ข้อความจากผู้แต่ง : บทเมืองหลวงจบลงแล้วละ
—-
เสียงฝีเท้าอันคุ้นเคยหยุดลงที่หน้าห้อง เพียงชั่วครู่เท่านั้นก่อนที่ประตูจะเปิดออก
คนคนนี้ – แม้จะมองเห็นได้ไม่ชัดนักเพราะแสงที่ส่องเข้ามาจางข้างหลัง แต่เพียงแค่แว๊บเดียวเท่านั้น คาร์โลก็บอกได้ทันทีว่าคนคนนี้ คือคนที่เขากำลังรอคอยอยู่ เขาที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ยิ้มออกมาบางๆ
“– ยินดีต้อนรับกลับมาครับ ฝ่าบาท ข้านึกว่าท่านจะมาไม่ทันซะแล้ว”
“โทษที มีเจ้าโง่เข้ามาโจมตีเยอะไปหน่อยนะ”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่แสนคุ้นเคยและชวนคิดถึงนี้ ความรู้สึกมากมายก็ท่วมท้นคาร์โลจนเขาไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้
“ถึงงั้นก็เถอะ นายดูไม่แปลกใจเลยนะ ทั้งๆทีคนอื่นมองข้าราวกับเป็นภูตผี –อืม จริงๆก็ไม่ผิดหรอก”
ได้ยินดังนั้น รอยยิ้มของคาร์โลก็กว้างขึ้น
“..สถานการณ์ภายนอกเป็นยังไงบ้างครับ?”
“หือ? อา ตอนนี้พวกเขาหยุดจราจลแล้ว แต่กำลังอยู่ในระหว่างการประหารชีวิตราชวงศ์ ขุนนาง แล้วก็พวกตำแหน่งสูงๆ แล้วก็มีพวกงี่เง่าบางคนอยากจะวางเพลิงที่นี่ด้วย เพราะงั้นข้าก็คิดว่าพระราชวังคงไม่เหลือแล้วละ”
แม้ว่าเขาจะพูดราวกับว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่คาร์โลที่สังเกตได้ถึงความเหงาเล็กๆในน้ำเสียงนั่น ก็มองเขาด้วยสายตาที่อ่อนลง
“งั้นหรอ ดีแล้วละ.. หรือเปล่านะ น่าเสียดายจัง”
“หือ? เรื่องอะไรละ?”
“..ก็เรื่องที่ สถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำของเราจะหายไปนะสิ–”
ในชั่วขณะนั้น ความทรงจำในวัยเด็กของพวกเขาทั้งคู่ก็หวนกลับมา
ช่างเปล่งประกาย
ช่างล้ำค่า
ช่างเป็น– วันเวลาที่ไม่อาจหวนมาได้อีก
“นั่นสินะ พวกเรามักจะเดินไปทั่วอุโมงค์ใต้ดินรวมถึงทางลับของราชวัง แล้วติ๊ต่างให้เป็นการออกสำรวจด้วยกันนี่นา”
“อย่าพูดว่า ‘ด้วยกัน’ เลยครับ ข้าแค่ติดตามท่านไป แต่พอมาคิดดูดีๆ ถ้าหากเราถูกจับได้ ท่านคงไม่เป็นไร แต่ก็มีโอกาสที่ข้าจะโดนฆ่าปิดปากอยู่ด้วยนะครับ”
คาร์โลพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ และผู้ที่โดนตำหนิก็ได้แต่เกาแก้มด้วยความรู้สึกผิด
แต่พอได้เห็นนิสัยติดตัวที่แก้ไม่หายนั่น สีหน้าของคาร์โลก็คลายลง
“โทษทีๆ แต่ เพราะงั้นแหละ ข้าก็เลยสามารถเข้ามาในราชวังได้ง่ายๆ แถมระหว่างทางยังเจอพ่อกับพรรคพวกด้วย ถ้ามองในแง่ผลลัพธ์แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแย่นี่นา?”
“นั่นมันเป็นแค่เรื่องบังเอิญต่างหากเล่า รู้ไหมว่าข้าต้องลำบากแค่ไหนเพราะพฤติกรรมเอาแต่ใจของท่านในทุกๆครั้งนะ? –แล้วพระชาถูกสังหารแล้วหรอครับ?”
“ยังหรอก ถึงแม้ข้าจะสังหารพี่ชายไปเพราะเจ้านั่นพยายามหนีก็ตาม แต่เพราะที่พ่อร้องไห้อ้อนวอนขอชีวิตอย่างน่าสมเพช เจ้าหญิงอึ้งไปเลยละ ก็เลยตัดสินใจโยนให้ไปเข้าแถวกับพวกที่จะโดนประหารอยู่แล้วนะ.. แต่พอข้ามาคิดว่านั้นคือสัญลักษณ์ของประเทศที่จะต้องก้าวข้ามให้ได้แล้ว ทำเอาการเคลื่อนไหวการเมืองที่ข้าทำตลอดมาดูงี่เง่าไปเลย”
“ทั้งที่ตอนข้ายังเด็ก นั่นดูราวกับเป็นสิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้แท้ๆ” เขาพึมพำ
“ในที่สุดท่านก็คิดได้แล้วสินะ? ให้ตายสิ กว่าจะรู้ตัวก็ลงมือทำไปแล้วตลอดเลยสิเนี่ย..”
ร่างนั้น ขยี้ห้วด้วยความขัดใจกับคำพูดนั้น
“–เจ้า ข้าได้ยินมาว่าเจ้าต้องการชดใช้บาปแล้วจะให้องค์หญิงลงโทษให้ไม่ใช่หรอไง แล้วตอนนี้ดันมาเหน็บข้าต่อหน้าท่านเนี่ยนะ?”
“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าตั้งใจจะทำก็จริง แต่พออยู่ต่อหน้าท่านมันก็ห้ามไม่ได้นี่นา เอาเถอะ ถือซะว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วกัน ช่วยฟังผ่านๆไปก็พอ”
“….”
ดูเหมือนว่าร่างที่ยืนอยู่ตรงประตูจะเข้าใจความหมายของถ้อยคำนั้นดี เขาจึงเงียบไป
“–จริงสิ ที่ข้าไม่แปลกใจ และที่ข้าบอกว่าดีแล้วนะ..”
คาร์โลกลืนคำพูดที่ผุดขึ้นมาลงไป ก่อนจะหยิบกระดาษโน๊ตแผ่นนึงออกมาจากกระเป๋า
“หือ?”
“….อันที่จริง ข้าเองก็ใช้เส้นทางลับของราชวงศ์เหมือนกัน เพราะงั้นจะว่าท่านไม่ได้หรอก และ– แม้ว่ามันอาจจะเป็นการล่วงเกินอย่างยิ่งยวด แต่ความเสี่ยงที่จะมีพวกก่อการจราจลบุกเข้าไปถึงสุสานหลวงและขโมยทรัพย์สินที่ฝังร่วมกันไว้มันสูงมาก ข้าก็เลยนำร่างของท่านแองเจลิก้ามาไว้ที่นี่ล่วงหน้าแล้ว ข้าขอฝากให้ท่านเป็นผู้ฝังพระศพใหม่ด้วยมือตนเองภายหลังแล้วกัน…–หรือบางทีด้วยพลังขององค์หญิงฮิยูกิ ท่านแองเจลิก้าจะฟื้นคืนกลับมาได้?”
คำถามนั้นแฝงไปด้วยความหวังอันริบหรี่ว่าอาจจะได้พบหน้ากันอีกครั้ง แต่ร่างนั้นกลับส่ายศรีษะเบาๆ
“ไม่ได้หรอก.. เวลาผ่านไปนานเกินไป แม้แต่พลังขององค์หญิงก็คงไม่อาจฟื้นคืนชีวิตให้ได้ และที่สำคัญ องค์หญิงไม่มีเจตนาจะทำเช่นนั้น”
ขณะที่เขาตอบกลับไปอย่างนั้น บทสนทนาที่คุยกับฮิยูกิก็ผุดขึ้นมา
[นั่นมันคือการลบหลู่ผู้ตายนะ หากเป็นความตายที่น่าเศร้า หรืออุบัติเหตุไม่คาดฝัน เราอาจจะคิดทบทวนอยู่บ้างก็เถอะ แต่การที่จะลากเอาคนฆ่าตัวตายกลับมามีชีวิตอีกครั้งนะ มันโหดร้ายเกินไป ไม่ต่างจากการดึงเขาลงนรกอีกครั้งเลยนะ นั่นนะน่าสงสารจะตายไป เพราะงั้น…เราอยากให้เธอได้ไปเกิดใหม่ตามธรรมชาติ —อย่างน้อยเรื่องการเกิดใหม่ เราก็ยังพอจะเชื่ออยู่บ้าง]
“–อย่างนั้นเองหรอ.. ข้าอยากกล่าวขอโทษกับท่านแองเจลิก้าซักคำ แต่ดูท่าทางคงจะต้องไปขอโทษทีอีกฝั่งนึงแล้วสินะ..”
“…”
“กลับเข้าเรื่องก็แล้วกัน ตอนที่ข้าย้ายร่างของท่านแองเจลิก้า ข้าก็ตรวจสอบโลงของท่านด้วย แต่กลับไม่มีอะไรอยู่ข้างใน อีกทั้งฝ่าบาทฮิยูกิเองก็เคยพูดเป็นนัยๆมาแล้วบ้าง… แต่มันก็เป็นความหวังลมๆแล้งๆของข้าฝั่งอย่างเดียวละนะ”
“……แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นแบบนี้สินะ เจ้านี่ก็โง่ใช่ย่อยเลยนะ”
เงาร่างนั้นเอ่ยพลางก้าวเท้าเข้ามาในห้องหนึ่งก้าว
ทันใดนั้น กลิ่นคาวเลือดที่อบอวลทั่วทั้งห้องก็เหมือนจะพุ่งเข้ามาเกาะติดทั่วร่างของเขาอย่างแน่นหนา
“ก็คงเพราะเจ้านายโง่ ข้าถึงเผลอซึมซับความโง่นั่นมาโดยไม่รู้ตัวล่ะมั้ง”
แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า แต่สีหน้าของคาร์โลนั้นกลับเต็มไปด้วยเงาแห่งความตาย มาโรโดะที่ถอดหน้ากากออก หรือคือ–อาชีล โกลด รับกระดาษโน็ตนั่นไว้ขณะที่มองร่างของที่ฝ่ายที่เต็มไปด้วยบาดแผลนับไม่ถ้วน จนไม่อาจแม้แต่จะลุกขึ้นยืนได้ และถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
“ทั้งๆที่ฝีมือดาบของเจ้าอยู่ในระดับทั่วไปแท้ๆ ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองขนาดนี้ก็ได้”
เขายังจำภาพของศพของเหล่ากฏบที่เกลื่อนกลาดอยู่ด้านนอกห้องได้
บางที ตรงนี้ – ห้องส่วนตัวของเขาเอง – คงเป็นผลลัพธ์ที่มาจากการที่คาร์โลเสี่ยงชีวิตเข้าปกป้องจากผู้คนที่พยายามจะบุกเข้ามาปล้นสินะ
“ไม่ได้หรอก เพราะข้าเป็นข้ารับใช้ของเจ้าชาย อาชีล โกลด ไงละ”
“ข้ารับใช้เองหรอ?”
“…ไม่สิ ฝ่าบาทฮิยูกิเองก็เคยตรัสไว้แบบเดียวกัน–ว่าเป็น ‘เพื่อนเวร’ นะครับ”
เขายิ้มออกมาอย่างยินดี
“ถูกเผงเลย!”
อาชีล โกลด ยิ้มกว้าง ก่อนจะชักดาบยาว [ออร์คสโตรค] ที่ห้อยอยู่ที่เอวออกมา
“– ใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้วสินะ ต้องให้ข้าช่วยไหม?”
“ขอความกรุณาด้วยครับ”
เบื้องหน้าคาร์โลที่ก้มหัวลงด้วยสีหน้าสงบ อาชีล โกลด เงื้อดาบขึ้นด้วยสีหน้าที่แผงความเหงาเอาไว้
“มีอะไรจะสั่งเสียไหม?”
“……ขออภัยอย่างสุดซึ้งครับ ฝ่าบาท!!”
อาชีล โกลด เพียงยิ้มตอบรับเสียงตะโกนสุดแรงนั้น
“–ไม่ต้องคิดมากน่า ก็เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอไง”
“อา…ขอบใจนะ”
ในชั่วพริบตานั้นเอง
เส้นแสงก็วาบขึ้นมากลางความมืด
◆◇◆◇
“อะ เอาไป”
หัวหน้ากิลด์คอนราด จ้องมองกล่องใบเล็กที่เธอยื่นให้ด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข…ราวกับกำลังมองระเบิดร้ายแรงอะไรสักอย่าง
“……นี่มัน อะไรครับ?”
“ตราพระราชลัญจกรน่ะสิ อดีตกษัตริย์เพิ่งจะให้มาเมื่อกี้นี้เอง แต่เราไม่อยากได้ ก็เลยจะยกให้นายไง”
ทันใดนั้น หัวหน้ากิลด์คอนราดก็เบิกตาโพลง เขาถอยหลังพรืดพร้อมกับโบกมือรัวด้วยความตื่นตระหนก
“ม-ไม่เอาครับ! ของแบบนั้น ถ้ารับมาแล้วมันจะถอยกลับไม่ได้แล้วนี่ครับ!”
…ก็นะ ไม่คิดว่าจะถอยกลับได้อยู่แล้วละ
“――เจ้าคิดจะปฏิเสธของที่องค์หญิงมอบให้อย่างนั้นหรอ…?”
อุสึโฮะที่ยืนดูอยู่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเงียบสงบจนผิดปกติ
แต่ถ้าดูให้ดี จะเห็นว่าแววตาของเธอเปลี่ยนเป็นของสัตว์ป่า และตรงมุมปากที่พัดบังไว้นั้น มีเขี้ยวแหลมๆ โผล่ให้เห็นอยู่ด้วย
พร้อมกันนั้น เหล่าสมาชิกโต๊ะกลม และบรรดาทหารแห่งกองทัพอสูรที่ล้อมรอบอยู่ ก็ต่างจ้องมองหัวหน้ากิลด์คอนราดด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
ผมยักไหล่ใส่หัวหน้ากิลด์ที่กำลังเหงื่อไหลท่วมตัว
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ถ้านายไม่อยากได้ เราก็แค่ทิ้งไปซะก็พอ เพียงแต่ มันเป็นของที่ถ้ามีไว้ ก็จะทำให้ดูเหมือนว่าอาณาจักรนี้เป็นรัฐที่สืบทอดมาอย่างเป็นทางการของชาติเดิม เอาไว้สร้างภาพลักษณ์ให้กับประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้นแหละ
แต่ถ้าไม่มีละก็ อาณาจักรนี้ก็จะกลายเป็นอาณานิคมโดยตรงของอิมพีเรียลคริมสัน ซึ่งก็น่าจะทำให้เกิดเรื่องขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านบ้างละมั้ง”
และในตอนนั้นเอง โซเฟีย เจ้าหญิงออร์คที่ฟังอยู่เงียบๆก็ยกมือขึ้น
“ข้าขอถามหน่อย ถ้าอาณาจักรนี้กลายเป็นขององค์หญิงแล้วละก็.. พวกข้าจะกินมนุษย์ตามใจชอบได้เลยหรือเปล่า?”
“แน่นอนอยู่แล้วล่ะ กินได้ไม่อั้น ฆ่าได้ตามใจ เล่นได้เต็มที่เลยนะ”
อุสึโฮะตอบด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ที่ดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“งั้น งั้นข้าขอกินรังมนุษย์ที่ชื่ออาระ ที่ตอนนั้นอดกินได้หรือเปล่า?”
“จะเป็นอาระหรือประเทศอื่น ๆ ก็ตามใจเจ้าเลยเถอะ มนุษย์น่ะ มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ แถมยังเพิ่มจำนวนเองอีกต่างหาก”
ทันใดนั้น เสียงโห่ร้อง “โอ้ววววววววววววว!!!” อย่างฮึกเหิมก็ดังขึ้น
จากเหล่ากองทัพปีศาจที่พากันตื่นเต้นสุดขีด
…ดูเหมือนว่าการรุกรานประเทศอื่นจะกลายเป็นเรื่องที่กำหนดไว้แล้วล่ะนะ
“……เห็นไหม นี่เป็นภัยระดับโลกเพราะนายเลยนะ”
“คะ-ความผิดข้าหรอกหรอ?!”
หัวหน้ากิลด์คอนราดโวยวายออกมาด้วยท่าทางงี่เง่าทันทีที่ถูกโยนความรับผิดชอบทั้งหมดใส่ตัว แต่ผมไม่รู้สึกสงสารเลยแม้แต่น้อย ถ้าเขาแค่ตอบว่า “ใช่” ไปก็จบแล้วแท้ ๆ
ความรับผิดชอบในการจัดการเจ้ามอนสเตร์พวกนี้นะเหรอ?
ไม่รู้เรื่องด้วยหรอก
“ก็นะ ก็อย่างที่บอกไปนั่นละ ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากจะเจรจากันด้วยสันตินะ”
คอนราดยืนนิ่งพร้อมกับไหล่ที่ตกลงไปอย่างหมดแรง ผมก็ยื่นกล่องเล็กที่ใส่ตราพระราชลัญจกรอีกครั้งให้เขา
“คำว่า ‘สันติ’ ที่พวกฝ่าบาทพูดถึงนะ หมายถึงการกดดันฝ่ายตรงข้ามด้วยความกลัวและความรุนแรงสินะครับ? ข้าว่าหยุดยั้งความขัดแย้งระหว่างโจรสลัดหรือความขัดแย้งชนชาติยังดูสันติกว่าซะอีก”
“ตรงนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองละนะ แต่ก็มีคำพูดว่า ‘ไม่มีสิ่งทำให้ชีวิตง่ายขึ้นได้เท่ากับความรุนแรงแล้ว’และมันก็เป็นวิธีที่รวดเร็วจริงๆนี่นา”
ดูเหมือนหัวหน้ากิลด์คอนราด จะไม่ได้สนใจฟังคำพูดของผมเลยซักนิด เพราะเขาแค่ถอนหายใจยาว ๆ แล้วรับกล่องเล็กที่ผมยื่นให้ไปเท่านั้น
◆◇◆◇
สงครามระหว่างอิมพีเรียลคริมสัน และอาณาจักรอมิเทีย จบลงภายในเวลาแค่ครึ่งวัน
ในวันเดียวกันนั้นเอง การก่อกบฏเกิดขึ้นในเมืองหลวง คาร์เดีย โดยราชวงศ์และขุนนางสำคัญหลายคนถูกประหารชีวิต จนอาณาจักรอมิเทียล่มสลายลงอย่างแท้จริง แต่ภายใต้การสนับสนุนจากอิมพีเรียลคริมสัน เมืองอาระที่เคยเป็นเมืองเสรี และกิลด์นักผจญภัยรวมถึงกิลด์การค้าภายในประเทศที่ตอบรับอย่างรวดเร็ว ก็ได้เร่งปราบปรามการกบฏ
ภายในสามวันประเทศก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
ไม่นานหลังจากนั้น คอนราด โจคัล ออร์นาโด หัวหน้ากิลด์เมืองอาระที่เคยเป็นเมืองเสรี ได้รับแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ชั่วคราว และอาณาจักรก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น สาธารณรัฐอมิเทีย ซึ่งเป็นการเตรียมการที่จะยกเลิกระบบกษัตริย์และเปลี่ยนเป็นระบบสาธารณรัฐในอนาคต (ทั้งนี้เอง คอนราดกษัตริย์ชั่วคราวได้อธิบายแก่คนใกล้ชิดว่าเป็นการ “ล้างแค้นต่อเจ้าผู้ปกครองอิมพีเรียลคริมสัน”)
ในเดือนเดียวกัน สาธารณรัฐอมิเทีย ได้ทำสัญญาสันติภาพกับอิมพีเรียลคริมสัน แต่จากเนื้อหาของสัญญาหลายคนมองว่าเป็นการปกครองโดยอ้อมของอิมพีเรียลคริมสันเสียมากกว่า ซึ่งเปรียบเสมือนการกลายเป็นอาณานิคมไปแล้วโดยปริยาย
แต่ความปั่นป่วนต่างๆ ก็ยุติลงภายในเวลาแค่เดือนเดียว และเนื่องจากอาณาจักรนี้ยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะอู่ข้าวอู่น้ำของเขตตะวันตกของทวีป ความขัดแย้งกับประเทศอื่นๆจึงถูกควบคุมไว้ได้ ดังนั้นการประเมินกษัตริย์คอนราดจึงสูงขึ้น และในที่สุดความสงบก็กลับมาอีกครั้ง
ทว่า ปีนี้ ก็ถูกจดจำว่าเป็นปีที่ชื่อของ “อิมพีเรียลคริมสัน” ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของทวีปเป็นครั้งแรก
◆◇◆◇
ณ เมืองศักดิ์สิทธิ์ฟาซิมิเล อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์อีออน
ที่ใจกลางของเมือง ที่นับทั้งตัวเมืองเป็นวิหารนั้น มี “หอคอยเทพสีคราม” –หอคอยใหญ่ยักษ์ที่ถูกสร้างด้วยวัสดุไม่ทราบที่มา ตั้งสูงตระหง่านราวกับจะสามารถเสียบทะลุท้องฟ้าได้
ที่ชั้นบนสุดของหอคอยนั้น มีเพียงผู้ที่ได้รับอนุญาตจากนักบวชชั้นสูงสุด หรือพระสันตะปาปาเท่านั้นจึงจะขึ้นมาได้
ตรงที่หน้าต่างที่เปิดออกกว้าง นกตัวใหญ่เท่าอีกา มาพร้อมด้วยขนหลากสีสัน เกาะอยู่ที่ริมขอบหน้าต่างพร้อมเสียงร้องว่า “โง่ โง่”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น ชายคนหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมา –ซึ่งหากมีผู้ศรัทธาในศาสนาอยู่ในพื้นที่นั้นคงจะต้องตกใจ เพราะผมสีฟ้าและผิวเกล็ดสีบรอนซ์ของเขา –เขาลุกจากเก้าอี้หรูหราและเดินไปหานกตัวนั้น
“กลับมาแล้วเหรอ มาดูกันสิว่ามีอะไรมาให้ชมบ้าง”
เขาพูดพลางจับเจ้านกหักคอด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะกลืนมันลงไปในปากทั้งตัว
เขาหลับตาลงและยืนอยู่อย่างนั้นซักพัก ไม่นานนั้นเสียงหัวเราะที่พยายามกลั้นไว้ก็เริ่มดังออกมา
“…คึ คึคึคึคึคึคึคึ ตอนที่ได้ยินว่า ‘อิมพีเรียลคริมสัน’ก็ไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลย… แต่ก็นี่มันตัวจริงเลยสินะ… ฮิยูกิจัง เราจะได้เจอกันที่นี่หรอเนี่ย…”
แล้วสายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความหื่นกระหาย มองจ้องไปข้างบนอย่างไร้จุดหมาย
“ข้ารอคอยจริง ๆ เลยนะ วันที่จะได้เด็ดดอกไม้นั่น… ตอนนั้นข้าจะชื่นชมมันอย่างพิถีพิถันเลยล่ะ… คุคุคุคุ…”
เสียงหัวเราะของชายคนนั้นสะท้อนก้องไปทั่วชั้นสูงสุดที่ไร้ผู้คน
——
มีคนอยากให้แองเจลิก้าฟื้นเยอะมากเลย แต่ว่าวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคนใดคนหนึ่งในพี่น้องจะต้องเป็นผู้เสียสละ ก็เลยจำเป็นจำต้องกลั้นใจทำตามนี้ … ขอโทษจริง ๆ สำหรับผู้ที่คาดหวัง (´・ω・`)
kloy1002 : ……คะ-คือว่า กลับมาแล้วคะ…
อื้อมม หายไปนานเลยสินะคะ…. มะ-ไม่มีอะไรหรอกคะ ไม่ได้เกิดเหตุใดใดหรือเป็นอันตรายทั้งนั้นแหละคะ.. อื้มๆ
บะ-แบบว่า.. ติดธุระนะคะ! ใช่ เป็นธุระสำคัญก็เลยต้องปลีกตัวไปนะคะ!
เอ๊ะ? ทำไมถึงหายไปในช่วงที่ RO มือถือเปิดตัวพอดี เอ๊ะ เอ่อ คะ-คือ มะมะมะมะมะไม่ได้เกี่ยวข้องกันคะ!
จริงๆนะ! จริงๆคะ! ถึงแม้จะลงดันกันทุกวันแต่ไม่เกี่ยวหรอกคะ!
ถึงแม้จะเผลอกดแพ็กรายเดือนไปสองรอบแล้วแต่ก็ไม่เกี่ยวจริงๆนะคะ!
ถึงแม้จะกินแต่มาม่ามาครึ่งเดือนแล้วก็ไม่เกี่ยวจริงๆๆๆคะ!
อะ- เอาเป็นว่าตอนหน้าเจอกันนะคะ ไปละ!
{ไทยพาณิชย์ นางสาว ทยาธร อนันต์มานะ 162-246448-2}
สนับสนุนเป็นกำลังใจหรือจะเป็นค่าชานมไข่มุกให้คนแปลก็ได้ทั้งนั้นคะ (แต่ส่วนใหญ่น่าจะไปลงชานมหมด)
ขอบคุณสำหรับการอ่านจนถึงตรงนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่คะ
MANGA DISCUSSION