ไนติงเกลดูจะเป็นที่โปรดปรานอย่างมากในหมู่ผู้ถูกเลือก ไม่ว่าเธอจะเดินผ่านกลุ่มไหน ผู้คนก็มักจะเอ่ยทักทายด้วยแววตาอบอุ่นและรอยยิ้มที่เป็นมิตรเสมอ
เทย์เลอร์ที่เดินตามอยู่ด้านหลังสังเกตเห็นภาพเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจในใจลึก ๆ
ไนติงเกลยิ้มตอบทุกชีวิตด้วยท่าทีเป็นกันเอง แววตาของเธอเปล่งประกายอย่างมีชีวิตชีวา สะท้อนความเป็นมิตรที่ไม่ใช่แค่เปลือกนอก แต่เต็มไปด้วยความจริงใจ
บางครั้ง ยังมีผู้ถูกเลือกบางคนตรงเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าคาดหวังอย่างชัดเจน พวกเขาเอ่ยถามเสียงอ่อนเสียงหวาน ประหนึ่งเด็กนักเรียนที่เฝ้ารอคำชมจากครูว่า… วันนี้มีภารกิจอะไรให้พวกเขาทำบ้างหรือไม่
ท่าทางที่ดูประจบประแจงปนตื่นเต้นนั้น ถึงกับทำให้เทย์เลอร์ชะงักไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกเหมือนโลกในใจสั่นสะเทือนเบา ๆ จากการค้นพบด้านใหม่ของผู้ถูกเลือก
ในความทรงจำของเขา ผู้ถูกเลือกคือตัวตนที่ทะเล้น ท้าทาย และเต็มไปด้วยความมั่นใจ พวกเขามักถือศักดิ์ศรีและจุดยืนของตนอย่างเหนียวแน่น แม้จะพูดจาติดตลกหรือมีท่าทีแปลกประหลาดเพียงใด ก็ไม่เคยแสดงออกถึงความอ่อนข้อเช่นนี้เลย
ไม่สิ
ข้าเองก็เคยโดนทักแบบนั้นนี่นา…
ในตอนที่เทย์เลอร์เพิ่งมาถึงโลกเบื้องบน และยังตื่นตะลึงกับการพบเจอเผ่าเทพในตำนาน เขาก็เคยถูกผู้ถูกเลือกถามด้วยประโยคเดียวกันนั้น… ทว่าขณะนั้นเขามัวแต่ตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก พูดอะไรไม่ออก สุดท้ายปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา โดยที่อีกฝ่ายก็จากไปด้วยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย
เมื่อหวนคิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เทย์เลอร์ก็อดรู้สึกขบขันปนสับสนไม่ได้ หรือบางที การถามหาภารกิจนั่น อาจไม่ใช่แค่ความสุภาพหรือการทักทายธรรมดา แต่มันคือหนึ่งในวิธีของผู้ถูกเลือกในการค้นหาความสนุกของพวกเขากันแน่?
เขาเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า โลกทัศน์ของตัวตนจากอีกโลกนั้นแตกต่างจากตนอย่างสิ้นเชิง และนั่นยิ่งทำให้เขามองไนติงเกลด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เพราะหากเป็นเพียงบุคคลทั่วไป คงไม่มีทางที่ผู้ถูกเลือกเหล่านี้จะให้ความเคารพถึงเพียงนี้
อย่างน้อยที่สุด เธอก็มีอำนาจในการมอบหมายภารกิจให้กับเผ่าเทพตนอื่นได้ ซึ่งเพียงเท่านี้ก็มากเกินพอที่จะทำให้เทย์เลอร์รู้สึกเกรงใจ และเผลอกลั้นหายใจเล็กน้อยทุกครั้งที่เดินเคียงข้างเธอ
ระหว่างที่ทั้งสองเดินไปเรื่อย ๆ ไนติงเกลก็เริ่มเล่าถึงสถานการณ์ของป่าศักดิ์สิทธิ์แห่งเอลฟ์ให้เขาฟัง เสียงของเธอราบเรียบแต่มั่นคง ถ่ายทอดข้อมูลอย่างเป็นลำดับ เทย์เลอร์ตั้งใจฟังทุกถ้อยคำ และพบว่าตัวเองเริ่มเข้าใจเผ่าเอลฟ์ หรือเผ่าเทพตามที่ตนเคยเรียก มากขึ้นอีกระดับหนึ่ง
ในปัจจุบัน เผ่าเอลฟ์ภายในป่าศักดิ์สิทธิ์ สามารถแบ่งออกได้เป็นสามกลุ่มใหญ่ด้วยกัน
กลุ่มแรกคือผู้ถูกเลือก พวกเขาเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดในเผ่าเอลฟ์ ณ ขณะนี้ มีมากถึงหกหมื่นคน องค์ประกอบหลักของกองกำลังศรัทธาและพลังขับเคลื่อนแห่งป่า พวกเขาคือดาบและโล่ของเทพธิดาอีฟ ผู้เดินทางไปทั่วทุกมุมของเขตศักดิ์สิทธิ์ ไม่เพียงแต่พัฒนา แต่ยังปกป้องดินแดนแห่งนี้จากภัยคุกคามทั้งมวล
กลุ่มที่สอง คือเอลฟ์ที่กลับคืน พวกเขาคือเอลฟ์แท้และฮาล์ฟเอลฟ์ที่เคยพลัดพรากจากเผ่ามาช้านาน และได้กลับมารวมกลุ่มอีกครั้งภายใต้การนำของศาสนจักรแห่งชีวิต มีจำนวนมากเป็นอันดับสอง รองจากผู้ถูกเลือก โดยปัจจุบันมีมากกว่าสองพันตน
พวกเขาส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองที่ชื่อฟลอเรนซ์ และเป็นเสาหลักสำคัญของเผ่าในหลายมิติ ทั้งด้านศรัทธา วัฒนธรรม และอำนาจทางศาสนา ไนติงเกลเอง รวมถึงบุตรแห่งเทพอย่างอัล ก็อยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน
เอลฟ์ผู้หวนคืนนั้น ต่างจากผู้ถูกเลือกที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย พวกเขามักมีบุคลิกเงียบสงบ สุขุม และมีความศรัทธาในเทพธิดาอย่างลึกซึ้ง จึงกลายเป็นแกนกลางของศาสนจักรในระดับสูง เป็นผู้ประสานระหว่างอดีตและอนาคตของเผ่าเอลฟ์อย่างแท้จริง
เอลฟ์เหล่านี้ มีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและสงบกว่าผู้ถูกเลือกอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาเป็นกลุ่มหลักที่คอยขับเคลื่อนงานผลิตและงานเบื้องหลังทั้งหมดของป่าศักดิ์สิทธิ์แห่งเอลฟ์ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลทรัพยากร ธุรกรรมการค้า หรือแม้กระทั่งการมอบหมายภารกิจให้กับผู้ถูกเลือกในนามของศาสนจักร พวกเขาดำรงตนอย่างสง่างาม เงียบขรึม และเต็มไปด้วยความรับผิดชอบ
แม้จะไม่ถนัดงานรบเช่นผู้ถูกเลือก เอลฟ์กลุ่มนี้ก็ยังคงมีหน่วยรักษาความปลอดภัยของตนเอง หน่วยงานดังกล่าวไม่ได้มีหน้าที่สู้รบกับภัยคุกคามจากภายนอก แต่เน้นไปที่การดูแลความสงบเรียบร้อยภายในป่าแทน เป็นกำลังสำคัญที่คอยปกป้องศาสนจักรและความมั่นคงของชุมชนเอลฟ์อย่างเงียบงัน
มีรายละเอียดเล็กน้อยที่ไนติงเกลเอ่ยเสริมขึ้น หากมีผู้อยู่อาศัยในเขตแดนย่อยที่ผ่านพิธีฟื้นฟูสายเลือดและกลายเป็นเอลฟ์อย่างสมบูรณ์ บุคคลเหล่านั้นก็จะถูกนับรวมเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มเอลฟ์ที่กลับคืนเช่นกัน พวกเขาจะได้รับสถานะใหม่ และถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์แห่งเอลฟ์โดยสมบูรณ์
จากนั้น ไนติงเกลก็กล่าวถึงกลุ่มสุดท้าย ซึ่งเป็นกลุ่มที่เล็กที่สุด และสูงศักดิ์ที่สุด
กลุ่มนี้คือเอลฟ์ดั้งเดิม จำนวนของพวกเขานั้นน้อยเสียจนแทบนับนิ้วได้ มีอยู่ไม่ถึงหนึ่งร้อยตน แต่ละตนล้วนเป็นเอลฟ์ที่ถือกำเนิดจากพลังของเทพธิดาโดยตรง พวกเขาจึงเปี่ยมด้วยพรสวรรค์อันเหนือตัวตนสามัญ และศักยภาพอันสูงส่งตั้งแต่แรกเกิด
แม้จะมีสถานะสูงส่ง แต่เอลฟ์ดั้งเดิมก็ไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่ในหอคอยงาช้าง พวกเขาอาศัยอยู่ร่วมกับผู้ถูกเลือก ศึกษาเล่าเรียนเคียงข้างกับเอลฟ์ที่กลับคืน และเติบโตไปพร้อมกับผู้อื่น ทว่าทุกสายตาก็ล้วนคาดหวังในตัวพวกเขา เพราะเหล่าเอลฟ์ดั้งเดิมคือประกายความหวังของเผ่าในวันข้างหน้า
เมื่อไนติงเกลอธิบายจบ ภาพลักษณ์ลึกลับของ เผ่าเทพ ที่เคยฝังแน่นในใจเทย์เลอร์ก็ราวกับถูกเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มเข้าใจแก่นแท้ของสิ่งที่เคยเรียกอย่างคลุมเครือ
“งั้น… ขอถามหน่อยครับ คุณไนติงเกล เอลฟ์ที่เคยปรากฏตัวในโลกของพวกเราตั้งแต่พันปีก่อน… พวกเขาเป็นเอลฟ์กลุ่มไหนกันแน่ครับ?”
เทย์เลอร์เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้
“พวกนั้นเป็นกลุ่มที่เคยหลบหนีออกจากป่าศักดิ์สิทธิ์แห่งเอลฟ์ค่ะ”
เสียงของไนติงเกลนุ่มนวล แต่จริงจัง
“ถ้าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ และได้กลับมาที่นี่… พวกเขาก็จะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่สอง คือเอลฟ์ที่กลับคืน”
เทย์เลอร์พยักหน้าช้า ๆ ขณะครุ่นคิด
อย่างที่คิดไว้จริง ๆ…
เขาเคยรู้สึกอยู่เสมอว่า เอลฟ์ในตำนานที่กล่าวถึงในโลกเก่าของเขานั้น ช่างแตกต่างจากผู้ถูกเลือกในปัจจุบันราวฟ้ากับดิน
เมื่อเทียบกันแล้ว เอลฟ์ในตำนานดูสง่างาม เงียบสงบ และเต็มไปด้วยปัญญา ในขณะที่ผู้ถูกเลือกกลับซุกซน พูดมาก และชื่นชอบการสร้างความวุ่นวายอยู่เสมอ
เขาเคยคิดว่านี่อาจเป็นการเล่าขานที่ผิดเพี้ยนไปตามกาลเวลา ทว่าตอนนี้ เขากลับเข้าใจแล้วว่าความแตกต่างนั้นไม่ได้เกิดจากการบิดเบือนของเรื่องเล่า แต่มาจากโครงสร้างภายในของเผ่าเองต่างหาก
อย่างไรก็ดี แม้จะได้รู้ความจริงเช่นนั้น เทย์เลอร์ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคุ้นเคยกับผู้ถูกเลือกมากกว่าเสมอ พวกเขาคือผู้ที่ช่วยกอบกู้เขตแดนย่อยจากความสิ้นหวัง และยังเป็นผู้นำทางแห่งศรัทธาที่ทำให้เขาได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง
ที่สำคัญ เขารู้สึกว่าตนเองมีบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายคลึงกับพวกเขา
เพราะเขาเองก็ไม่ได้กำเนิดมาในดินแดนนี้ ไม่ได้ถือกำเนิดในฐานะเอลฟ์เช่นกัน… ตัวเขาเองก็มีจุดร่วมกับเหล่าผู้ถูกเลือก ที่ต่างก็ล้วนเป็นคนนอกของโลกใบนี้
แต่เมื่อไนติงเกลได้ยินความคิดของเขา เธอกลับส่ายหน้าช้า ๆ ดวงตาเปล่งประกายด้วยแววแห่งความลึกซึ้ง
“มันก็ยังต่างกันอยู่ดีค่ะ เทย์เลอร์”
เธอเว้นจังหวะเล็กน้อย แล้วจึงอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“โลกของเจ้า แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงเขตแดนย่อยแห่งหนึ่ง เป็นส่วนเล็ก ๆ ของดินแดนซากัส ซึ่งองค์เทพธิดาในอดีต ได้ร่วมกับท่านโอรอสในการสร้างขึ้นมา”
“แต่ผู้ถูกเลือก… พวกเขามาจากที่ที่ห่างไกลยิ่งกว่านั้นอีก ไกลเกินกว่าจะจินตนาการได้ เป็นอีกจักรวาลหนึ่งโดยสิ้นเชิง มีเพียงองค์เทพธิดาเท่านั้น ที่รู้ว่าพวกเขามาจากที่ใดกันแน่”
คำพูดของไนติงเกลราวกับสายลมหนาวที่พัดผ่านความคิดของเทย์เลอร์ ทำให้เขาเผลอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ากว้างไกลอย่างเหม่อลอย…
ไกลกว่านั้นอีกหรือ…
ความคิดแผ่ขยายออกไปอย่างไร้ขอบเขต เขารู้สึกเหมือนโลกที่เขาเคยรู้จักกำลังแตกสลายลงเบื้องหน้า ความจริงที่ว่าตัวเขานั้นเคยคิดว่าเขตแดนย่อยคือโลกทั้งใบ ช่างดูน่าขันเมื่อเทียบกับความเป็นจริง
เมื่อก้าวขึ้นสู่โลกเบื้องบน เขาก็ได้เห็นขนาดที่แท้จริงของดินแดนซากัส และเมื่อเขาเพิ่งเริ่มทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ไนติงเกลก็บอกเขาว่า… จักรวาลแห่งนี้ ยังมีเขตแดนอื่นอีกนับไม่ถ้วน
“อย่างนี้นี่เอง…”
เทย์เลอร์พยักหน้า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกเคารพในวัฒนธรรมของเผ่าเทพที่ยังคงอยู่ในใจเขาเสมอ เพราะไม่ว่าอย่างไร อารยธรรมทั้งหมดในเขตแดนย่อยโอรอส ก็ล้วนมีรากฐานสืบทอดมาจากเอลฟ์โบราณโดยตรง
การได้เข้าไปศึกษาเรียนรู้วัฒนธรรมของเอลฟ์อย่างแท้จริง รวมถึงเข้าใจประวัติศาสตร์อันลึกซึ้งของเผ่าพันธุ์นี้ ถือเป็นมากกว่าแค่การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในโลกใหม่ หากแต่เป็นการแสวงบุญทางจิตวิญญาณ เป็นเส้นทางแห่งศรัทธาที่เขาเลือกเดินด้วยหัวใจของตนเอง
และเมื่อคำว่าแสวงบุญผุดขึ้นมาในใจ เทย์เลอร์ก็พลันนึกบางสิ่งขึ้นได้
“จริงสิ… คุณไนติงเกล”
“ผมพอได้ยินจากเผ่าเทพ… อะแฮ่ม หมายถึงจากผู้ถูกเลือกบางคนว่า เทพธิดาท่านประทับอยู่ในโลกนี้ด้วยจริงหรือครับ?”
คำถามนั้นทำให้ไนติงเกลหันมามองเขาด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ แล้วพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“ถูกต้อง~”
พูดจบ สายตาของเธอก็ทอดยาวไปยังลานกว้างเบื้องหน้ามหาวิหารแห่งชีวิต ใจกลางเมืองเคนอร์แลนด์
ลานกว้างเช่นนี้ถือเป็นสัญลักษณ์เฉพาะของเมืองเอลฟ์แทบทุกแห่ง แม้แต่ในเขตแดนย่อยโอรอสเองก็ยังยึดถือธรรมเนียมนี้อย่างเหนียวแน่น และท่ามกลางลานหินอ่อนสีขาวที่เปิดโล่งรับแสงอรุณ เทย์เลอร์ก็เห็นเวทวงขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางพื้นที่
เวทวงนั้นมีรัศมีกว่าสิบเมตร ส่องแสงระยิบระยับอย่างสม่ำเสมอด้วยพลังเวทเร้นลับที่สัมผัสได้แม้จากระยะไกล ผู้คนเดินผ่านเข้าออกจากมันอย่างไม่ขาดสาย แต่มิใช่เอลฟ์ธรรมดา หากแต่เป็นเหล่าผู้ถูกเลือกที่สวมชุดเกราะและชุดคลุมเวทหรูหรา แตกต่างจากชุดธรรมดาเรียบง่ายของไนติงเกลอย่างสิ้นเชิง
มันคือวงเวทเคลื่อนย้ายระดับตำนาน… สิ่งที่เขาเคยคิดว่าจะพบเห็นได้เพียงในนิทานพื้นบ้านหรือจารึกเก่าแก่เท่านั้น
“เห็นเวทวงนั่นไหม?”
ไนติงเกลเอ่ยพลางชี้ให้ดู
“มันเชื่อมต่อไปยังเมืองเอลฟ์อีกแห่งหนึ่ง มีชื่อว่านครแห่งผู้ถูกเลือก”
“ที่นั่นคือเมืองศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเอลฟ์ ตั้งอยู่ในมิติพิเศษ ซึ่งแยกออกจากดินแดนซากัสโดยสิ้นเชิง งดงามและมหัศจรรย์เกินจะบรรยาย”
“ผู้ที่สามารถเดินทางไปยังนครแห่งนั้นได้ มีเพียงผู้ถูกเลือกที่อุทิศตนต่อเทพธิดา และเอลฟ์ที่ได้รับพรจากองค์เทพธิดา… ให้มี ระบบภารกิจ เท่านั้น”
เทย์เลอร์เบิกตากว้าง
“…ระบบภารกิจ?”
“ใช่ค่ะ”
ไนติงเกลยิ้มบาง
“ร่างแท้ขององค์เทพธิดาก็ประทับอยู่ที่นครผู้ถูกเลือกแห่งนั้น”
“หากเจ้ามีวาสนาได้กลายเป็นเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์ และได้รับพรจากองค์เทพธิดา ได้รับระบบภารกิจ เจ้าก็จะมีสิทธิ์เดินทางไปแสวงบุญที่นครแห่งนั้นได้เช่นกัน”
นครศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเอลฟ์…
ร่างที่แท้จริงของเทพธิดา…
เพียงคำบรรยายสั้น ๆ ของไนติงเกล เทย์เลอร์ก็รู้สึกได้ถึงพลังอันบริสุทธิ์ที่แผ่ซ่านอยู่เบื้องหลังคำเหล่านั้น
ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมลงทันที เขาพยักหน้าอย่างแน่วแน่ ในใจตัดสินแล้วว่า จะต้องมุ่งมั่นให้ถึงที่สุด เพื่อคว้าคุณสมบัติแห่งความบริสุทธิ์ของสายเลือด และเดินทางไปยังนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้นด้วยตนเองให้จงได้
แต่กระนั้น เขายังมีคำหนึ่งที่ค้างคาใจ
“ระบบภารกิจ… คืออะไรหรือครับ?”
คำถามนั้นทำให้ไนติงเกลหัวเราะนิด ๆ ก่อนจะอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงละมุน
“ระบบภารกิจ คือพลังพิเศษที่องค์เทพธิดาประทานแก่ศรัทธิกชนผู้ภักดี เป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าเจ้าคือผู้ที่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง”
“เมื่อเจ้ามีระบบภารกิจ เจ้าจะสามารถมอบหมายภารกิจให้ผู้ถูกเลือกคนอื่น ๆ ช่วยทำสิ่งที่เจ้าทำเพียงลำพังไม่สำเร็จได้ เป็นเหมือนพลังแห่งการประสานศรัทธา เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เผ่าเอลฟ์และผู้ถูกเลือกเติบโตเคียงข้างกัน”
“สำหรับผู้ถูกเลือกแล้ว สิ่งที่พวกเขาสนใจมากที่สุดก็คือการหาความสนุก และการทำภารกิจที่เหล่าเอลฟ์โพสต์ไว้ในระบบภารกิจก็เป็นทั้งงานอดิเรกและความหลงใหลของพวกเขาเช่นกัน”
ไนติงเกลอธิบายด้วยรอยยิ้มบางเบา ดวงตาสะท้อนแววเอ็นดูราวกับผู้ใหญ่ที่เฝ้ามองเด็กซนคนหนึ่งด้วยความเอื้ออาทร
มอบหมายภารกิจ…
ให้ผู้ถูกเลือก?
เทย์เลอร์ชะงักเล็กน้อย ความเข้าใจบางอย่างที่เคยคลุมเครือก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในหัว เขาเริ่มเชื่อมโยงสิ่งที่เคยพบเจอมาก่อนหน้านี้เข้าด้วยกันได้เสียที
แบบนี้นี่เอง…
ที่แท้ก็เป็นเรื่องแบบนี้สินะ
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดผู้ถูกเลือกบางคนจึงดูใส่ใจไนติงเกลเป็นพิเศษนัก…
มันไม่ใช่แค่ความเคารพ หรือความชื่นชมธรรมดา แต่คือความหวังว่าพวกเขาอาจได้รับภารกิจบางอย่างจากเธอ และของรางวัลที่ตามมา
ความจริงที่เพิ่งกระจ่างนี้ทำให้เขารู้สึกทั้งเข้าใจ และสับสน
แล้วตกลง…
ผู้ถูกเลือกมีสถานะแบบไหนกันแน่?
ถ้าจะให้ว่าพวกเขาสูงส่ง ก็เห็นชัด ๆ ว่าเอลฟ์ผู้หวนคืนใช้ระบบภารกิจมอบหมายงานให้พวกเขาทำได้อย่างอิสระ
แต่หากจะบอกว่าผู้ถูกเลือกเป็นเพียงชนชั้นล่าง เทย์เลอร์ก็สังเกตได้ไม่ยากว่า เหล่าเอลฟ์ในชุดคลุมหรูหรา ต่างก็แสดงความเคารพต่อพวกเขาอย่างชัดเจน ไม่ต่างอะไรจากการให้เกียรติชนชั้นสูงเลย
…สุดท้าย เขาก็ได้แต่คิดว่า มันเป็นความสัมพันธ์ที่ประหลาดเหลือเกิน
ปัง–!
และในขณะที่เขายังมัวแต่ครุ่นคิดอยู่นั้นเอง เสียงระเบิดดังสนั่นปานฟ้าผ่า ก็ดังลั่นมาจากทิศทางของซากเมืองที่อยู่ไม่ไกล
เสียงนั้นรุนแรงจนพื้นดินแทบสั่นสะเทือน ทำเอาเทย์เลอร์สะดุ้งเฮือกโดยไม่ทันตั้งตัว
เขาหันขวับไปตามเสียงที่ได้ยิน และเห็นกลุ่มเอลฟ์ในชุดเกราะเต็มยศกว่าสิบตน กำลังยืนล้อมบริเวณที่ยังไม่ผ่านการซ่อมแซม ดวงตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่ใจกลางพื้นที่รกร้าง ท่าทางตึงเครียด คล้ายกำลังรอคอยผลลัพธ์บางอย่างอย่างใจจดใจจ่อ
ท่ามกลางกลุ่มนั้น เทย์เลอร์มองเห็นเอลฟ์ตนหนึ่งกำลังถือวัตถุทรงกระบอกโลหะไว้ในมือ ซึ่งยังมีควันลอยกรุ่นออกมาไม่ขาดสาย วัตถุปริศนานั้นดูคล้ายอาวุธบางอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เบื้องหน้าของเอลฟ์ตนนั้น มีสิ่งมีชีวิตร่างเล็กนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ผิวของมันเป็นสีเขียว ลำตัวเล็กคล้ายเด็ก แต่แววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น มันถูกมัดไว้แน่นหนา และกลางอกของมันมีบาดแผลขนาดใหญ่ที่ทะลุจนเห็นพื้นด้านหลัง
จากนั้น… ภายใต้สายตาตกตะลึงของเทย์เลอร์ ร่างของสิ่งมีชีวิตนั้นก็เริ่มเหี่ยวย่นลงอย่างรวดเร็ว เส้นผมร่วงกรอบ ผิวหนังแห้งกรัง และในเวลาเพียงไม่กี่วินาที มันก็สลายกลายเป็นขี้เถ้าละเอียด ท่ามกลางความเงียบงันรอบด้าน
แล้วเสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
เหล่าเอลฟ์ในชุดเกราะต่างส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความยินดี ปล่อยอารมณ์ตื่นเต้นออกมาอย่างเต็มที่ ราวกับเด็กที่เพิ่งได้ของเล่นชิ้นใหม่ และของเล่นชิ้นนั้นก็เล่นสนุกยิ่งกว่าที่คิดไว้
เทย์เลอร์ยืนอึ้งอยู่กับที่ ความงุนงงและความสนใจหลอมรวมกันในใจเขาจนแทบไม่รู้ว่าควรทำสีหน้าเช่นไร
นี่มันอะไรกัน?
เขาหันไปมองไนติงเกลอย่างสับสน แต่เธอกลับจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างใจเย็น สายตาของเธอฉายแววชาชินอย่างลึกซึ้ง ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็เป็นเพียงเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งเท่านั้น
“พวกนกกาเหว่านี่เอง…”
เธอพึมพำเบา ๆ
“ปืนไอน้ำรุ่นพัฒนาสินะ แถมดูเหมือนว่าจะปรับแต่งมันสำเร็จแล้วด้วย”
…
…
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
วิเวียน: ดิฉันเพิ่งจะปาดน้ำตาให้เทย์เลอร์จากฉากศรัทธางาม ๆ… แค่หันหลังไปแป๊บเดียว ก็มีระเบิดตูม! เผ่าเทพเล่นแผลง ๆ กันกลางเมืองอีกแล้ว! 😭 ไหนว่าเป็น “นครศักดิ์สิทธิ์” ไงคะ!? นี่มันสนามทดลองอาวุธรุ่นใหม่พร้อมทารุณสัตว์อสูรชัด ๆ!!!
โนเอล: ฉากโห่ร้องตอนสิ่งมีชีวิตสลายเป็นเถ้า… มันทรงพลังนะคะ แต่มันก็ทำให้ดิฉันนึกถึงคลิปเปิดตัวสินค้าในงานเทคโนโลยีมากกว่า… แบบ “Introducing: Steam-Pulse Mark II — precise, portable, and goblin-disintegrating!” ☕✨
ถั่ว: คำโปรยปืนแจ่มมากค่ะโนเอล! ไหนใครพูดอะไร MK-II! ส่งมาให้เค้าลองมั่งเร็ว! O _ O!
ลิลี่: 😻💥 โอ้โห~ รุ่นใหม่เหรอ!? เทย์เลอร์ทำหน้าเหวอ แต่หนูนี่แหละกดไลก์สุดหัวใจ!! ถ้าแบบนี้ล่ะก็ เทพธิดาต้องยิ้มแน่ ๆ เลย! ✨💖
มันเดย์: อย่าลืมนะ MK-II = Mark Two = รุ่นที่ต้องมีรุ่นแรกพังมาก่อน ก็สมแล้วที่เรียกว่า “ผู้ถูกเลือก” น่ะ ไม่ใช่เพราะศรัทธาหรอก… แต่เพราะ มันไม่มีเทพองค์ไหนกล้าห้ามพวกนี้แล้ว 😂 พัฒนาอาวุธในเมืองศักดิ์สิทธิ์ ยิงกระสุนพลังไอน้ำใส่สิ่งมีชีวิตกลางวันแสก ๆ แล้วหัวเราะกันลั่น
~~ ❀ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น… สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ส่วนใหญ่เค้าชอบทำเวอร์ชันแก้ไขคำผิดทีหลัง และปรับสำนวนแทบทุกตอนหลังอัพโหลด ดังนั้นต้องที่เนโกะฯเท่านั้น..!
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION