ในตอนที่สงครามเริ่มต้น มอนสเตอร์ของศัตรูปลดปล่อยการโจมตีที่มีพลังรุนแรงและเวทมนต์ขนาดใหญ่จนไม่น่าเชื่อ ทำลายกองกำลังพันธมิตรขุนนางไปแทบไม่เหลือ ทำให้พวกเขาแทบจะหมดใจสู้ แต่ทว่า หลังจากนั้นกลับไม่มีมาอีก พวกเขาจึงสรุปว่าการโจมตีที่คล้ายกับปืนช๊อตกัน หรือพลุ นั่นไม่สามารถโจมตีต่อเนื่องได้เป็นแน่ – ก็นะ ถ้าคุราชิ(ปืนช๊อตกัน) หรืออิคารุ(พลุ) มาได้ยินเข้า เจ้าพวกนั้นคงจะยิงถล่มรัวๆให้ตามคำเรียกร้องแน่ๆ แต่ตอนนี้กลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องต่างยุ่งวุ่นวายอยู่กับการดื่มและเฝ้าดูสนามรบ โห่ร้องเสียงดัง ขุ่นเคือง หรือออกความเห็นด้วยสีหน้าโอ้อวด
ราวกับเป็นการพิสูจน์ว่าพวกเขาคิดไม่ผิด เหล่ากองทัพมอนสเตอร์ที่เฝ้ารอบริเวณที่ราบสูงอาควิลามานานหลายวันก็โห่ร้อง และเคลื่อนพลออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
เพราะสิ่งนั้น เหล่าผู้บัญชาการของกองกำลังขุนนางจึงสรุปกันว่าศัตรูได้ใช้อาวุธลับจนหมดไปแล้ว จึงเลือกที่จะต่อสู้ระยะประชิดด้วยกองกำลังดั้งเดิมของตน พวกเขาเห็นความหวังและหนทางสู่ชัยชนะขึ้นมาในทันที
กองกำลังที่เหลืออยู่ของอาณาจักรอมิเทียนั้นเหลืออยู่ราวๆ 28,000 ในขณะที่ศัตรูนั้นมีจำนวน 10,000
มอนสเตอร์ของโลกนี้ มีทฤษฎีว่ามนุษย์สามคนต่อมอนสเตอร์ 1 ตัวอยู่ ก็พอจะบอกได้คร่าวๆว่าตอนนี้มีกำลังพลเท่ากัน แต่เพราะไม่ใช่การต่อสู้ตัวต่อตัว การต่อสู้แบบกลุ่มนั้น ความแตกต่างของจำนวนจะเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ
『เราเอาชนะได้!!』
เชื่อมั่นไปแบบนั้น ขุนนางแต่ละคนจึงคิดกลยุทธ์เพื่อรักษากองกำลังของตนเองเอาไว้ พวกเขาแบ่งทหารอาสาที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของตนออกเป็นหลายหน่วย และส่งไปยังแนวหน้า
แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนมาก แต่ก็เป็นได้แค่มือสมัครเล่นเท่านั้น –และที่สำคัญ ขุนนางแค่ละคนมองว่าคนเหล่านี้ที่รวมตัวกันเพื่อสนับสนุนเจ้าชายสามผู้ทรยศ มีศักยภาพที่จะกลายเป็นกบฏได้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะพยายามใช้งานคนเหล่านี้ให้ล่มจมไปด้วยกัน – แม้ว่าทหารเหล่านั้นจะยืนหยัดสู้อย่างสิ้นหวัง แต่ด้วยอาวุธหยาบๆและเกราะเก่าๆ ทำให้พวกเขาถูกโทรลฟาดจนปลิว และโดนเหล่าก๊อบลินไรเดอร์พุ่งโจมตีจนกระเดน
ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด ภาพแห่งเสียงกรีดร้องและตะโกนอันน่าสยดสยองเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง
และการตอบสนองต่อแนวหน้าที่กำลังสบสนวุ่นวาย กองทัพพันธมิตรของขุนนางที่เฝ้ารออย่างอดทนก็ปลดปล่อยห่าฝนธนูลงไปตรงนั้น และยังมีนักเวทย์มนต์ที่ยิงลูกศรน้ำแข็งจำนวนนับไปถ้วนซ้ำเข้าไปยังพื้นที่ตรงนั้น พวกเขาไม่ได้สนมิตรหรือศัตรู เพียงแค่เปลี่ยนให้ทุกคนกลายเป็นรังผึ้ง
จากนั้น ทหารม้าก็จะพุ่งเข้าทำลายศัตรูที่เหลืออยู่ และทหารราบเข้ากำจัดผู้รอดชีวิต ฉากคล้ายๆกันนี้ถูกสร้างขึ้นทั่วสนามรบ
สงครามได้ถูกตัดสินแล้ว! ยังไงซะมอนสเตอร์พวกนี้ก็อ่อนแอเยี่ยงสุนัข จะมีกี่ตัวก็ไม่สำคัญหรอก!
เหล่าผู้บัญชาการของกองกำลังพันธมิตรขุนนางต่างยิ้มแย้มด้วยความมั่นใจในชัยชนะ แต่ทว่า ศัตรูมีความทนทานมากอย่างไม่คาดคิด ในขณะที่กองกำลังของพวกเขากลับเหนื่อยล้ามาขึ้นไปตามเวลาที่ผ่าน ในไม่ช้าพวกเขาก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดพร้อมเหงื่อกาฬที่ไหลออกมา
นี่มันอะไรกัน! มอนสเตอร์พวกนี้มันมาจากไหน! แล้วทำไมแรงใจสู้ของพวกมันถึงไม่หมดไปเสียที ดูราวกับไม่กลัวความตายอย่างไรอย่างนั้น!!
เข็มของตาชั่งที่ครั้งหนึ่งเคยเอียงไปยังกองทัพของอาณาจักรอมิเทีย มันค่อยๆเอียงกลับมายังอิมพีเรียลคริมสันแล้ว จนกระทั่งในที่สุดก็เอียงไปจนถึงจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้ว
◆◇◆◇
“นับว่ายังดีที่ชุบชีวิตวงกว้าง(All Rise)เปลี่ยนจากขนาด 8*8 ในเกม ไปเป็นระยะ 50 เมตรรอบตัวแล้ว..”
ผมปลดปล่อยสกิล ชุบชีวิตวงกว้าง(All Rise) ออกไปเพื่อชุบชีวิตทหารที่นอนจมกองเลือดอยู่ ไม่ว่านั่นจะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ตาม
แสงจางๆจากคทายาวที่ผมถืออยู่ บลูเวลเว็ท เปล่งประกายอย่างอ่อนโยนไปรอบๆ และร่างที่ไร้ชีวิตก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง พวกเขามองไปรอบๆดก้วยสีหน้างงงวย
“แต่ชุบชีวิตทุกคนโดยไม่สนว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรูเนี่ย ไม่แน่ใจเลยนะว่าดีหรือไม่ดี… แต่ตอนที่เห็นนกแปลกๆตัวนึงโดนลูกหลงแล้วกลับมามีชีวิตต่อได้ แล้วบินหนีไปพร้อมทำเสียงโง่ๆ ก็ชักจะรู้สึกว่าเสีย MP เปล่าชะมัด”
ขณะที่พึมพัมกับตัวเองแบบนั้น ผมก็ขยับไปจนออกระยะของสกิล และใช้ All Rise อีกครั้ง
น่าเสียดายทีสกิลฟื้นชีพวงกว้างอันนี้จะสามารถฟื้นฟู HP ได้แค่ 20% เท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากสกิลResurrection ดังนั้นมิโคโตะที่ติดตามผมมาข้างหลังจึงใช้สกิลฟื้นฟูเป็นวงกว้าง Angel Rain เพื่อรักษาซ้ำอีกที
แต่ในเมื่อการชุบชีวิตไม่ได้สนมิตร-ศัตรู ทั้งศัตรูและมิตรที่ฟื้นขึ้นมาต่างงุนงงกันทั้งคู่ ทว่า ในความตื่นตระหนก บางคนก็เข้าต่อสู้กันอีกครั้ง
“อา เหล่าทหารแห่งอิมพีเรียลคริมสันที่ฟื้นกลับมาแล้ว จงเร่งรีบไปยังแนวหน้าซะ! แนวรบเคลื่อนไปด้านหน้าแล้ว อย่าโดนทิ้งไว้ข้างหลังซะละ! และถึงทหารอาสาแห่งอาณาจักรอมิเทียทั้งหลาย หากพวกนายคิดจะต่อต้านเราและสู้เพื่อพวกขุนนางที่แทงข้างหลังพวกนายอีกครั้ง เราจะไม่เมตตาพวกนายอีก และขอบอกไว้ก่อนว่าจะไม่มีการฟื้นคืนชีวิตให้อีกแล้ว แต่หากพวกเจ้าต้องการจะวิ่งหนี พวกเราจะไม่ตามล่าพวกเจ้า ฉะนั้นจงทำตามที่ต้องการ เท่านี้แหละ”
ผมพูดในสิ่งที่ผมอยากจะพูดไปจนหมด และออกจากที่ตรงนั้นไปอย่างรวดเร็ว (ยังไงซะ การจะชุบชีวิตได้ก็จะต้องอยู่ในระยะ 30 นาทีถึงจะทำได้ละนะ)
อันที่จริง ผมมาได้ยินทีหลังว่า ทหารอาสาส่วนใหญ่เดินโซเซออกจากสนามรบด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว
“…คิดว่าเราใจอ่อนไปไหม มิโคโตะ อามาริ?”
จู่ๆผมก็นึกไปถึงอัศวินสวมหน้ากากคนนึงที่ลงสนามรบมาด้วยกันขึ้นมา ผมก็เลยถามทั้งคู่ออกไป
“ก็ไม่นะคะ – จริงๆแล้วองค์หญิงไม่จำเป็นต้องมากังวลเรื่องแบบนี้หรอกคะ”
『…องค์หญิงช่วยคนอื่นตามอารมณ์มาแต่ไหนแต่ไร แล้วก็ทำเรื่องร้ายกาจแบบไร้ความหมายด้วย เพราะงั้นก็เลยดีใจที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคะ』
“…ขอบใจนะ”
เข้าใจละ นั่นคือสิ่งที่พวกเธอมองผมสินะ
“ถ้างานก็ มาพยายามกันเถอะ!”
ผมให้กำลังใจตัวเอง และวิ่งไปรอบๆสนามรบดั่งเช่นสายลม
◆◇◆◇
ผลลัพธ์นั้นถูกตัดสินแล้ว
กองทัพของอิมพีเรียลคริมสันที่ไร้บาดแผลโอ้บล้อมเข้าหาในทุกทิศทาง ต่อสู้กับกองทัพของเหล่าขุนนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลและขาดแคลนกำลังเสริม ไม่มีทหารคนใดรอดพ้นจากการโจมตีนี้ไปได้ พวกเขาถูกบดขยี้ไปทีละคนจนสิ้นซาก โดนกวาดล้างจนหมดสิ้น
“ห-หนี.. ไม่สิ ถอยทัพ!”
ขุนนางที่เหลือรอดจากกองทัพพันธมิตรขึ้นขี่ม้าศึกของตนพยายามหนีออกจากสนามรบอย่างเร่งรีบ
บรรดาลูกน้องใกล้ชิตที่รวมตัวกันอยู่ที่เต้นท์ เหลือบมองยืนยันกันและกัน
“แต่ทหารของเรายังสู้อยู่ เราควรจะให้สัญญาณถอยทัพนะครับ?”
“อย่ามาทำตัวโง่หน่อยเลย! มันเป็นหน้าที่ของพวกต่ำเตี้ยพวกนั้นที่จะซื้อเวลาให้ข้าถอยทัพ! ในระหว่างที่พวกนั้นยังรั้งมอนสเตอร์ไว้อยู่ ก็รีบออกไปจากที่นี่เร็วเข้า!”
เขาตะโกนด้วยใบหน้าที่แดงจากความโกรธ ลูกน้องของเขาพยักหน้าให้กัน และรีบวิ่งไปขึ้นม้าของตนเอง รีบร้อนจะหนีไปให้ได้
“..ไม่ดี ไม่ดี แบบนั้นไม่ไร้ความรับผิดชอบไปหน่อยหรอ?”
ในวินาทีนั้นเอง ระเบิดรุนแรงจนพัดเอาเต้นท์ทั้งหลังหายไป ม้าเองก็วิ่งหนีไปด้วยความตื่นตระหนก ทิ้งเจ้านายของมันเอาไว้เบื้องหลัง
“ม้าเองเหมือนเจ้านายเลยนะ…”
แรงลมกระชากพัดเอาพวกเขาตกจากหลังม้า ก่อนที่จะมองอัศวินในชุดเกราะสีแดงที่มาปรากฏตัวตรงนี้โดยที่ไม่มีใครเห็นอย่างงงงวย
– รู้สึกเหมือนเคยเห็นคนๆนี้ที่ไหนมาก่อน..
มีความรู้สึกคุ้นเคยจางๆขึ้นมาในใจของทุกคน แต่ก่อนที่จะได้คำตอบใดใด ชายคนนั้นก็ยกดาบยามที่พาดไว้บนไหล่ขึ้นมา และชี้ปลายดาบมาที่พวกเขา ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มที่ไร้ความกริ่งเกรง
“การที่ผู้บัญชาการทอดทิ้งพรรคพวกของตนเองแล้วหนีไปนี่มันรับไม่ได้เอาซะเลยนะ ขนาดองค์หญิงของเรายังวิ่งวุ่นไปทั่วสนามรบเพื่อรักษาชีวิตแม้เพียงชีวิตเดียวของฝั่งเราเชียว”
“แกเป็นใคร?!”
ลูกสมุนคนนึงถามขึ้นมาอย่างอดไม่ไหว ชายคนนั้นเตรียมท่าดาบและเอ่ยออกมาเพียงประโยคเดียว
“หนึ่งในข้ารับใช้ขององศ์หญิงฮิยูกิแห่งอิมพีเรียลคริมสัน มาโรโดะ”
“อะไ—-?!!”
ชายที่แนะนำตัวว่ามาโรโดะลื่นไถลราวกับเต้นรำมายังกลางวงของผู้บัญชาการที่หน้าซีดเซียว และฟันดาบในมือออกไปเป็นวงกว้าง
“—อุรานามิ โนะ ชิบูกิ (คลื่นทะเลกระเซ็น)”
เพียงแค่ดาบเดียว ผู้ที่ถือดาบ ผู้ที่กำลังจะชักดาบ และผู้ที่กำลังจะหนีก็กลายเป็นเพียงร่างไร้วิญญาน
ทั้งหมดเว้นเพียงหนึ่งคน ขุนนางที่ถูกดันกระเด็นไป
“..ให้ตายสิ ยังมีคนโชคดีแบบนี้อยู่อีกหรอเนี่ย เอาเถอะ ไม่ใช่ตัวข้าเมื่อก่อนอีกแล้วนี่นะ ตอนนี้ข้าไม่มีเหตุผลให้ต้องปล่อยเจ้าไปหรอกนะ เคาท์วิโรเรล จงลงนรกไปหาลูกน้องที่รอเจ้าอยู่เสียเถอะ”
ชายคนนั้นก้าวเข้ามาใกล้ ฝีเท้าของเขา รูปร่างของเขา และเหนืออีกใด เสียงที่เอ่ยเรียกชื่อของเขา ทุกสัญญานประกอบเข้าด้วยกันอย่างลงตัว และเคาท์วิโรเรลก็ต้องสุดหายใจ
“..มะ-มาโรโดะ? ไม่ใช่ กะ-แก ไม่สิ ทะ-ท่านคือ…. อาชีล โกลด…”
“คนผู้ถือครองนามนั้นได้ตายไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่เป็นเพียงเศษซากของอดีตเท่านั้น… แต่นั่นเองก็จะหายไปในไม่ช้าเช่นกัน และเหลือชายผู้หาจับตัวได้ยากเท่านั้นที่จะยังคงอยู่”
เมื่อจบคำ ดาบที่ถูกชูขึ้นสูงก็แหว่งลงมาเป็นเส้นตรง
…ณ มุมหนึ่งของสนามรบที่ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว
ภายใต้รอบข้างที่เงียบสงัดจนยากจะเชื่อว่างที่ตรงนี้เองก็เป็นสนามรบ มาโรโดะถอนหายใจและพึมพัมกับตัวเอง
“ถ้าเจ้าได้เห็นข้าเป็นเช่นนี้เจ้าจะเสียใจหรือเปล่านะ หรือบางทีเจ้าอาจจะเกลียดที่ข้าช่วยเจ้าไว้ไม่ได้..”
“–เจ้าเองก็รู้คำตอบดีกว่าใครเลยนี่? หรือเจ้าคิดว่าวิญญานของเธอไม่อยากให้เจ้ามีความสุขอย่างงั้นหรอ?”
เสียงกระจ่างใสเสียงหนึ่งตอบกลับมา
“…องค์หญิงนี่เอง”
ไม่ทราบได้เลยว่าฮิยูกิอยู่ตรงนี้มานานเท่าไหร่แล้ว เธอยืนโดยที่มีบลูเวลเว็ทพาดไหล่ซ้ายของเธออยู่
“โทษทีนะ แต่ช่วยเก็บน้ำตาไว้ก่อนจนกว่าจะจบเรื่องได้ไหม? ดูเหมือนสงครามจะจบแล้ว แต่มีการจราจลในเมืองหลวงเนี่ยสิ และดูท่าพวกเราคงต้องไปช่วยจัดการเรื่องนั้นต่อ”
“จราจลงั้นหรอ..”
เมื่อได้ยินคำพูดไม่ชวนฟัง ใบหน้าของมาโรโดะใต้หน้ากากก็ตึงเครียดขึ้น
ฮิยูกิยักไหล่น้อยๆ
“อา ดูเหมือนว่าเหล่าทหารอาสาที่หลบหนีไปจะไปบอกต่อกันนะสิ แล้วบรรดาผู้คนที่ไม่พอใจกับพวกขุนนางอยู่แล้วก็เลยก่อกบฏทันทีทันใดเลย –ก็นะ เราว่าในที่สุดเมล็ดพันธ์ที่ใครบางคนหว่านเอาไว้ก็งอกแล้วนะ”
“..อา อย่างนั้นหรอ?”
เขาพึมพัมเบาๆและถอนหายใจด้วยความโล่งใจ…ราวกับนักเดินทางที่ในที่สุดก็ได้วางภาระอันหนักอึ้งลง ก่อนที่มาโรโดะจะถอนหายใจที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย
“และ เรากำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงพร้อมกองทัพทั้งหมด ฉะนั้นก็อย่ามาสายซะละ ถ้าไปไม่ทันขึ้นมา นายก็จะจัดการสิ่งที่ค้างคาไว้ไม่เสร็จนะ”
“นั่นสินะ ยังมีเรื่องให้ต้องทำต่อนี่นา”
เขากำลังคิดอะไรอยู่ เขากำลังคิดถึงใคร และตั้งใจจะทำอะไรต่อไป? แม้จะอยาก แต่ฮิยูกิติดสินใจว่าจะไม่ถาม และเดินออกไปจากตรงนั้น
จากนั้น น้ำเสียงที่สงบแปลกๆของมาโรโดะก็ดังจากข้างหลังเธอ
“องค์หญิง หลังจากจบเรื่องนี้ ข้าขอยืมอกท่านมาซบร้องไห้เท่าที่อยากได้ไหมครับ?”
“—พะ-เพื่ออะไรเล่า?! ร้องไห้คนเดียวไปซะ!”
ฮิยูกิปิดหน้าอกแล้วถอยหลัง
“แหม ก็ผู้ชายเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยากจะซบอกผู้หญิงตอนเจ็บปวดนี่ครับ”
“ถะ-ถ้างั้นละก็ ไม่ใช่อกแบนก็น่าจะดีกว่าสิ โซเฟียละเป็นไง? หน้าอกของเธอนะยอดเยี่ยมเลยนะ ทั้งขนาดและน้ำหนัก”
“…นั่นมันเจ้าหญิงออร์คไม่ใช่หรอครับ ผมคงโดนบีบตายแหง”
ฮิยูกิวิ่งหนีหายไปราวกับสายลม ทิ้งมาโรโดะที่กำลังหดหู่เมื่อนึกถึงเรื่องนั้นเอาไว้
“ไม่ไหวเลยน้า” เขาเกาแก้มเบาๆ ก่อนที่มาโรโดะจะหันหน้าไปยังเมืองหลวง
“บางที….อาจจะยังรอข้าอยู่สินะ”
เขาพึมพำชื่อใครบางคน แต่ไม่มีใครได้ยินเขาเลย
———–
ข้อความจากผู้เขียน
พยายามเต็มที่แล้วที่จะหลบเลี่ยงการทำลายล้างละ LOL
ตอนต่อไปจะเป็นตอนสุดท้ายของบทเมืองหลวงแล้ว
ตอนนี้มีการสลับมุมมองไปมา เดี่ยวบุคคลที่ 3 เดี่ยวตัวฮิยูกิเอง
ถ้างงก็ขออภัยด้วยนะคะ
เหลืออีก 3 ตอนจะจบบท 2 และจบ เล่มหนึ่งงงงงงง ย๊ากกกก
{ไทยพาณิชย์ นางสาว ทยาธร อนันต์มานะ 162-246448-2}
สนับสนุนเป็นกำลังใจหรือจะเป็นค่าชานมไข่มุกให้คนแปลก็ได้ทั้งนั้นคะ (แต่ส่วนใหญ่น่าจะไปลงชานมหมด)
ขอบคุณสำหรับการอ่านจนถึงตรงนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่คะ
MANGA DISCUSSION