลี้ลับบางอย่างก็แผ่ซ่านออกมาอย่างเงียบงัน ร่างของเจ้าตัวน้อยทั้งห้ากลับถูกซ่อนเร้นไปภายในแสงนั้น
“…? ความรู้สึกนี้มัน…”
ไมเรลเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย ขณะที่จิตสัมผัสของเขาจับได้ถึงพลังลึกล้ำที่แผ่ออกมาอย่างบางเบาแต่หนักแน่น
“คล้ายกับ… มิติแห่งจิต…”
มิติแห่งจิต?
ทิบิเลียสะดุ้งเล็กน้อย หางและปีกของเธอกระตุกโดยไม่รู้ตัว เธอเองก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่แตกต่างจากปกติ มันเป็นแรงสั่นสะเทือนที่มาจากระดับจิตวิญญาณ ลึกซึ้ง หนักแน่น และน่ากลัวเกินกว่าที่จะเพิกเฉย
เธอเคยพบกับพลังลักษณะนี้มาก่อน ในบริเวณวิหาร บางครั้งเหล่าเอลฟ์รอบกายบางตนเคยหยุดนิ่ง คล้ายต้องมนต์สะกด เมื่อพลังประหลาดบางอย่างแผ่ออกมาเหนือร่างกายของพวกมัน
เมื่อคลื่นพลังจางหาย เหล่าเอลฟ์จึงกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง
ไมเรลดูจะเข้าใจทุกอย่างดีเกินไป มังกรดำเหลือบมองเธอด้วยสายตาเย้ยหยัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือเยาะ
“เฮ้ อย่าบอกนะว่าเจ้ารู้จักแค่เพียงผิวเผิน? เผลอ ๆ จะไม่เคยเจอ ‘มิติแห่งจิต’ เลยงั้นเรอะ?”
สำหรับมังกรแดงผู้มีอายุยืนยาวนับห้าศตวรรษ คำพูดนี้ถือเป็นการดูหมิ่นอย่างร้ายแรง
“ฮึ่ม… เจ้าไอ้ตัวเปื้อนที่ถูกพวกเอลฟ์เลี้ยงจนสมองกลวง! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้จัก ‘มิติแห่งจิต’ นะ!”
ทิบิเลียแยกเขี้ยว คำรามตอบกลับด้วยความโกรธจัด
มิติแห่งจิต คือพื้นที่พิเศษที่ก่อเกิดขึ้นจากพลังจิตอันทรงพลานุภาพของตัวตนผู้แข็งแกร่ง เป็นสถานที่ซึ่งสามารถดึงจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่าเข้าไปได้ มักจะเกี่ยวข้องกับศาสตร์เวทมนตร์ในสายจิต
แต่ขณะทิบิเลียกล่าวคำนั้นออกมา สายตาของเธอก็พลันหันกลับไปยังรังไข่มังกรอีกครั้ง สีหน้าที่หยิ่งทะนงก่อนหน้านี้พลันครึ้มลง
พลังที่แผ่ออกมาจากมิติแห่งจิตตรงหน้านั้น ช่างน่าสะพรึงนัก ลึกซึ้งจนเหมือนจักรวาลไร้ก้นบึ้ง ราวกับสามารถกลืนกินทุกสรรพสิ่งจนสูญสลายไปได้ในพริบตา สัญชาตญาณดิบของเธอสะท้านขึ้นมาอย่างมิอาจห้าม
นี่มันมิติจิตของใครกันแน่?
หรือว่า…?
สายตาของทิบิเลียพลันหันไปยังมหาวิหารแห่งชีวิตอันตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหนึ่งของลานพิธี กำแพงหินขาวยังมีรอยซ่อมแซมอยู่เล็กน้อยจากการบูรณะครั้งใหญ่ แต่ความศักดิ์สิทธิ์ของมันกลับเปล่งประกายเหนือทุกสิ่ง
สีหน้าของทิบิเลียเผยแววจริงจังกว่าที่เคย
“ช่าย”
เสียงของไมเรลเอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิ พร้อมกับแววตาเปี่ยมความเคารพ
“นี่คือมิติแห่งจิต ที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นโดยท่านเทพธิดาอีฟผู้ทรงเกียรติ!”
เขาเอ่ยพร้อมกระแอมเบา ๆ แต่สีหน้ากลับเปล่งประกายอย่างเปี่ยมด้วยศรัทธา
ในวินาทีนั้น ทิบิเลียสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่แจ่มชัดขึ้นในจิตใจ ราวกับม่านหมอกที่บดบังสติได้ถูกกระชากออกอย่างรุนแรง มิติแห่งจิตที่สามารถแผ่แรงกดดันได้ถึงเพียงนี้ ไม่อาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติทั่วไป ย่อมจะต้องเป็นผลงานที่หลั่งไหลออกมาจากมือขององค์เทพเท่านั้น
“ใช้ ‘พื้นที่เสมือน’ สินะ ท่านไมเรลเองก็สงสัยว่าพวกผู้ถูกเลือกจะมาแออัดกันขนาดไหน ที่แท้ ท่านอีฟก็วางแผนไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วนี่เอง…”
ไมเรลพึมพำออกมาเบา ๆ น้ำเสียงแฝงความชื่นชม
จากนั้น เขาก็เหลือบตามองทิบิเลียอีกครั้ง แววตาเปล่งประกายความท้าทายเจือเยาะเย้ยอยู่ในที
“เฮ้… นังอีกัวน่าเผาไฟ”
ไมเรลเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงยียวน
“มีอะไรงั้นรึ…เจ้าอีกาดำตัวเหม็น”
ทิบิเลียสวนกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันไม่แพ้กัน
ไมเรลหัวเราะในลำคอ ก่อนกล่าวชักชวนอย่างสนุกสนาน
“อยากเห็นของดีแห่งป่ามั้ย? ท่านอีฟได้ทิ้งช่องทางเข้าสู่มิติไว้ในร่างของลูกมังกร หากเจ้ามีความกล้าพอ… เข้ามาดูกับท่านไมเรลสิ!”
เขาเชิดศีรษะขึ้น กล่าวอย่างท้าทายเต็มประดา
ทิบิเลียลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สัญชาตญาณของเธอร้องเตือนอย่างหนักหน่วง
มิติแห่งจิตไม่ใช่สถานที่ที่จะย่างกรายเข้าไปได้โดยประมาท เพราะทันทีที่ก้าวข้ามเส้นแบ่งเขตแดนนั้น เท่ากับยินยอมมอบชีวิตและความตายไว้ในกำมือของเจ้าของมิติโดยสมบูรณ์ เป็นภาวะที่ขัดต่อสัญชาตญาณแห่งความหยิ่งทะนงของมังกรแดงอย่างร้ายแรง
“หุหุหุ เจ้าขี้ขลาด”
ไมเรลหัวเราะเยาะ พลางปล่อยให้ร่างกายของตนเองสั่นไหวแผ่วเบา
ในเสี้ยววินาทีนั้น กระแสพลังจิตอันทรงพลังก็แผ่ออกมาจากตัวเขา ร่างกายของไมเรลถูกกลืนหายเข้าไปในเส้นแสงของมิติแห่งจิตที่เทพธิดาสร้างขึ้น
ในฐานะผู้ศรัทธาระดับอุทิศตน และผู้ที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับระบบของเทพธิดา ไมเรลสามารถเข้าถึงพื้นที่เสมือนที่อีฟออกแบบไว้ได้อย่างง่ายดาย ตราบเท่าที่เส้นทางนั้นเปิดต้อนรับเขา
ทิบิเลียมองภาพนั้นด้วยสายตานิ่งงัน เธอไตร่ตรองอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนที่ความหยิ่งในหัวใจจะเอาชนะความหวาดระแวงลงได้
“พ่อเฒ่าบอกไว้ว่า พระมารดาแห่งชีวิตคือพันธมิตรของมังกร… ข้าคงไม่โดนเอาไปต้มยำทำแกงมั้ง…?”
เธอปลอบใจตัวเองอย่างขุ่นเคือง แล้วก้าวฉับเข้าไปยังแสงเรืองรองที่ห่อหุ้มลูกมังกร
เมื่อพลังจิตของเธอสัมผัสกับม่านแสงนั้น กระแสดึงดูดมหาศาลก็ถาโถมเข้ามา โลกทั้งใบเหมือนหมุนคว้างอย่างไร้ทิศทาง วิสัยทัศน์รอบตัวแปรเปลี่ยนไปในพริบตาเดียว
ภาพเบื้องหน้าปรากฏเป็นหน้าผาสูงตระหง่าน ล้อมรอบด้วยป่าไม้ที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ทว่าทิบิเลียรู้ดีว่าทุกสิ่งที่เห็นนี้ ล้วนเป็นเพียงภาพมายา เป็นเพียงจินตภาพที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นด้วยพลังขององค์เทพ
และผู้ที่ถูกดึงเข้ามายังที่แห่งนี้ ก็มีเพียงเสี้ยวหนึ่งของดวงวิญญาณและจิตสำนึกหลักของเธอเท่านั้น
“โอ้ ยัยนี่ยังพอมีกึ๋น…”
เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านข้าง ทิ้งรอยยิ้มบางไว้ในบรรยากาศ
ทิบิเลียหันขวับไปตามเสียง พบว่าเจ้าของเสียงคือเอลฟ์หนุ่มร่างสูงวัยประมาณสิบสี่ปี เรือนผมสีดำสนิท ดวงตาสีแดงฉานเปล่งประกาย ทรงตาเฉียงคล้ายสัตว์นักล่า
ทว่าเพียงชั่วแวบที่สบตา ทิบิเลียก็จำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือใคร
เธอยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมขึงขัง
“โอ้โห พบเด็กคลั่งเอลฟ์หนึ่งหน่อ ถึงกับเลือกแปลงกายเป็นรูปร่างนี้เชียว?”
เอลฟ์หนุ่มผมดำ ซึ่งก็คือไมเรล เพียงหัวเราะเบา ๆ ก่อนเหลือบตามองเธอด้วยแววตาเย้ยหยัน
“ทีเจ้ายังเลือกแปลงกายเป็นครึ่งมังกรเลยหนิ”
ในหมู่มังกร เมื่อผู้ใดก้าวถึงระดับพลังขั้นทอง จะได้รับความสามารถในการแปลงร่างเป็นเผ่าพันธุ์กึ่งมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาได้ รูปกายเดิมของไมเรลเคยเป็นมนุษย์โดยทั่วไป แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม จนในที่สุดกลายเป็นเอลฟ์ผู้ลึกลับเช่นทุกวันนี้
ในทางกลับกัน ร่างมนุษย์ของทิบิเลียกลับงามสง่า หญิงสาวครึ่งมังกรผู้มีเส้นผมแดงเพลิง ดวงตาสีแดงเข้ม ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม เกล็ดมังกรสีโลหิตบางส่วนฉาบทาบบนหน้าผาก เพิ่มเสน่ห์ที่ทั้งลึกลับและเย้ายวนจนแทบไม่อาจละสายตาได้
“แน่นอนอยู่แล้ว”
ทิบิเลียยืดอกอย่างภาคภูมิใจ
“ต่อให้แปลงกายเป็นสิ่งใด ความหยิ่งทะนงของมังกรก็ต้องดำรงอยู่เหนือสิ่งอื่นใดเสมอ”
ไมเรลไม่ได้กล่าวโต้ตอบ หากแต่หันไปทอดสายตาไปยังผืนป่ากว้างใหญ่เบื้องล่าง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ตั้งใจดูให้ดี เพราะสิ่งที่กำลังจะได้เห็นต่อจากนี้… คือตัวตนที่แท้จริงของผู้ถูกเลือก”
ตัวตนที่แท้จริง?
เมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น ทิบิเลียก็เบนสายตาคมกริบไปยังผืนป่าเบื้องล่าง
ที่ใจกลางของผืนป่าอันกว้างใหญ่ เธอเห็นลูกมังกรตัวน้อยห้าตัวกำลังเดินป้วนเปี้ยนไปมาอย่างน่ารักน่าเอ็นดู เจ้าตัวเล็กทั้งห้าที่ถูกดึงเข้าสู่มิติแห่งจิตเช่นเดียวกับตนเอง
แน่นอนว่าพวกมันไม่ได้เข้ามาด้วยร่างกาย หากแต่เป็นการส่งผ่านดวงวิญญาณเพียงเสี้ยวหนึ่ง พร้อมด้วยจิตสำนึกหลักที่พ่วงติดมาด้วย เพื่อปกป้องตัวตนที่แท้จริงจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในโลกแห่งจิต
ทว่าทิบิเลียกลับไม่ได้ใส่ใจเจ้ามังกรน้อยเหล่านั้นนัก สายตาของเธอกลับหันไปจับจ้องยังบางสิ่งที่แตกต่างออกไป…
กลางป่าอันเงียบสงบ แสงระยิบระยับคล้ายดาวดวงเล็ก ๆ เริ่มปรากฏขึ้นทีละจุด ทีละจุด
ทุกครั้งที่แสงหนึ่งปรากฏขึ้น ก็จะมีเอลฟ์ตนหนึ่งก้าวข้ามผ่านเข้าสู่โลกมายานี้
ทิบิเลียสามารถระบุประเภทของผู้มาเยือนได้ในทันที พวกเขาเหล่านี้คือผู้ถูกเลือก ด้วยท่วงท่าที่กระโดดโลดเต้นอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ทว่าความแปลกประหลาดไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น
สิ่งที่ทำให้ทิบิเลียรู้สึกสะดุดใจยิ่งกว่าคือ… เธอไม่สามารถสัมผัสถึงพลังวิญญาณใด ๆ จากร่างของผู้ถูกเลือกเหล่านี้ได้เลย
พวกเขาเข้าสู่มิติแห่งจิตได้อย่างสมบูรณ์โดยอาศัยเพียงจิตสำนึกเท่านั้น ปราศจากการพึ่งพากระแสพลังวิญญาณ ที่มักเป็นข้อจำกัดของเผ่าพันธุ์ทั่วไป
และเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน สิ่งที่ทำให้ทิบิเลียแทบหยุดหายใจก็เริ่มเผยโฉม
ในตอนแรก จำนวนผู้ถูกเลือกที่ปรากฏตัวยังเบาบาง ทว่ายิ่งนานเข้า อัตราการหลั่งไหลของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทีละตน… ทีละกลุ่ม… ราวกับน้ำหลากที่เอ่อล้นฝั่ง
เพียงพริบตาเดียว ป่าเบื้องล่างก็หนาแน่นไปด้วยผู้ถูกเลือกมากมายหลากรูปแบบ หลากชุดเครื่องแต่งกาย หลากสไตล์การปรากฏตัว
จำนวนของพวกเขา มากมายมหาศาลเกินกว่าที่ทิบิเลียจะเคยพบเห็นในฟลอเรนซ์เสียอีก มากเสียจนดูเหมือนจะมีจำนวนเป็นหมื่น หลายหมื่น หรืออาจจะทะลุหลักแสนเข้าไปแล้วด้วยซ้ำ!
“เยอะขนาดนี้เลยเรอะ?”
ทิบิเลียเผลออุทานออกมาอย่างตะลึงพรึงเพริด
“เอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีประชากรนิดเดียวไม่ใช่รึไง?”
เธอสั่นศีรษะเบา ๆ ราวกับจะปัดเป่าความสับสน
ทว่า… ภาพตรงหน้ากลับไม่ใช่ภาพลวงตา มันเป็นความจริงที่กำลังเปิดเผยตัวออกมาอย่างโหดร้ายและงดงามในเวลาเดียวกัน
และสิ่งที่ทำให้เธอแทบหยุดหายใจ ยังไม่ใช่เพียงแค่จำนวน
สิ่งที่ทำให้เธอแทบยืนนิ่งอย่างตะลึงงัน ก็คือกลิ่นอายอำมหิต ที่แผ่ซ่านออกมาจากผู้ถูกเลือกเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งหมด
กลิ่นอายอำมหิต หรือสิ่งที่ถูกเรียกว่าแรงพยาบาท แรงแค้น หรือสิ่งตกค้างจากดวงวิญญาณผู้ถูกสังหารทั้งหลาย เป็นสิ่งที่ไม่อาจจับต้องได้ด้วยมือ ทว่าในโลกแห่งจิตวิญญาณ มันกลับเผยตัวออกมาอย่างแจ่มชัด ชนิดที่สัมผัสได้ด้วยผิวหนัง ด้วยสายตา ด้วยสัญชาตญาณลึกสุดหัวใจ
ทิบิเลียเพ่งมองลงไปยังผืนป่าเบื้องล่าง สายตาแข็งกร้าวของเธอค่อย ๆ กลายเป็นเคร่งขรึมทีละน้อย
เริ่มแรก กลุ่มผู้ถูกเลือกที่สวมใส่อุปกรณ์เรียบง่ายมีเพียงพลังอำมหิตบางเบา แต่ทันทีที่สายตาเธอเลื่อนไปยังกลุ่มที่สวมชุดเกราะหรูหรา อาวุธคมกล้า กลิ่นอายแห่งความตายก็หนาแน่นขึ้นจนแทบกลายเป็นม่านดำคลุมทับผืนป่า
และในหมู่พวกเขา ยังมีบางคนที่กลิ่นอายหนักแน่นจนราวกับกลายเป็นรูปธรรม จนกระทั่งทำให้สรรพชีวิตรอบข้างสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว
กลิ่นอายเช่นนั้น…
ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากการฆ่าเพียงหนึ่งหรือสองชีวิต
ไม่ใช่สิ่งที่ทหารผ่านศึกในสนามรบหรือทหารรับจ้างมือฉกาจจะสะสมมาได้ง่าย ๆ
มันเป็นกลิ่นอายของผู้ที่มีชีวิตอยู่ในเส้นขีดบางเฉียบระหว่างชีวิตกับความตาย
เป็นกลิ่นอายของผู้ที่ใช้การสังหารเป็นวิถีชีวิต
เป็นกลิ่นอายของผู้ที่ได้ล้มศพนับร้อย นับพัน ในเส้นทางที่ตนย่ำผ่าน
กลิ่นอายนี้ คือลักษณะของปีศาจที่ก้าวข้ามขุมนรกกลับมาอย่างแท้จริง
แน่นอนว่า หากทิบิเลียรู้ว่าพลังอำมหิตเหล่านี้มีที่มาจากการกวาดล้างเผ่าฮาล์ฟออร์คนับสามหมื่นตน การสังหารอันเดดและก็อบลินนับแสนร่าง และการโค่นล้มอสูรเงา เผ่าปีศาจ ตลอดจนสัตว์อสูรที่กระจายอยู่ทั่วดินแดนหลายร้อยกิโลเมตร…
บางที เธอคงไม่รู้สึกแปลกใจอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้
เพราะ กองทัพภัยพิบัติ หาใช่เพียงคำพูดธรรมดาที่ใครสักคนกล่าวเล่น หากแต่เป็นคำนิยามที่แท้จริงของพวกเขาเหล่านี้
…
…
~~ ❀ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น… สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ส่วนใหญ่เค้าชอบทำเวอร์ชันแก้ไขคำผิดทีหลัง และปรับสำนวนแทบทุกตอนหลังอัพโหลด ดังนั้นต้องที่เนโกะฯเท่านั้น..!
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION