ต่อจากบทคั่นที่แล้วๆนะ
—
“เราอยากได้หมูหน่อยนะ”
ผมที่มาก่อนร้านจะเปิดและเอ่ยคำขอที่ไม่ค่อยมีมารยาทออกไป เจ้าของร้านราเมง ‘ราชันกระดูกหมู’ สัตว์เลี้ยงของผม ออร์คคิง–ไกจิน หรี่ตาลงก่อนจะพยักหน้าลงอย่างหนักแน่น
“เข้าใจแล้วครับ องค์หญิง”
จากนั้นก็หันไปสั่งลูกน้องด้วยการบุ้ยคางไปยังไฮอร์คที่ยืนดูสถานการ์ณด้านในมุมนึงของร้าน
“เฮ้ย ปิดผ้าหน้าร้านซะ แล้วก็เอาป้ายปิดร้านไปแขวนด้วย— ถึงแกจะยังเป็นมือใหม่ แต่ก็ขอฝากร้านนี่ด้วยแล้วกัน”
“…ครับหัวหน้า!”
พนักงานคนนั้นตอบรับด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“–? ทำไมแค่ขอหมูถึงเหมือนจะกลายเป็นการจากลาตลอดกาลได้ละ?”
อันที่จริง ในตอนนี้ผมก็รู้สคกได้ถึงลางไม่ดีแล้วละ
“แน่นอนครับ” และคำตอบที่เป็นราวกระดิ่งแจ้งเตือนก็ดังขึ้น “เนื้อหมู– ที่ท่านอย่กได้ก็คือชีวิตของข้า ออร์คคิงนี่แหละ”
คำตอบที่พอจะเดาได้อยู่แล้ว ทำให้ผมแทบจะเอาหน้าทุบลงเคาท์เตอร์
“ทำไมมันเป็นงั้นไปได้เล่า?! แล้วถ้าเราบอกว่าอยากได้เนื้อวัวละจะเป็นยังไง!?”
“งั้นท่านก็หมายถึงให้สังหารมิโนทอร์เจ้าของร้านข้าวหน้าเนื้อฝั่งตรงข้าม ไม่ก็ชิอิว ช่างตีเหล็กสินะครับ”
ดวงตาของไกจินไร้ความลังเลแม้แต่น้อย เหล่าพนักงานไฮออร์กเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
“งั้นก็ ถ้าเราบอกว่าอยากได้ผักละ?!”
“งั้นก็ต้องเผาต้นไม้โลกที่หลังปราสาท จะได้เปิดสงครามกับพวกมอนสเตอร์พืชเนี่ยน่าตื่นเต้นดีนะครับ”
ดวงตาของไกจินวาววับขึ้นมา ขออธิบายเพิ่มเติมหน่อยละกัน ต้นไม้โลกที่ว่านะเป็นรางวัลจากกาชาเติมเงิน แต่หลังจากผมเอาไปปลูกไว้ประมาณ 5-6 ต้น มันก็โตจนกลายเป็นป่าต้นไม้ยักษ์สุดอลังการไปแล้ว แล้วก็กลายเป็นเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกมอนสเตอร์สายพืชกับไฮเอลฟ์ไปเรียบร้อย
สงสัยจังว่าต้นใหญ่ที่สุดที่เอาไปปลูกไว้ ‘ต้นไม้ในตำนาน’ ที่มีต้นกำเนิดลึกลับจะเป็นยังไงบ้าง แต่ผมน่าจะหงุดหงิดนน่าดูถ้าเกิดมันกลายเป็นสถานที่ให้คู่รักมาสารภาพรักกัน
อีกอย่างนึง ถ้าเผาป่านั่นก็เป็นสงครามแล้วไม่ใช่หรอไง! ไอ้ประเทศนี้จะก่อสงครามกลางเมืองขึ้นเพราะผมบอกว่าอยากได้ผักงั้นเรอะ?!
…..ผมเลยถามออกไปด้วยความสิ้นหวัง
“งั้นถ้าเราอยากได้เนื้อแกะละ?!”
ไกจินกอดอก สีหน้าดูลำบากใจ
“มนุษย์หรอครับ? ที่นี่ไม่มีด้วยสิ คงจะต้องลงไปจับมาจากข้างล่าง ก็จะลำบากหน่อย”
“ทำไมเนื้อแกะถึงกลายเป็นมนุษย์ไปได้เล่า?!”
“โอ๊ะ ท่านไม่ทราบหรอครับ? ดูเหมือนว่าจะมีประเทศนึงที่เรียกมนุษย์ว่า ‘แกะสองขา’ แล้วเอามากินกันด้วย.. แต่ข้าชอบเนื้อของสัตว์ทั่วไปมากกว่าละนะ เห็นว่าเนื้อมนุษย์จะรสชาติเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม ต่างคนต่างชอบต่างกันละนะ”
แล้วแบบนี้ผมควรจะตบมุกตรงไหนดีนะ จะ ‘ไม่มีเนื้อแกะปกติมั่งหรอไง?!’ ‘อย่ามาเหมารวมทุกอย่างสิฟ่ะ!!’ หรือ ‘ทำไมพวกนายถึงรู้ในเรื่องที่ผมไม่รู้เล่า!?’ ดีนะ
“งั้น.. ถ้าเราอยากได้เนื้อไก่ละ!?”
“ข้าขอแนะนำร้านขายเนื้อที่ถนนหลักให้แก่ท่านจะได้ไหมครับ?”
“ไหงเนื้อไก่ถึงปกติได้ละ?! แล้วก็ถ้ามีร้านขายเนื้ออยู่ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกเล่า!!”
ความเครียดที่สะสมมาตั้งแต่ต้นก็ระเบิดออกจนได้ ผมลุกจากเก้าอี้แล้วกระทืบเท้าแรงๆ ทันใดนั้นสีหน้าของไกจินก็เปลี่ยนไปทันใด
“แย่แล้ว องค์หญิงคลั่งอีกแล้ว! มาช่วยข้าจับท่านไว้เร็ว!”
ในเวลาเดียวกันกับที่เขาตะโกนเรียกคนอื่นๆ เขาก็ใช้สกิล ‘อัญเชิญออร์ค’ เรียกเหล่าทหารออร์คจำนวนมากออกมาทันที
“ไม่ได้คลั่งเฟ้ย—–!!!”
“เลือด! เอาเลือดมา!!”
“ถ้าเลือดหมู มีอยู่ 5 ถังครับ!”
“พวกนั้นก็ได้ ข้าจะตรึงเธอเอาไว้ พวกแกเทราดหัวองค์หญิงไปเลย!”
“อย่าราดมานะ~~~~!! ในนั้นมันยังมีเครื่องในลอยอยู่เลย!!”
แต่สุดท้ายเสียงตะโกนของผมก็ไร้ประโยชน์ พวกเขาจับผมกดลงเอาไว้ (ในร้านแคบๆแบบนี้ ผมเอาชนะด้วยแรงอย่างเดียวไม่ไหวอยู่แล้ว) ก่อนจะถูกปล่อยออกมาในตอนที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดและเครื่องในหมู
.
.
.
.
.
หลังจากนั้น ผมก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และกลับมาอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ไกจินฟังอีกครั้ง
“…เราก็แค่อยากทำอาหารแบบปกติเฉยๆไงเล่า ไม่ได้มีเจตนาแปลกๆอะไรทั้งนั้นแหละ อา ถ้าเป็นไปได้ จะขอบคุณมากเลยถ้าให้ยืมพื้นที่ครัวนะ”
“ฮืมม..องค์หญิงจะทำอาหารหรอครับ์”
ทำไมการที่ผมพูดว่าจะทำอาหาร ถึงได้โดนทุกคนมองด้วยสายตาเหมือนกับผมบอกว่าหมาของผมสามารถกระโดดกลับหลังได้ซะงั้นละ?
ในชีวิตจริงนะ ผมทำอาหารสามมื้อกินเองเลยนะ (แม้ว่าตอนทำงานพาร์ทไทม์ จะไปกินที่โรงอาหารพนักงาน ชั้น 2 ของซูปเปอร์ก็ตาม) ในเกมเองก็ด้วย ผมเก็บเลเวลทำอาหารที่ไม่รู้จะเก็บไปทำไมจนเต็มเลยนะ
“องค์หญิงไม่จำเป็นต้องทำอาหารเองหรอกครับ ขอเพียงท่านเอ่ยปาก พวกเราก็พร้อมจะทำทุกสิ่งให้ท่าน ไม่ว่าจะมังกรย่างทั้งตัว หรือจับพิกซี่มากินสดๆ ก็สามารถเตรียมมาให้ได้ทั้งนั้น อีกอย่าง หากจะถูกองค์หญิงกินละก็ ทุกคนก็เต็มใจขึ้นเขียงกันทั้งนั้นแหละครับ?”
เจ้าพวกประชาชนในประเทศนี้นี่ เป็นกระต่ายที่โดดเข้ากองไฟในนิทานหรอไง?
“ไม่ละ เราไม่ได้ต้องการให้ใครทำให้ซักหน่อย เราอยากจะทำเองในเมื่อนี่เป็นของเยี่ยมไข้ละนะ”
“ของเยี่ยมไข้หรอครับ…?”
ไกจินเอียงศีรษะราวกับเจอโจทย์ยากๆ บางทีคงเพราะนี่คือเรื่องไกลตัวสำหรับทุกคนที่นี่แหละนะ เพราะยังไงซะก็คงไม่มีใครป่วยง่ายๆแน่ๆ
เอาละ ตอนนี้ผมจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟังก่อนแล้วกัน
◆◇◆◇
“ขอโทษจริงๆนะ เราไม่รู้จะขอโทษยังไงดี…”
กับคำขอโทษของผมที่ไม่รู้ว่าพูดไปแล้วกี่ครั้ง โจอี้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงในโรงแรมของเขา และตอบกลับคำของผมมาโดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่าครั้งที่เท่าไหร่แล้ว
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไรนะ แถมมันเป็นความผิดของมนุษย์สัตว์คนนั้นอยู่แล้วด้วย แต่ข้าที่มาคุ้มกันเธอแต่กลับปกป้องไม่ได้นั่นแหละที่ผิด”
โจอี้ยิ้มแหยๆ อันที่จริง หัวหน้ากัลด์ดุเรื่องนี้ใส่เขาไปค่อนข้างหนักเลยละ
“การปกป้องไม่ใช่การท้าทายศัตรูที่ไม่สามารถเอาชนะได้โดยไม่มีแผนอะไร พวกเราคือสารพัดรับจ้าง เพราะงั้นเราจะใช้วิธีไหนก็ได้ที่ไม่ใช่การเข้าสู้เพื่อรักษาความปลอดภัยให้ลูกค้า อาจจะใช้ประโยชน์จากพื้นที่ในการหนีก็ได้ หรือมาบอกให้พวกข้ารู้โดยเร็วก็ได้”
หลังจากนั้นก็บ่นๆอีกว่าแรงค์ D คงจะเร็วไปจริงๆนั่นแหละ ทำเอาเขาหวั่นๆใจเลยว่าจะโดนลดขั้นหรือเปล่า แต่ทว่าตัวเขาเองนั่นแหละที่หัวเราะได้สบายๆ คิดว่าอีกแล้วสินะที่งานพังกลางคัน
แต่รู้อะไรไหม แม้ว่านี่จะเป็นครั้งที่สองที่เขาเผชิญหน้ากับความตาย แต่เขาก็ยังอยากจะเป็นนักผจญภัยต่อไปอยู่ดี บางที นี่คงจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรียกเขาว่าลูกผู้ชายได้ละนะ
ยังไงก็ตาม
“เรื่องของอนิมารุนะเอาไว้ก่อนเถอะ แต่สิ่งที่เราทำกับนายหลังจากนั้นนะเป็นความผิดเราเต็มๆเลย ถ้าราชาอสูรไม่ได้ช่วยนายไว้ละก็ เราคงทำนายตายไปแล้วแน่ๆ”
ผมส่ายศีรษะไปมาแล้วก้มมองเท้าตัวเอง สายตาก็ไปตกอยู่ที่ขอบกระโปรงประดับกุหลาบที่บานออกเมื่อแตะพื้น
“เอาน่า มันก็เป็นแค่โรคชนิดนึงไม่ใช่หรอ? ไม่ใช่ความผิดเธอหรอน่า”
ผมอธิบายลักษณะพิเศษของเจ้าหญิงแวมไพร์ไปบ้างแล้ว แต่เขาก็เข้าใจไปแบบนั้น ความไร้เดียงสาแบบนี้กลับทำให้รู้สึกอึดอัด แถมยังทำให้รู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิมอีก
“…ยังไงมันก็ยังเป็นความผิดของเราที่ไม่จัดการตัวเองให้ดีในเมื่อมีโอกาสที่จะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น เราไม่สบายใจอยู่ดี –อย่างน้อยก็ชกเราซักหมัดเถอะ!”
พอผมเงยหน้าลั่นคำพูดออกไปแบบนั้น โจอี้ก็อ้าปากค้างแล้วส่ายหน้าไปมาอย่างลนลาน
“ไม่ไหวไม่ไหว! ไม่มีทางที่ข้าจะทำอย่างนั้นแน่ จะให้ชกผู้หญิงนะ—”
“ก็ไม่ต้องคิดว่าเราเป็นผู้หญิงสิ คืดซะว่าเป็นเพื่อนชายคนนึง หรือศัตรูที่เกลียดก็ได้ -อย่างเช่นอนิมารุ– แล้วก็ใส่แรงให้เต็มที่เลย”
“ตรรกะอะไรละนั่นนะ!? ยังไงก็ไม่ได้แหง!”
ฮึ่ม… แน่นอนว่าในตอนนี้ที่ผมดูเป็นผู้หญิงจ๋าขนาดนี้ ถึงจะพูดแบบนั้นก็คงจะยากอยู่ดี
“…ยุ่งยากจังเลยน้า”
“คนที่ลำบากคือทางนี้ต่างหากละ..”
เหมือนผมจะได้ยินโจอี้พูดอะไรซักอย่าง แต่ผมกำลังจมอยู่กับความคิดก็เลยไม่ได้ฟัง
สายตาของผมมองไปรอบๆห้องที่โจอี้พัก มันไม่เหมือนห้องพักราคาถูกๆในย่านชานเมืองที่เขาอยู่ในตอนที่เป็นแรงค์ F ที่นี่เป็นสถานที่ระดับกลางๆ ขนาดห้องก็ใหญ่ขึ้นมา มีกระทั่งโต๊ะและเก้าอี้ (ที่ผมกำลังนั่งอยู่) และมีตู้เสื้อผ้าติดผนังอยู่ด้วย
เตียงก็ค่อนข้างดี ข้างเตียงมีโต๊ะเล็กๆวางข้างหมอน บนนั้นมีแจกันใส่ดอกกุหลาบซึ่งเป็นของเยี่ยมไข้ของผมปักอยู่ (เจ้าของโรงเตี้ยมให้ยืมแจกันมา แถมยังจัดดอกไม้มาให้ด้วยละ)
แล้วจู่ๆ ผมก็ดันไปเห็นจานอาหารที่กินเหลืออยู่ข้างๆกัน
“ไม่อยากกินข้าวหรอ? ยังเหลืออยู๋อีกตั้งครึ่งนึงเลย”
“อ้อ” โจอี้ที่เห็นว่าผมมองอะไร ยิ้มขำ “พวกเขาเอาแต่ริซอตโต้มาให้กินเพราะข้าป่วยอยู่นะ เบื่อจะแย่แล้ว… ข้าแค่มึนๆหัวนิดหน่อยเอง ไม่ได้ป่วยหนักอะไร”
“ที่มึนหัวก็น่าจะเพราะขาดเลือดนะ แม้ร่างกายจะฟื้นฟู แต่เลือดที่เสียไปมันไม่ได้กลับมาด้วยนะสิ”
ยังไงก็เถอะ ถ้าเป็นเด็กกำลังโตได้กินแค่นี้ทุกวันก็คงเบื่อเป็นธรรมดา
หืม ถ้าขาดเลือดละก็ –ควรจะได้กินอาหารที่ช่วยเพิ่มเลือกได้ ส่วนประกอบของเลือดก็คือโปรตีน ดังนั้นก็คงจะต้องเป็นเนื้อสัตว์
อย่างอื่นก็พวกผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีส แล้วผักก็ช่วยทำให้หลอดเลือดแข็งแรง ส่วนที่ให้พลังงานได้เร็วๆก็พวกธัญพืช น้ำมัน น้ำตาล เพราะงั้น นั่นก็น่าจะดีนะ กินง่ายด้วย
“–งั้น แทนคำขอโทษ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเตรียมมื้ออาหารง่ายๆมาให้”
โจอี้ทำสีหน้าประหลาดๆเมื่อได้ยินแบบนั้น
“ทำอาหาร..เธออะนะ?”
“..หยาบคายจริงๆ ถ้ากินเข้าไปจะตกใจจนเข่าอ่อนไม่รู้ตัวนะ”
◆◇◆◇
“อา เข้าใจแล้วละครับ..”
ไกจินพยักหน้ารับรู้ด้วยสีหน้าที่เข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
“แล้วองค์หญิงตั้งใจจะทำอะไรหรอครับ?”
“เนื้อ ชีส ผัก ขนมปัง ไขมัน รวมกันแล้วมันต้องเป็นชีสเบอร์เกอร์สิ!”
“แฮมเบอร์เกอร์เหรอครับ? ถ้าอย่างนั้นที่ถนนหลักก็มีร้านแข่งกันเปิดเต็มไปหมดเลย ร้าน‘เบอร์เกอร์ขึ้นสวรรค์’ ร้าน‘Burger in Monster’ หรือร้าน‘เบอร์เกอร์แมงกุ๊ดจี่’นะครับ”
แต่ละร้านมีแต่ชื่อที่ไม่น่าไว้ใจทั้งนั้นเลยนะ
“..ก็นะ ของแบบนี้มันต้องทำด้วยตัวเองสิ ไม่ใช่ไปซื้อจากร้าน”
ถ้าจะไปเยี่ยมไข้แล้วเผลอไปปิดฉากชีวิตใครเขาด้วยของซื้อพวกนี้ผมคงไม่กล้ามองหน้าใครอีกเลยละ
◆◇◆◇
ในวันถัดมา โจอี้ที่ได้กินชีสเบอร์เกอร์ของฮิยูกิก็ตะลึงไปกับรสชาติของมัน
“อร่อย! นี่มันอะไรนะ!?”
ได้เห็นเขากินอย่างเอร็ดอร่อยจนแทบจะล้มไปตามที่ลั่นวาจาไว้ ฮิยูกิก็เชิดหน้าแอ่นอกด้วยความภูมิใจ
“เป็นไงละ? ของดีละสิ?”
“ไอ้นี่มันอร่อยสุดๆ! ถ้าได้กินแบบนี้ทุกวันก็ดีนะสิ”
เขาจ้องมองเธอด้วยสายตาแฝงความนัย แต่ฮิยูกิก็ไม่ได้สังเกตุเห็นเลยซักนิด เธอขมวดคิ้วนิดหน่อยแล้วเอียงศีรษะ
“กินทุกวันแบบนั้นแคลลอรี่คงจะเยอะไปหน่อยนะ? แต่ถ้าเป็นครั้งคราวคงไม่เป็นไร ไว้เราจะไปบอกสูตรเจ้าของโรงเตี้ยมให้ทีหลัง”
และด้วยคำตอบนั้น หัวใจของเด็กหนุ่มก็ถูกเธอปิดฉากไปอย่างเงียบๆ
ตอบแบบนั้นแล้ว
ก็เป็นการปิดเกมในใจของเด็กหนุ่มไปเรียบร้อย
—-
หลังจากนี้ แฮมเบอร์เกอร์ในที่พักนี้ก็กลายเป็นเรื่องพูดถึงกันมาก
จนแพร่หลายไปทั่วทั้งทวีปเลยทีเดียว
แม้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น แต่ระหว่างทางก็มีการค้นพบใหม่ๆเกิดขึ้นและสร้างสรรค์อาหารจานใหม่ขึ้นมาแทน
ถึงผู้แต่งจะบอกว่าต่อจากบทคั่นครั้งที่แล้วก็เถอะ แต่บทไหนละนั่น ฮาาาา
เหมือนว่าจะต้องย้อนไปบทที่ 1 เลยนะ มันต่อกันตรงไหนนนน
แต่สาวน้อย(?)ของเราทำอาหารเก่งละ ทำเอาพ่อหนุ่มยกให้ทั้งใจแล้วก็โดนทุบทิ้งเป็นฝุ่นผงเรียบร้อย ฮาาาาาา
ปล. รูป คิดว่าใช่ละมั้งคะ
{ไทยพาณิชย์ นางสาว ทยาธร อนันต์มานะ 162-246448-2}
สนับสนุนเป็นกำลังใจหรือจะเป็นค่าชานมไข่มุกให้คนแปลก็ได้ทั้งนั้นคะ (แต่ส่วนใหญ่น่าจะไปลงชานมหมด)
ขอบคุณสำหรับการอ่านจนถึงตรงนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่คะ
MANGA DISCUSSION