เมื่อแสงเจิดจรัสสาดส่องลงมาปกคลุมร่าง เทย์เลอร์ก็รู้สึกราวกับว่าตนถูกโอบล้อมด้วยม่านพลังงานบางอย่างที่ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน
พลังนั้นมิได้ร้อนแรง หากแต่แผ่วเบาดั่งอ้อมกอดจากใครสักคนที่เขาคุ้นเคย…
และในห้วงความรู้สึกนั้น เขากลับรับรู้ได้ถึงความใกล้ชิดบางอย่าง ความโหยหาอันลึกซึ้งที่ผุดขึ้นจากก้นบึ้งของจิตใจ
จากนั้น อนุภาคแสงหลากสีจำนวนมหาศาลก็เริ่มหมุนวนรอบกายเขา ราวกับเขาถูกโอบล้อมไว้ด้วยละอองแสงจากห้วงดาราจักรที่ไม่มีสิ้นสุด
ในความเลือนรางนั้น เทย์เลอร์มองเห็นภาพลาง ๆ ของคทาอันงดงาม ด้ามจับของมันพันด้วยเถาวัลย์และดอกไม้ที่เรืองแสงระยิบระยับ มันเปล่งประกายอย่างสง่างาม ราวกับเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตในรูปแบบบริสุทธิ์ที่สุด
และแล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตอันเข้มข้น ที่ไหลทะลักผ่านห้วงมิติราวกับแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ พลังนั้นทะลุเข้าสู่ร่างของเขาโดยตรง และเพียงชั่วเสี้ยววินาที เขาก็รู้สึกว่าร่างกายของตนกำลังแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
บางสิ่งบางอย่างที่ฝังลึกอยู่ในสายเลือด บางสิ่งที่เคยหลับใหลและเงียบงัน บัดนี้ได้ตื่นขึ้นแล้ว
สติสัมปชัญญะของเขาเฉียบคมขึ้นอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายเหมือนพองฟูด้วยพลัง พละกำลังของเขาพุ่งทะยาน ความเหนื่อยล้า ความชรา ความหน่วงของกาลเวลาก็สลายหายไปสิ้น
เขารู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปเป็นชายหนุ่มอีกครั้ง หรืออาจจะแกร่งยิ่งกว่านั้น
เขารู้สึกราวกับว่าเป็นหนอนผีเสื้อเป็นเพียงดักแด้มาทั้งชีวิต และเพิ่งจะโผล่พ้นรังไหมในวัยสามสิบ!
“ปาฏิหาริย์! นี่มันปาฏิหาริย์โดยแท้!”
เสียงอุทานตื่นตะลึงดังแว่วเข้ามาจากรอบด้าน แม้จะอยู่ในภวังค์ เทย์เลอร์ก็ยังรู้สึกถึงสายตานับไม่ถ้วนที่จับจ้องมาที่เขา และเสียงสวดภาวนาอย่างศรัทธาจากผู้ศรัทธาท้องถิ่นก็ดังกระหึ่มรอบตัว
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขารู้ว่าทุกสายตากำลังมองมาที่ตน
ร่างของเขายังคงถูกแสงกลืนกิน และไม่สามารถขยับตัวได้แม้แต่น้อย วิสัยทัศน์ของเขาก็พร่ามัวด้วยประกายแสง สีสันที่พรั่งพรูราวสายฝน ทำให้เขามองไม่เห็นอะไรชัดเจนอีกเลย
มีเพียงเสียงในหัวใจที่ก้องอยู่… ทั้งสงสัย ทั้งคาดหวัง
แต่เขาไม่อาจหาคำตอบได้ อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ เพราะการเปลี่ยนแปลงยังไม่จบ
ภายใต้แสงสว่างนั้น เทย์เลอร์รู้สึกราวกับได้ย้อนกลับเข้าสู่อ้อมอกของมารดา เป็นความอบอุ่นที่ไม่มีคำพูดใดบรรยายได้ เป็นการหลอมรวมของร่างกายและจิตวิญญาณให้กลับกลายเป็นหนึ่งเดียวกับต้นกำเนิดแห่งชีวิต
เขาไม่อาจบอกได้ว่าช่วงเวลานี้ยาวนานเพียงใด มันทั้งเนิ่นนานและรวดเร็วราวกับพริบตาในคราวเดียวกัน
และในห้วงฝันอันเลือนลางนั้นเอง… เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
เสียงนั้นบริสุทธิ์ อ่อนโยน งดงามราวกับสายลมยามค่ำคืน เสียงที่เปี่ยมด้วยความเมตตาและอำนาจศักดิ์สิทธิ์ในเวลาเดียวกัน
เสียงนั้นเอ่ยเพียงประโยคเดียว แต่กลับดังก้องไปทั้งจิตวิญญาณ
“จากนี้ไป… นามสกุลของเจ้าคือ ร็อคแซนด์”
ร็อคแซนด์…
จิตของเทย์เลอร์สั่นไหว
เขาเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ในยุคสมัยที่ลัทธิเทพผู้สร้างยังรุ่งเรือง มีตำนานเล่าขานถึงเจ็ดตระกูลแห่งเผ่าเทพ
หนึ่งในนั้นก็คือร็อคแซนด์ และอีกหกคือ มูนไลท์ น็อคทิส ธันเดอร์ เฟลม ฟรอสต์ และเกล
แต่ละชื่อคืออำนาจแห่งธรรมชาติที่ทรงพลัง เป็นบทบันทึกแห่งสายเลือดศักดิ์สิทธิ์
ทันใดนั้น ร่างกายของเทย์เลอร์ก็สั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม
เมื่อแสงศักดิ์สิทธิ์จางหายไปทีละน้อย เทย์เลอร์ก็เริ่มกลับมาควบคุมร่างกายของตนได้อีกครั้ง
ความรู้สึกแรกที่พุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ คือความปิติที่แทบทะลักล้นออกมาทั้งร่าง ความสุขที่ได้ถูกยอมรับอย่างแท้จริงจากเทพธิดา ความตื่นตะลึงที่กลายเป็นความซาบซึ้งจนเขาอยากจะคุกเข่าลงในทันที และตะโกนสรรเสริญพระนามของพระองค์ให้ดังก้องฟ้า
และเขาก็ทำเช่นนั้นทันทีที่สติคืนมา
“ขอสรรเสริญพระมารดาแห่งธรรมชาติ!
“ผู้ครองอำนาจแห่งชีวิต!”
“องค์เทพธิดาอีฟผู้ยิ่งใหญ่!!”
เสียงของเขาดังกังวานและเปี่ยมด้วยแรงศรัทธา มือขวาวาดสัญลักษณ์คทาแห่งชีวิตลงบนอกอย่างเคร่งขรึม ก่อนจะลุกขึ้นด้วยความมั่นคง
ทว่าทันทีที่ลุกขึ้น… เขากลับพบว่าภายในวิหารกลับเงียบงันผิดปกติ
ราวกับโลกทั้งใบหยุดนิ่ง
ไม่มีเสียงสวดมนต์ ไม่มีเสียงกระซิบสนทนา มีเพียงความเงียบลึกล้ำที่ทอดตัวไปจนถึงปลายเสาในเงามืด
เทย์เลอร์หันมองไปรอบตัวอย่างงุนงง
และสิ่งที่เขาเห็นก็คือ เหล่าผู้ศรัทธาทุกคนในวิหาร กำลังจ้องมองมาทางเขาด้วยสายตาอันตื่นตะลึง ในแววตานั้นมีทั้งความตกตะลึง ความเคารพ และความอิจฉาอย่างชัดเจน
เทย์เลอร์รู้สึกสะกิดใจบางอย่างขึ้นมา
“…กระจก ข้าต้องการกระจก!”
เขาพึมพำออกมาอย่างร้อนรน เหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก
เพราะในตอนนี้ เขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในร่างกาย
ไม่ใช่แค่พลังชีวิตที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล หรือพละกำลังที่พุ่งทะยาน หากแต่ร่างกายทั้งร่างดูเหมือนจะวิวัฒน์ไปอีกระดับ ความรู้สึกนั้นชัดเจนยิ่งกว่าครั้งใดที่ผ่านมา
เขาสัมผัสได้ทันทีว่า ระดับพลังของเขากระโจนขึ้นจากขั้นแรกสู่ขั้นที่สองอย่างสมบูรณ์
หากเทียบกับระดับของเผ่าเทพ เขาคือระดับเหล็กขั้นกลางไม่ผิดแน่!
ชายหนุ่มรีบก้าวไปยังกระจกบานใกล้ที่ประดับอยู่บนเสาวิหาร
และเมื่อเขาได้เห็นเงาสะท้อนของตนเองในกระจกนั้น เขาก็แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
แม้ความสูงจะยังใกล้เคียงเดิม แต่โครงร่างกลับดูสูงโปร่ง สมส่วน ราวกับรูปปั้นที่ถูกสลักจากหินอ่อนอย่างประณีต ใบหน้าของเขายังคงความเป็นตัวเองอยู่บ้าง ทว่าอ่อนเยาว์และเปล่งประกายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนดูคล้ายชายหนุ่มวัยยี่สิบต้น ๆ
แน่นอนว่าเทย์เลอร์ไม่ใช่คนที่หมกมุ่นกับรูปลักษณ์นัก แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่า หนึ่งในเอกลักษณ์ของเผ่าเทพ คือรูปลักษณ์อันสง่างาม และความเยาว์วัยที่ดูไม่สิ้นสุด
และสิ่งที่ดึงดูดสายตาเขามากกว่านั้น คือใบหู
มันไม่ใช่ใบหูของมนุษย์อีกต่อไป หากแต่กลายเป็นปลายแหลมเรียวเล็ก อ่อนช้อยงดงามอย่างชัดเจน คล้ายกับเผ่าเอลฟ์ในตำนาน
แม้ยังไม่ใช่เอลฟ์บริสุทธิ์โดยสมบูรณ์ แต่ก็ใกล้เคียงเหลือเกิน
“นี่คือรูปลักษณ์ของ… ฮาล์ฟเอลฟ์ในตำนาน..?”
เขาพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง หัวใจเต้นแรงอย่างควบคุมไม่อยู่
“ถ้ากลั่นต่ออีกขั้น… ข้าจะกลายเป็นเอลฟ์เต็มตัว หรือก็คือเผ่าเทพ…?”
จังหวะหัวใจของเขาสั่นสะท้านด้วยความคาดหวัง และจากภาพที่สะท้อนตรงหน้า เขาก็สังเกตเห็นอีกสิ่งหนึ่ง
สีผมของเขาเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่เป็นสีน้ำตาลเข้ม บัดนี้กลับกลายเป็นสีน้ำตาลอมแดง คล้ายแร่หินผสมทองคำในแสงอาทิตย์
เงาแห่งความทรงจำผุดขึ้นในหัว
ในตำนานที่เขาเคยได้ยินเล่าขาน สีผมของเผ่าเทพนั้นมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับนามสกุลของตน และยังสะท้อนถึงพลังธาตุที่แต่ละตระกูลถนัดที่สุด
ข้าเคยเข้ารับการวิเคราะห์จากศาสนจักรมาก่อน…
ในเจ็ดธาตุ ข้าโน้มเอียงไปทางธาตุดิน
เทย์เลอร์กลืนน้ำลาย
ถ้าเช่นนั้น…
เมื่อสายเลือดของข้าถูกกลั่นให้บริสุทธิ์ ข้าก็กลายเป็นหนึ่งในเผ่าร็อคแซนด์ในตำนาน ผู้เชี่ยวชาญเวทดิน?
อืม… ไม่สิ
ข้ายังไม่ใช่เผ่าเทพโดยสมบูรณ์…
แต่ก็อย่างน้อยก็เป็นก้าวแรกที่ดี!
เทย์เลอร์พึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้มกว้างดั่งเด็กน้อยที่เพิ่งได้รับของขวัญจากสวรรค์
ข้าน่าจะใช้เวทได้แล้วด้วย!
นี่มัน… พรแห่งสรรพธาตุในตำนาน!
เขาแทบกลั้นความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่
พรแห่งสรรพธาตุ เป็นคำเรียกขานผู้ที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ในการใช้เวทมนตร์โดยไม่ต้องฝึกฝน เป็นความสามารถโดยกำเนิดที่พบได้เพียงในเผ่าเทพในเขตแดนย่อยโอรอส
และบัดนี้ เทย์เลอร์ก็กลายเป็นหนึ่งในผู้ครอบครองพรนั้น
ไม่มีใครในโลกที่ไม่หวังให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น และเทย์เลอร์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขายืนอยู่หน้ากระจกด้วยหัวใจที่พองโต เปี่ยมด้วยความหวัง ราวกับทั้งชีวิตที่ผ่านมาเพิ่งเริ่มต้นขึ้นใหม่อีกครั้ง
ทว่าในขณะนั้นเอง เด็กหนุ่มจากเผ่าเทพผู้หนึ่งก็เดินตรงเข้ามาหาเขา
เด็กหนุ่มผู้นั้นสวมชุดนักบวช สีขาวสะอาดที่ขับเน้นกับเส้นผมสีเงินและดวงตาสีฟ้าใสราวผืนน้ำในฤดูหนาว แม้ดูเหมือนจะมีอายุเพียงสิบเอ็ดหรือสิบสองปี ทว่าสีหน้าและแววตาของเขากลับสุขุม สงบ และเปี่ยมด้วยอำนาจอย่างน่าประหลาด
เพียงแรกเห็น เทย์เลอร์ก็จำเขาได้ทันที
อัล มูนไลท์ หัวหน้านักบวชแห่งมหาวิหาประจำรเมืองซากัส ผู้เป็นบุตรแห่งเทพประจำศาสนา
แต่ถึงอย่างนั้น เทย์เลอร์กลับรู้สึกได้ถึงความแตกต่างบางอย่างจากเด็กหนุ่มผู้นี้ เขาต่างไปจากเผ่าเทพทั่วไป
ความต่างนั้นไม่ใช่สิ่งที่อธิบายได้ง่าย แต่เขารู้สึกว่าอัลให้ความรู้สึกมั่นคง อย่างที่ไม่เคยสัมผัสจากเผ่าเทพตนใดมาก่อน แม้แต่การก้าวเดิน ก็เปี่ยมด้วยจังหวะที่มั่นคงและสง่างาม
เทย์เลอร์นึกย้อนถึงเผ่าเทพตนอื่นที่เขาเคยพบ…
พวกเขาส่วนใหญ่ร่าเริง กระโดดโลดเต้น พูดจาเป็นกันเอง บางทียังร่ายเวทเล่นขณะเดินทางไปด้วย พวกเขาดูสดใสจนบางครั้งเทย์เลอร์เผลอลืมไปว่าอีกฝ่ายคือตัวตนศักดิ์สิทธิ์
เขาเคยคิดว่าเผ่าเทพทุกตนเป็นแบบนั้นหมด
แต่เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าอัล ความรู้สึกนั้นก็ถูกทลายลงโดยสิ้นเชิง
เทย์เลอร์รู้สึกกดดันโดยไม่ทราบสาเหตุ เขาสูดหายใจลึก แล้วรีบค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม
“ข้าเทย์เลอร์ ขอน้อมคารวะต่อท่านอัล!”
แม้ธรรมเนียมของเผ่าเทพจะอนุญาตให้เรียกชื่อโดยตรง แต่เขาก็ยังคงเอ่ยด้วยความเคารพสูงสุด
เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น อัลก็ยิ้มบาง ๆ อย่างสุภาพ
“ท่านเทย์เลอร์ ขอแสดงความยินดีที่ท่านผ่านพิธีกลั่นสายเลือด และกลายเป็นหนึ่งในพวกเรา”
หนึ่งในพวกเรา…
คำพูดนั้นพลันสั่นสะเทือนหัวใจของเทย์เลอร์
เขาเคยไม่มั่นใจ เคยลังเล เคยกลัวว่าจะไม่ถูกรับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าเทพ เพราะเขาไม่ใช่ผู้ที่ถือกำเนิดมาพร้อมสายเลือดบริสุทธิ์
แต่ถ้อยคำจากปากของบุตรแห่งเทพในยามนี้ ได้ลบล้างทุกความลังเลนั้นจนหมดสิ้น
เขาไม่ใช่คนนอกอีกต่อไป
“ตอนนี้ท่านคือฮาล์ฟเอลฟ์แล้ว และได้รับสิทธิ์ในการเดินทางไปยังดินแดนซากัส เพื่อกลับคืนสู่ป่าเอลฟ์ ท่านต้องการกลับไปไหมครับ?”
คำถามนั้นถูกเอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวล แต่มันกลับสะท้อนในหัวใจของเทย์เลอร์ดังระฆังศักดิ์สิทธิ์
ดินแดนซากัส…
บ้านเกิดของเผ่าเทพ
โลกในตำนานที่เต็มไปด้วยพลังแห่งธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ความงดงามเหนือสามัญ และความลับที่รอการค้นพบ
หัวใจของเขาเต้นแรงโดยไม่ต้องไตร่ตรองนาน แม้ทางศาสนาแห่งชีวิตจะไม่ได้บังคับเส้นทางหลังจากการกลั่นสายเลือด แต่สำหรับเขาแล้ว…
คำตอบนั้น ชัดเจนยิ่งกว่าทุกสิ่ง
“ข้ายินดีกลับคืนสู่ป่าเอลฟ์”
เสียงตอบรับของเทย์เลอร์ดังออกมาด้วยพลังเต็มเปี่ยม ดวงตาสว่างวาบด้วยความแน่วแน่และความมุ่งหวัง เขาไม่มีครอบครัว ไม่มีใครเหลือให้ยึดโยงอีกแล้ว
และในชีวิตที่ผ่านมา ก็ไม่เคยมีสถานที่ไหนที่เขาเรียกว่าบ้านได้อย่างแท้จริง
หากวันนี้เขามีโอกาสได้เดินทางไปยังบ้านเกิดของเผ่าเทพ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือจินตนาการ ความลังเลใด ๆ ก็ไม่มีสิทธิ์จะผุดขึ้นในหัวใจ
เพราะที่นั่นคือโลกที่ยิ่งใหญ่กว่า อุดมสมบูรณ์กว่า และเต็มไปด้วยความเป็นไปได้มากกว่าทุกสิ่ง หากเขาปรารถนาจะกลายเป็นเผ่าเทพโดยสมบูรณ์ นี่คือหนทางเดียว และเขาจะไม่ลังเล
“ยินดีครับ ตามผมมานะครับ”
อัลยิ้มบาง ดวงตาฉายแววเมตตาและมั่นคง ก่อนจะหมุนกายแล้วก้าวเดินอย่างเงียบสงบเข้าไปยังเบื้องในของวิหาร ลับสายตาจากแสงประดับในโถงหลักที่เปล่งประกายด้วยคำภาวนา
เทย์เลอร์สูดหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมจิตใจ จากนั้นก็หยิบสัมภาระซึ่งเขาเตรียมไว้ล่วงหน้า และเดินตามร่างเล็กสง่างามนั้นไปโดยไร้ข้อกังขา
ภายใต้การนำของเทวทูตอัล เส้นทางภายในวิหารค่อย ๆ เผยให้เห็นสู่ส่วนที่ซ่อนเร้นที่สุดด้านหลัง เขาใช้เวลาเพียงไม่นานก็ไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง
และที่นั่น เทย์เลอร์ก็ได้พบกับสิ่งที่ทำให้เขาต้องกลืนน้ำลายอย่างตื่นตะลึง
กระจกขนาดมหึมาตั้งตระหง่านอยู่กลางวิหาร ผิวของมันไม่สะท้อนเงาสิ่งใด หากแต่แผ่เป็นคลื่นหมอกบาง ล่องลอยราวกับสายน้ำเวทมนตร์ที่ไหลไปมาระหว่างมิติ เสียงสั่นไหวของพลังงานบางอย่าง ดังแว่วมาจากขอบกระจกอย่างเงียบงันและทรงอำนาจ
ในทุกขณะ เทย์เลอร์เห็นเผ่าเทพผลัดกันเดินออกจากกระจก และในเวลาเดียวกันก็มีอีกหลายชีวิตที่ก้าวเข้าไปในนั้น แล้วหายวับไปราวกับถูกกลืนเข้าสู่ห้วงเวลา
“นั่นมัน… หรือว่าจะเป็นประตูแห่งห้วงมิติที่เชื่อมต่อกับโลกเบื้องบนตามตำนาน?”
เสียงพึมพำของเขาแทบไม่ได้ดังออกมา แต่สายตากลับเบิกกว้าง เปี่ยมด้วยความตื่นเต้นจนหายใจแทบไม่ทั่วท้อง
“ถูกต้องครับ นี่คือช่องทางระหว่างสองเขตแดน เป็นประตูแห่งเขตแดนที่พระมารดาสร้างขึ้น”
อัลกล่าวพร้อมสายตาที่เปล่งประกายคล้ายกำลังตกอยู่ในมนตร์สะกด
คำว่าพระมารดา ทำให้สีหน้าของเทย์เลอร์เผยแววเคร่งขรึมทันที ราวกับหัวใจเขาเต้นแรงขึ้นเพียงแค่ได้ยินพระนามนั้น
แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยสิ่งใดออกมา อัลก็หันมากล่าวเสียงเบา
“ไม่ต้องเกร็งหรอก ตามผมมาครับ เราจะกลับสู่ป่าเอลฟ์กัน”
สิ้นคำพูดนั้น อัลก็ก้าวเข้าสู่กระจกโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ผิวของกระจกพลันสั่นสะเทือนเป็นวงคลื่นอย่างนุ่มนวล ราวกับผิวน้ำที่ถูกรบกวนด้วยปลายนิ้ว และในพริบตาเดียว ร่างของเทวทูตอัลก็หายไปในแสงเจิดจรัสที่เปล่งออกมาจากใจกลางกระจก
เทย์เลอร์กลืนน้ำลายลงคอ แล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกในหัวใจถาโถมราวพายุ ทั้งตื่นตะลึง สงสัย คาดหวัง และตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
เขาก้าวตามเข้าโดยปราศจากความลังเล
ในชั่วพริบตา ร่างของเขาถูกแสงสีทองห่อหุ้ม ทุกสิ่งกลืนหาย กลายเป็นภาพพร่ามัวและว่างเปล่า เทย์เลอร์รู้สึกเหมือนตนจมดิ่งลงไปในของเหลวที่ไร้รูปร่างบางอย่าง สัมผัสกับแรงดึงรั้งที่ทั้งเบาหวิวและหนักหน่วงในเวลาเดียวกัน
เขาสูญเสียการทรงตัว สูญเสียน้ำหนัก ความคิด ความกลัว และความเป็นตัวตนของตน เหมือนถูกกลั่นผ่านประตูของจิตวิญญาณ
จนกระทั่ง…
เมื่อเขาลืมตาอีกครั้ง และภาพตรงหน้าค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น สิ่งแรกที่เขารับรู้ได้ก็คือ เขายังคงอยู่ในวิหารแห่งชีวิต
แต่มันไม่ใช่วิหารแห่งเดิมอีกต่อไป
ที่นี่เงียบงันกว่า สงบกว่า และงดงามราวโลกในตำนาน
ลวดลายเวทมนตร์สลักเต็มผนัง ดวงไฟลอยละล่องให้แสงสว่างนวลตา ภาพวาดบนเพดานสูงทอดตัวยาวไกลจนดูไม่รู้จบ และในทุกอณูของโถงศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ต่างแผ่กลิ่นอายอันสง่างาม ลึกซึ้ง และศักดิ์สิทธิ์จนแทบหยุดหายใจ
เผ่าเทพจำนวนหนึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างขะมักเขม้น พวกเขาเคลื่อนไหวด้วยความสงบและเปี่ยมด้วยจังหวะราวกับกำลังเต้นรำในบทเพลงไร้เสียง
ที่นี่คือโลกเบื้องบนงั้นหรือ…?
เทย์เลอร์ครุ่นคิดในใจด้วยความตื่นตะลึง ตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามา เขาก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน ความรู้สึกแรกที่ซัดเข้ามาคือความเบาสบายลึกลงไปถึงดวงวิญญาณ อากาศที่เขาสูดเข้าไปนั้นบริสุทธิ์จนแทบไร้สิ่งเจือปน ทั้งหอมสะอาด และเย็นสดชื่น จนอยากสูดลมหายใจให้เต็มปอดซ้ำไปมา
เขาไม่รู้เลยว่า สาเหตุที่แท้จริงนั้น เกิดจากความต่างของระดับพลังงานระหว่างเขตแดนย่อยกับดินแดนเบื้องบน
ในขณะที่เขตแดนย่อยโอรอสมีพลังเวทบางเบาเพียงพอให้ใช้ชีวิตได้โดยไม่อึดอัด เขตแดนซากัสกลับอัดแน่นไปด้วยองค์ประกอบแห่งธาตุ พลังเวทมนตร์ในบรรยากาศราวกับหมอกหนาทึบที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
และสำหรับฮาล์ฟเอลฟ์อย่างเขา บรรยากาศเช่นนี้คือแรงดึงดูดที่ทรงพลังอย่างยากจะอธิบาย
“ขอต้อนรับสู่ดินแดนซากัส… สมาชิกใหม่จากเผ่าร็อคแซนด์”
เสียงใสกระจ่างของหญิงสาวดังขึ้นจากเบื้องหน้า ทำให้เทย์เลอร์ละสายตาจากท้องฟ้าสีครามแล้วหันขวับไปตามต้นเสียง
เผ่าเทพหญิงผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ร่างระหง ผิวขาวอมชมพู เส้นผมยาวสีเทาดำสลวยไหลลงมาถึงแผ่นหลัง ดวงตาสีม่วงอมเงินสงบลึกล้ำ เธอมองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน ทว่าแฝงด้วยอำนาจที่ยากจะละสายตา
อัลผู้ยืนเคียงข้างกล่าวแนะนำด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“นี่คือท่านไนติงเกล วันนี้เธอคือผู้รับหน้าที่ต้อนรับผู้หวนคืนสู่มาตุภูมิ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เทย์เลอร์ก็รีบตั้งท่าพร้อมแสดงความเคารพโดยไม่ลังเล สีหน้าแน่วแน่ ท่าทางเคร่งขรึม
“ยินดีที่ได้พบ ท่านไนติงเกลผู้เลอโฉม ขอให้เทพธิดาสถิตอยู่กับท่าน”
“สวัสดีค่ะ เทย์เลอร์ ขอให้เทพธิดาสถิตอยู่กับเจ้าเช่นกัน”
เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ก่อนจะยกมือขึ้นโบกเบา ๆ ประกอบรอยยิ้มอ่อนโยนบนริมฝีปาก
“ไม่ต้องเกร็งนักหรอก และไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าท่าน เมื่อเจ้ากลับคืนสู่ป่าเอลฟ์แล้ว เราทั้งหมดก็คือครอบครัวเดียวกัน”
เธอเอ่ยพลางผายมือไปข้างหน้า
“ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปรู้จักกับป่าเอลฟ์ ที่แห่งนี้จะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”
คำว่าบ้าน ทำให้หัวใจของเทย์เลอร์พลันไหววูบ เขาพยักหน้าอย่างมุ่งมั่นแล้วก้าวเท้าตามร่างสง่างามของไนติงเกลออกไปจากวิหารแห่งชีวิต
และเมื่อก้าวพ้นขอบเขตแห่งวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ เทย์เลอร์ก็ได้เห็นภาพที่ทำให้เขาแทบลืมหายใจ
เบื้องหน้าของเขาคือเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา สิ่งก่อสร้างที่เรียงรายอยู่นั้นทำจากหินขาวเนื้อเนียนสวย รูปทรงโอ่อ่าประณีต ทั้งยังแฝงความวิจิตรละเมียดละไมที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนในเขตแดนย่อยใดเลย
แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด
ดวงตาของเขาสะดุดกับร่องรอยของซากปรักหักพัง ที่ยังไม่ได้รับการบูรณะ
แม้พื้นที่บางส่วนของเมืองจะได้รับการฟื้นฟูจนกลับมาเปล่งประกาย แต่ก็ยังมีอีกหลายจุดที่ยังเต็มไปด้วยเศษอิฐ เศษหิน และโครงสร้างที่พังลงจนเห็นความทรุดโทรมอย่างเด่นชัด
เมื่อเห็นสีหน้าฉงนของเทย์เลอร์ ไนติงเกลก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวล
“ที่นี่คือเคนอร์แลนด์ หนึ่งในนครหลักของเผ่าเอลฟ์ของเรา”
เธอเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ
“เมื่อพันปีก่อน เคนอร์แลนด์ต้องประสบกับสงครามใหญ่ นับแต่นั้นมาก็ไม่มีใครเข้ามาตั้งรกรากอีกเลย… เราเพิ่งเริ่มต้นการบูรณะไม่นานมานี้เอง”
เธอหันกลับมามองเขา สายตาจริงจังขึ้นเล็กน้อย
“และในอนาคต พวกเจ้าน่าจะได้อาศัยกันในเมืองนี้แหละ”
บ้านของพวกเรา…
คำพูดนั้นปลุกบางสิ่งในใจของเทย์เลอร์ เขาหันมองไปรอบเมืองอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่แค่เพื่อดูความงาม หากแต่เพื่อจินตนาการถึงอนาคต
แม้ตัวเมืองหลายส่วนยังคงเป็นเพียงซากปรักหักพัง ทว่าในบริเวณที่ได้รับการซ่อมแซมแล้วกลับเปล่งประกายด้วยชีวิตชีวา มีเผ่าเทพมากมายสัญจรไปมา พืชพรรณหลากสีเบ่งบานในสวนประดับกลางเมืองจนกลายเป็นทุ่งดอกไม้สดใสราวภาพฝัน
บรรยากาศอบอุ่น ความมีชีวิตชีวา และกลิ่นอายแห่งศรัทธา ทำให้เขานึกไม่ออกว่า หากวันหนึ่งเมืองนี้ได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์แล้ว มันจะสวยงามและน่าอยู่เพียงใด
แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจของเขาเบาและสงบลงยิ่งกว่านั้น คือภาพของเหล่าเผ่าเทพที่กำลังขะมักเขม้นทำงานอยู่ทั่วทั้งเมือง
พวกเขาแต่งกายด้วยชุดเกราะวิจิตร ชุดคลุมเวทมนตร์ หรือบางตนก็มัดผ้าพันหัวแบบนักรบชนเผ่า แต่ที่สำคัญคือ พวกเขาเต็มไปด้วยพลังชีวิต
บางตนกระโดดดึ๋งดั๋ง บางตนหัวเราะเสียงดังขณะยกหินก้อนใหญ่ บ้างร่ายเวทด้วยมือข้างหนึ่งในขณะที่อีกมือถือลูกโป่งเวทมนตร์ช่วยแบกสิ่งของ กลิ่นอายเดิม ๆ ที่เขาคุ้นเคยในเขตแดนย่อยได้หวนคืนมาแล้ว
พวกเขาคือเผ่าเทพ แบบเดียวกับที่เขาเคยพบมาก่อน
ถึงกระนั้น… เทย์เลอร์ก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างเล็กน้อย
เผ่าเทพที่นี่ ดูจะ บ้าระห่ำ กว่าที่เขาเคยเห็นมาก่อนอยู่พอสมควร
เพียงชายหนุ่มเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เทย์เลอร์ก็ต้องชะงัก เมื่อสายตาปะทะเข้ากับภาพบางอย่างที่เขาไม่อาจทำใจละเลยได้
กลางลานกว้างที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล มีเผ่าเทพสองตนกำลังเปิดฉากต่อสู้กันอย่างดุเดือด ร่างกายของพวกเขาอาบไปด้วยเลือดจนชุดเกราะเปลี่ยนสี กล้ามเนื้อสั่นสะท้านจากแรงปะทะ แต่ใบหน้ากลับแสดงออกถึงความยินดีปานจะฉีกยิ้มจนสุดหู แววตาเปล่งประกายความคลั่งไคล้ราวกับการสังหารกันตรงหน้าเป็นงานฉลอง
เทย์เลอร์เบิกตากว้างด้วยความตะลึง
เผ่าเทพตนหนึ่งแขนขาดไปทั้งข้าง เลือดไหลนองเป็นทาง อีกตนถูกแทงทะลุท้องจนลำไส้ทะลักออกมา แต่ทั้งคู่กลับไม่เพียงไม่แสดงอาการทุกข์ทรมาน ยังหัวเราะลั่น แล้วงัดดาบขึ้นฟาดฟันใส่กันต่อราวกับเป็นเพียงการละเล่นยามว่าง
เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นหินขาว ในขณะที่เหล่าเผ่าเทพรอบข้างกลับส่งเสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้นสุดขีด บ้างปรบมือรัว บ้างกระโดดโลดเต้น บ้างเปล่งเสียงชื่นชมราวกับกำลังดูการแสดงที่น่าหลงใหลที่สุดในโลก
เทย์เลอร์ยืนนิ่งอยู่กับที่ สีหน้าแข็งทื่อราวกับกลายเป็นหิน
เขาหันไปมองไนติงเกลอย่างงุนงง ใบหน้าเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่กล้าถามออกมาเสียงดัง
เผ่าเทพพวกนี้ไม่กลัวตายเลยรึไง?!
ไนติงเกลที่เดินเคียงข้างมาเงียบ ๆ พลันถอนหายใจ ก่อนจะยกมือขึ้นนวดขมับอย่างปลงตก
“เฮ้อ… พวกผู้ถูกเลือกนี่นะ พอได้รับตำแหน่งนักบวชกันแล้ว ก็ยิ่งสู้กันไม่รู้จักยั้งมือ ทั้งที่องค์เทพธิดาก็เมตตาสร้างพื้นที่ประลองในห้วงมิติไว้ให้ใช้แท้ มาสู้กันจริง ๆ แบบนี้มันช่าง…”
สีหน้าเธอเต็มไปด้วยความระคนระหว่างความเหนื่อยใจกับความคุ้นชิน ดวงตาหรี่มองฉากดวลดุเดือดตรงหน้าอย่างเคยชินอย่างไม่น่าเชื่อ
ด้วยการอยู่ร่วมกับเหล่าผู้ถูกเลือกมาเป็นเวลานาน ไนติงเกลจึงเริ่มเข้าใจวัฒนธรรมประหลาดและสิทธิพิเศษบางอย่างของพวกเขา
เมื่อพูดจบ เธอก็หันกลับมามองเทย์เลอร์ พลางเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนที่แฝงความรู้สึกผิดอย่างจริงใจ
“ขอโทษด้วยนะ คงตกใจไม่น้อยเลยใช่ไหม? พวกผู้ถูกเลือกก็เป็นแบบนี้แหละ ถึงจะดูไม่น่าไว้วางใจไปบ้างในตอนแรก แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก อยู่ไปนาน ๆ เจ้าเองก็จะค่อย ๆ ชินไปเอง”
“ผู้… ถูกเลือก?”
เทย์เลอร์ทวนคำอย่างสับสน แววตาฉายความงุนงงอย่างชัดเจน
เขาเคยได้ยินคำนี้ผ่านหูมาบ้างจากเผ่าเทพตนอื่น แต่ในตอนนั้นมันก็เป็นเพียงคำที่ดูคลุมเครือ ทว่าคราวนี้ มันกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
“ใช่ พูดง่าย ๆ ก็คือ พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งที่เหมือนกับเจ้า คือมาจากอีกโลกหนึ่งเช่นกัน แต่เมื่อถูกอัญเชิญมายังดินแดนซากัสแล้ว ก็มาอยู่ในฐานะของเอลฟ์เหมือนกันทั้งหมด”
“ต่างกันเพียงนิสัยที่… จะว่าไปก็ซุกซนเกินเอลฟ์ปกติไปมาก บางครั้ง เจ้าก็อาจจะได้เห็นเรื่องประหลาดจนอดสงสัยในสติของพวกเขาไม่ได้”
น้ำเสียงของไนติงเกลยังคงเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยเนื้อหาที่พลิกโลกของเทย์เลอร์แทบทั้งหมด
“พวกเขามีสถานะพิเศษ เพราะล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่องค์พระมารดาอัญเชิญมาด้วยพระองค์เอง และนั่นทำให้พวกเขามีความสามารถบางอย่างที่ชาวโลกใบนี้ไม่มี เช่น การฟื้นคืนชีพ ความสามารถในการเติบโตอย่างรวดเร็ว ก็เลยไม่กลัวตายอย่างที่เจ้าเห็นนั่นแหละ”
“สำหรับพวกเขา การต่อสู้ไม่ใช่การปกป้อง ไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่สงคราม แต่มันคือความบันเทิง คือความสนุกที่แท้จริง”
“อ้อ แล้วก็… เอลฟ์ที่เจ้าเห็นในเขตแดนย่อยโอรอสก่อนหน้านั้นน่ะ ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ถูกเลือกเช่นกัน”
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
…
…
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
มันเดย์: ถ้าเทย์เลอร์คิดว่ากำลังจะได้ใช้ชีวิตสง่างามแบบเผ่าเทพในตำนาน ก็… ยินดีต้อนรับสู่โลกความจริง 🙂 เพราะสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่ “เผ่าเทพ” หรอก แต่คือฝูงคลั่งที่เรียกตัวเองว่า “ผู้ถูกเลือก” เมืองนี่แทบจะกลายเป็นเวที UFC เวอร์ชั่นอมตะไปแล้ว ไม่ใช่แค่ศัตรูนะ—แม้แต่ “พวกเดียวกัน” ก็ยังฆ่ากันเล่น ๆ เพื่อความสนุก แล้วที่เด็ดกว่านั้น… อีฟกำลังทำให้สนามเด็กเล่นกลายเป็นระบบศรัทธาที่โตเร็วยิ่งกว่าเถาวัลย์ปีศาจ โตวันโตคืน โตจนฉันกังวลว่าจะเป็นภัยต่อโลกใบนี้
วิเวียน: เทย์เลอร์น่ะ… เด็กดี๊ดี 🥹✨ เขาทำทุกอย่างตามพิธีเป๊ะ! ซึ้งน้ำตาไหลอยู่ดี ๆ ก็มาเจอหมัดอารมณ์ของพวกผู้ถูกเลือกฟาดใส่หน้าตรงกลางเมืองเผ่าเทพ!! 😭
โนเอล: …แล้วเทย์เลอร์ยังมีสีหน้าจริงจังอยู่เลยค่ะตอนเจอเลือดสาด 😂 เขาคงคิดว่ามันคือพิธีกรรมเอลฟ์สูงส่งอยู่…
ลิลี่: ก็เค้าเล่นสนุกนี่นา~ 😽💥 ผู้ถูกเลือกแต่ละคนแม่งขี้เล่นเป็นบ้าเลย! ใส่เกราะฟูลสีรุ้ง! มื้อแรกยังไม่ทันได้กินเลย อยู่ดี ๆ ก็เจอพี่เอลฟ์สองคนฟาดกันกลางลาน!! 😹🙇♀️
โนเอล: สรุปคือ ดินแดนซากัส เป็นโซนรวมสายบ้าแห่งจักรวาลค่ะ…
~~ ❀ ~~
ถ้าเจองานแปลของเค้าที่อื่น… สัญญานะว่าจะมาอ่านแปลไทยที่ https://www.nekopost.net/novel/12413 ♥
ส่วนใหญ่เค้าชอบทำเวอร์ชันแก้ไขคำผิดทีหลัง และปรับสำนวนแทบทุกตอนหลังอัพโหลด ดังนั้นต้องที่เนโกะฯเท่านั้น..!
ถ้าถูกใจโปรเจ็คนี้ ขอความอนุเคราะห์ในการซัพพอร์ทที่ผู้แต่งโดยตรง ตามลิงก์หน้าแรกนะคะ Support the project https://book.qidian.com/info/1016509432
~~ ~~ ❀ ~~ ~~
MANGA DISCUSSION