ข้อความจากผู้แต่ง
นี่คือเรื่องราวของเซอร์คาร์โล
เป็นเพียงเรื่องราวเบื้องหลังที่ไม่เกี่ยวข้องใดๆ แต่คิดว่าคงจะให้ข้อมูลกับเนื้อเรื่องหลักได้นิดหน่อย
—
ชื่อเต็มของข้าคือ กัลคาร์โล เอริจิโอ เบอร์โทนี่
และแม้ว่าตระกูลเบอร์โทนี่จะเป็นชนชั้นขุนนาง แต่ก็เป็นเพียงขุนนางยศต่ำอย่างบารอน ตามปกติแล้ว ผู้ที่มีสถานะต่ำอย่างข้าจะไม่สามารถมารับใช้อยู่ข้างเจ้าชายได้เลย แต่มันเป็นเพราะว่าพ่อของข้าทำหน้าที่เป็นองค์รักษ์ปกป้องพระราชาตั้งแต่ตอนที่ยังเยาว์วัย ข้าได้ยินมาว่า ท่านพ่อและองค์ราชามีความสัมพันธ์ฉันท์มิตรที่ข้ามทุกฐานะใดใด
ส่วนข้ากับเจ้าชายนะหรือ? ไม่รู้สินะ แต่ข้ามักจะมองตัวเองเป็นข้ารับใช้ผู้ภักดีอยู่เสมอ
และผลลัพธ์ของความสัมพันธ์ของท่านพ่อ ทำให้ท่านแม่ของข้า ที่พึ่งให้กำเนิดข้าได้ไม่นาน กลายมาเป็นแม่นมของเจ้าชาย ผู้ที่เกิดในเวลาไล่เลี่ยกันกับข้า
จริงๆแล้วก็มีผู้หญิงอีกจำนวนนึงที่มาเป็นแม่นมเช่นกัน แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เจ้าชายไม่ชอบแม่นมคนไหนเลยนอกจากท่านแม่ของข้า – เพราะงั้นบางทีเขาอาจจะเรื่องมากเรื่องผู้หญิงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ได้
ว่าด้วยความสัตย์จริง ข้าเองก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่สวยเท่าฝ่าบาทฮิยูกิมาก่อนเลย ฉะนั้นแล้วข้าเข้าใจได้ว่าทำไมเจ้าชายตะลึงได้ขนาดนั้น
อย่างไรก็ตาม ท่านแม่ของข้าไม่อาจทิ้งข้าที่พึ่งเกิดไว้เพียงคนเดียว และทุ่มเทให้กับการดูแลเจ้าชายได้
…นั่นสินะ เดิมทีแล้วนางเป็นสามัญชนมาก่อนนะ เพราะหากนางเป็นขุนนางเช่นคนอื่นๆ นางคงจะไม่ลังเลที่จะทอดทิ้งลูกตัวเองแน่นอน
ผลลัพธ์ก็คือ ข้าถูกเลี้ยงอยู่ในวังพร้อมกับเจ้าชายมาก่อนที่ข้าจะรู้ความเสียอีก
เป็นดั่งพี่น้อง? ไม่เลย พอข้าเริ่มรู้เรื่องขึ้นมาบ้าง ผู้คนรอบตัวข้าเอาแต่ย้ำหนักหนาในเรื่องความต่างของสถานะระหว่างเรา ดังนั้นข้าเลยไม่มีความตั้งใจจะเข้าไปใกล้ชิดสนิทสนมกับเจ้าชายเกินความจำเป็น
อีกอย่าง ข้าเองก็มีพี่น้อง แต่พวกเราไม่ยุ่งเรื่องของกันและกัน อันที่จริง มันก็เหมือนๆกันทุกที่นั่นแหละ ไม่ว่าจะขุนนางหรือสามัญชน ตั้งแต่เกิด ก็จะมีเส้นคั่นบางๆระหว่างลูกชายคนแรก คนที่สอง และคนที่สามอยู่เสมอ
–อา ใช่แล้ว เจ้าชายไม่สนใจเรื่องพวกนั้นเลยซักนิด และไม่ฟังคำแนะนำของผู้ที่อยู่รอบๆด้วย และลากข้าไปด้วยในทุกๆที่
ก็จริงตามที่เจ้าพูด มันอาจเป็นความใจกว้างของผู้ที่อยุ่เหนือกว่า หรือจะเรียกว่าความไม่ใส่ใจดีนะ แต่ข้าเองก็มีความสุขในเรื่องนั้นอยู่บ้าง
เพราะงั้นแล้ว ข้าในตอนเด็กๆก็กลายเป็นเพื่อนเล่นของเจ้าชาย แต่จะให้พูดแบบห้วนๆเลยก็น่าจะเป็น ‘ของเล่นของเจ้าชาย’ เสียมากกว่า
บทบาทนั้นเปลี่ยนไปเมื่อเจ้าชายอายุได้ 11 ขวบ –หลังจากที่โดนนักฆ่าลอบโจมตี
ในตอนนั้นข้ามีอายุเพียง 7 ขวบ และข้าก็พึ่งจะเริ่มเข้าเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร ข้าจึงไม่ได้เจอกับเจ้าชายบ่อยเท่าสมัยก่อน ทว่าหลังจากไม่กี่วันหลังจากเหตุการณ์นั้น ท่านพ่อของข้าและข้าถูกองค์พระราชาเรียกตัวอย่างลับๆ และท่านสั่งให้ข้าไปเป็นข้ารับใช้ประจำพระองค์ของเจ้าชาย และรายงานการเคลื่อนไหวของเจ้าชายทุกอย่างให้พระราชาทราบซะ
ทั้งพระราชา และทุกๆคนในราชวังต่างหวาดกลัวเจ้าชาย ผู้ที่สามารถสังหารนักฆ่าฝีมือดี 8 คนได้ด้วยอายุเพียงแค่ 11 ขวบ
ดังนั้นข้าจึงได้รับคำสั่งนั้น ตัวข้าที่เจ้าชายจะปลดความระแวดระวังลง เพื่อที่ข้าจะกลายเป็นกระพรวนที่คอแมว
แน่นอนว่าข้าไม่อาจปฏิเสธได้ และด้วยคำสั่งนั้น ข้าจึงต้องเขียนรายงานทุกอย่างที่เกิดขึ้นในทุกๆวัน
…เจ้าชายนะหรอ? ข้าไม่รู้หรอก ข้าคิดว่าเขาก็เข้าใจอยู่ในระดับหนึ่งว่าทำข้าถึงกลายเป็ยข้ารับใช้คนสนิทของเขา แต่เขายินดีกับข้าจริงๆ
“เราได้อยู่ด้วยกันอีกไงละ!” เขาว่าพลางยิ้มกว้าง
จากนั้น ทุกวันก็มีแต่ความวุ่นวาย
มันถึงขนาดที่ข้าจะต้องเล่นเป็นนักผจญภัยร่วมกับเจ้าชายด้วยซ้ำ – อา ข้าได้รับตรานักผจญภัยระดับ C นะ
ไม่ ไม่ใช่แค่นั้นหรอก เพราะมากกว่าครึ่งเป็นการช่วยเหลือจากเจ้าชายทั้งนั้น
และภายใน 2 ปี เจ้าชายก็ไปถึงแรงค์ S เป็นแรงค์ที่มีน้อยกว่า 50 คนในทวีปที่ทำสำเร็จ
ไม่ ข้าไม่เคยอิจฉาเจ้าชายเลยซักนิด
ตรงกันข้ามเลยละ ข้ารู้สึกภูมิใจด้วยซ้ำที่ได้ยืนเคียงข้างชายที่น่าทึ่งคนนี้
สำหรับข้าแล้ว เจ้าชายทรงเป็นตัวแทนของความทะเยอทะยานและความฝันที่ไม่เป็นจริงของข้า
และการที่ท่านได้พบเจอกับประชาชนด้วยวิธีนี้เอง ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจน และข้อเสียเปรียบในระบบชนชั้นก็เริ่มสร้างเงาครึ้มในใจของเขา แม้เขาจะไม่ได้แสดงมันออกมาภายนอก แต่เขาคงจะอัดอั้นมันอยู่ลึกๆข้างในใจ –และมีผู้คนบางคน ที่สามารถดมกลิ่นเรื่องแบบนี้ได้ดีนัก
พวกมันใช้คำพูดอันชาญฉลาดเข้าหาเจ้าชาย และสร้างความประทับใจให้เขาด้วยความเพ้อฝันในอุดมคติ… อา เป็นความจริงแท้เลยละ ถ้าอุดมคติมันดีถึงเพียงนั้น ทำไมไม่ทำขึ้นมาด้วยตัวเองเลยละ
ข้าพยายามถึงที่สุดที่จะแยกเจ้าชายกับคนพวกนั้น แต่ความคิดที่เคยฝังรากลงในใจมันกลับหยั่งลึกลงไปมากกกว่าที่ข้าคาดคิด และสิ่งที่ฝังแน่นในใจนั้นทำให้เจ้าชายยังคงติดต่อกับคนพวกนั้น แม้ว่าต้องหลบเลี่ยงข้าไปก็ตาม
ดูท่าทางราชวังเองก็รู้สึกได้ถึงวิกฤตที่คืบเข้ามาใกล้ในครั้งนี้เช่นกัน ข้าจึงถูกสั่งให้รวบรวมข้อมูลที่ละเอียดขึ้นมาให้
ข้าไม่มีทางเลือกจะทำทีเป็นเห็นใจอุดมคติของเจ้าชาย และเข้าร่วมการปฏิบัติการนั้น
จากข้อมูลที่ได้รับมาทั้งหมด พวกข้าได้รับรายงานโดยละเอียดในเรื่องที่ซ่อน ยศตำแหน่ง และจำนวนคนมาแล้ว ดังนั้นครั้งนี้คงจะรวบจับทั้งหมดได้
…อา ข้าไม่ได้คิดเรื่องแบบนั้นจริงจังหรอก มันเป็นแค่ความฝันเฝื่องตั้งแต่แรกแล้ว และยังไงซะ ก็เป็นเพียงกลุ่มคนที่โน้มน้ามเจ้าชายเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้นด้วย
อีกหนึ่งคำสั่งที่ข้าได้รับคือหากเจ้าชายยังคงยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ข้าต้องสังหารท่านด้วยตนเอง
หากจะบอกว่าข้าไม่กังวลเลยก็คงเป็นการโกหก แต่ว่ากันตามตรง ข้าคิดว่าไม่มีทางไปถึงขั้นนั้นแน่ๆ มันเป็นแค่ความคิดชั่ววูบ และเจ้าชายเองก็เป็นคนฉลาดที่เข้าใจสถานการ์ณความเป็นจริง
แต่ทว่าหลังจากนั้น เจ้าชายยังคงเดินหน้าทำกิจกรรมทางการเมืองต่อไป และเลยเถิดไปถึงขั้นตกลงกันกับอาณาจักรของมอนสเตอร์
ราชวังนั้นตกลงสู่ความตื่นตระหนกอันใหญ่หลวง
และในระหว่างที่วุ่นวายกันไม่เลิก การพบปะระหว่างทั้งคู่ก็ถูกจัดขึ้น – ข้าไม่เคยนึกเลยว่าฝ่าบาทฮิยูกิจะตอบรับไวขนาดนี้ – และคำสั่งด่วนที่ได้รับมาในทันทีคือสังหารเจ้าชายซะหากเขายังเชิญตัวปัญหาระดับประเทศเข้ามาอีก
ข้ากังวลนักในตอนที่ข้ามองแผ่นหลังไร้การป้องกันของเจ้าชาย
ข้าจะต้องสังหารเจ้าชายด้วยมือของตัวเองจริงๆงั้นหรือ?
เจ้าชายปกป้องข้า ก้มหัวแทนข้า และเรียกข้าว่า [เพื่อน]
ข้าอยากจะสารภาพทุกอย่างแก่ท่านในตอนนั้น และอ้อนวอนร้องขอการให้อภัย
“ข้าไม่คู่ควรกับคำพูดเช่นนั้นเลย! ได้โปรดลงโทษข้าด้วยเถอะ!”
แค่คุกเข่าลงไปแทบเท้าคนอื่นแบบนั้นคงจะง่ายน่าดู
…แต่ข้าทำไม่ได้ ความล้มเหลวของข้าหมายถึงความล้มเหลวของตระกูลเบอร์โทนี่
แม้ว่าท่านพ่อของข้าจะสนิทกับองค์ราชาเป็นการส่วนตัวก็ตาม.. อันที่จริง บางทีคงเป็นเพราะสิ่งนี้ พวกขุนนางกระจอกทั้งหลายก็จะใช้โอกาสนี้โจมตีอย่างรุนแรง และขุนนางยศต่ำอย่างพวกเราก็จะถูกลบหายไปโดยไม่มีแม้แต่เวลาให้ลังเล
ใช่แล้ว ข้าต้องเลือกระหว่างความเชื่อใจจากเจ้าชาย และครอบครัวของข้า ข้าจึงทรยศเขา
ช่างบังเอิญ พันธมิตรกับอาณาจักรอิมพีเรียลคริมสันถูกเลื่อนออกไป ซื้อเวลาให้ข้าได้บ้าง
ดังนั้นข้าจึงเลือกที่เสี่ยงเดิมพันครั้งสุดท้าย ที่จะทำให้เจ้าชายหยุดเคลื่อนไหวทางการเมือง
ใช่แล้วละ ด้วยการเสียสละเจ้าหญิงแองเจลิก้า เจ้าชายจะต้องเข้าใจความต่างของอุดมคติและความเป็นจริงได้แน่ แถมยังสร้างความแปลกแยกจากประชาชนที่เขาพยายามปกป้องด้วย เพราะคนพวกนั้นมาพรากบุคคลที่รักไป
มันง่ายมากๆที่จะติดสินบนพนักงานรีสอร์ทและมองหาพวกวัยรุ่น พวกบุคคลมีปัญหาที่จะมาดำเนินการครั้งนี้
คนของข้าพูดด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“ในขณะที่พวกแกพยายามแทบตายเพื่อซุปซักถ้วย พวกราชวงษ์ก็มีกินมีใช้อย่างหรูหรา ทั้งหมดนั่นก็มาจากค่าเงินภาษีที่พวกแกหามาแทบตายไง ก็ถูกแล้วนี่ที่พวกเราจะไปเอาคืนมาบ้าง?”
พูดแค่นี้ก็อยากร่วมมือด้วยแล้ว
…นั่นสินะ คนพวกนี้ขอแค่มอบเหตุผลให้ซักหน่อย ก็จะเชื่อว่านี่เป็นความชอบธรรมที่พวกเขาควรจะได้ และพร้อมจะลงมือทำสิ่งโหดร้ายได้อย่างไร้ข้อกังขา
แต่………..ข้ามองเจ้าชายผิดไปอย่างนั้นหรอ?
แม้จะผ่านเรื่องนั้นไปแล้ว เขาก็ไม่หยุดเดินหน้าต่อ…
และนี่คือผลลัพธ์
◆◇◆◇
“…งี้นี่เอง สารภาพเสร็จแล้วใช่ไหม?”
ฮิยูกิ ผู้ที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เจ้าชายอาชิลมักจะนั่ง ใส่ชุดเดรสแขนกว้างแบบยุโรปที่มีการปักลายสีแดงบนผ้าสีดำ เอ่ยยืนยันกับลอร์ดคาร์โลด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ร่าง.. ที่ถูกวางไว้ยังใจกลางห้องส่วนตัวของเจ้าชายอาชิลนั้น มีกำหนดว่าจะประกอบพิธีศพในวันพรุ่งนี้พร้อมกับนักบวชสูงสุด หลังจากนั้นจะถูกขนย้ายไปยังหลุมศพของราชวงศ์
คืนนี้เป็นการบอกลาครั้งสุดท้ายในฐานะข้ารับใช้คนสนิท คาร์โลอยู่คนเดียวข้างๆร่างนี้ จ้องมองใบหน้าโดยไม่ได้หลับนอน ก่อนที่จู่ๆเขาจะได้ยินเสียงลมกลางคืนพัดผ่านม่านลูกไม้ และกว่าจะรู้ตัวอีกที เขาก็เห็นผู้เป็นเจ้าของใบหน้าที่งดงามราวกับอวตารของดวงจันทร์ ยืนอยู่ใต้หน้าต่างที่เปิดกว้างแล้ว… แทนที่จะสับสน เขากลับดูสบายใจขึ้น และ เมื่อได้รับการถามไถ เขาก็ระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“ครับ องค์เหนือหัวฮิยูกิ ท่านจะสำเร็จโทษข้าหรือไม่?”
ฮิยูกิพ่นลมหายใจเบาๆอย่างดูถูกใส่คำพูดของลอร์ดคาร์โล ที่ดูเหมือนจะอ้อนวอนขอการลงโทษจากเธอเสียมากกว่า
“เพื่ออะไรละ? นี่มันเรื่องภายในของพวกเจ้า ไม่ใช่ที่ๆเราจะเข้าไปยุ่ง”
“แต่ทางสภาขุนนางตั้งใจจะใช้เรื่องอุบัติเหตุทั้งหมดนี่ป้ายความผิดใส่พระองค์และอาณาจักรของท่าน ข้าคือสาเหตุทั้งหมด ท่านมีเหตุผลมากพอที่จะสังหารข้า”
คาร์โลร้องขออีกครั้ง ดูสิ้นหวังยิ่งกว่าที่เคย
“แต่ตัวเจ้าก็ไม่ได้เป็นคนวาดภาพนี้ด้วยตัวเองนี่? เพราะงั้นคนที่ต้องรับผิดชอบก็คือเจ้าโง่ที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังนั่นแหละ”
คาร์โลกัดริมฝีปากเมื่อได้ยินว่าชีวิตของตนเองไม่สำคัญ
ฮิยูกิลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ และเหลือบมองใบหน้าของเจ้าชายอาชิล ผู้ที่นอนอยู่ในโลงศพและตกแต่งด้วยดอกไม้
“ข้าคิดอยู่เสมอว่าเจ้านี่นะเป็นคนโง่ และเขาก็โง่จนถึงที่สุด ว่ากันว่าคนโง่ต่อให้ตายไปแล้วก็เปลี่ยนไม่ได้ แต่เราไม่คิดว่าเจ้านี่จะเปลี่ยนได้ด้วยซ้ำ”
เธอพึมพัมกับตัวเองด้วยเสียงเบาๆ คาร์โลจึงไม่ได้ยินเธอ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมา รอยยิ้มชั่วร้ายก็ฉายเต็มใบหน้า
“เราอยากจะกล่าวลาครั้งสุดท้ายเสียหน่อย ช่วยหันหน้าไปทางอื่นซักพักนึงจะได้ไหม?”
“คะ-ครับ”
คาร์โลยืนขึ้นอย่างเชื่อฟัง เขาเดินไปที่กำแพงและหันหลังให้เธอ
เธอหรี่ตาลงมอง ยืนยันว่าเขาหันหลังให้เจ้าชายอาชิลอย่างเต็มที่แล้ว เธอก็ค่อยๆโน้มตัวลงมาให้ริมฝีปากใกล้กับใบหน้าของเจ้าชาย
เสียงเสียดสีอันชุ่มชื้นเบาๆดังมาถึงหูของคาร์โล ร่างท่อนบนของฮิยูกิขยับเขยื้อนกลับมาหลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่ลมหายใจ
“– อืม ก็ประมาณนี้แหละนะ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับโชคแล้วละ”
ในเวลาเดียวกันที่เขารู้สึกว่าเธอลุกขึ้นมาแล้ว คาร์โลก็หันกลับมาในอาการตกใจ
“ท่านจะกลับแล้วงั้นหรอ?”
“อื้ม เราคิดว่าเรื่องมันจะยุ่งยากมากกว่านี้อีกนะ อยู่นานไม่ไหวหรอก”
ฮิยูกิยิ้มแย้มอย่างไร้กังวล เขี้ยวที่ยาวผิดปกติโผล่ออกมาบริเวณมุมปาก
“ท่านจะไม่ลงโทษข้าจริงๆหรอครับ? ข้าสารภาพทุกอย่างออกมาด้วยความตั้งใจนั้นนะ”
“ก็นั่นไม่ใช่หน้าที่เรานี่ ที่เราถามก็เพราะอยากรู้ว่าการเชื่อมต่อ(บายพาส)ที่เราติดไว้กับเจ้าชายตอนแยกกันครั้งนั้นจู่ๆมันขาดลงได้ยังไงต่างหาก เอาเถอะ การที่เจ้าจะแบกรับความรู้สึกผิดไว้ในใจไปตลอดชีวิตมันน่าจะเจ็บปวดมากกว่าด้วยนี่?”
“…”
ฮิยูกิยักไหล่
“เอาเถอะ ถ้าเจ้าโชคดีพอ คงอาจจะมีคนที่คู่ควรมาลงโทษเจ้าก็ได้นะ”
“–หมายความว่ายังไง?”
“ก็แค่ความเป็นไปได้นะ ตอนนี้ก็ซัก 30% ละมั้ง ที่เจ้าจะทำได้ก็มีเพียงภาวนาต่อพระเจ้าอะไรก็ตามที่เจ้าเชื่อนั่นแหละ”
ฮิยูกิมุ่งหน้าไปทางหน้าต่าง ปล่อยคาร์โลที่สับสนงุนงงไว้เบื้องหลัง
“แล้วก็นะ เจ้าสองคนนี่เหมือนกันดีนะ”
“—หือ?”
“เจ้าทั้งคู่เหมือนกันทั้งเรื่องที่พอเจออุปสรรคก็อยากฆ่าตัวตาย หรือเรื่องที่ชอบร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เจ้ากล่าวไว้ว่าไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่ว่าแบบนี้คือที่เรียกว่าคนประเภทเดียวกันหรอกหรอ?”
ได้ยินคำเหล่านั้น ดวงตาของคาร์โลก็เบิกกว้าง
พอรู้สึกตัว ฮิยูกิก็หายไปแล้ว ราวกับเธอเป็นแค่ภาพลวงตา
“เพื่อน…”
เสียงพึมพำอันแผ่วเบาของคาร์โลลอยไปกับสายลมยามค่ำคืน ผ่านหน้าต่างบานนั้น และหายไปในความมืด
—–
ข้อความจากผู้แต่ง
แต่จะว่าไป ในเนื้อเรื่อง ถ้าเป็น “ลอร์ดคาร์โล” มันจะออกมาจากมุมมองจากบุคคลที่ 3 ในขณะที่ “คาร์โล” จะใกล้เคียงกับความรู้สึกจริงๆของตัวละครนั้นๆมากกว่า
แล้วก็ ในญี่ปุ่น คำนามนำหน้าสำหรับขุนนางจะมีแค่ ลอร์ด และ เซอร์ ก็เลยใส่ลอร์ดเข้าไป
นอกจากนี้ เป็นไปไม่ได้ที่แวมไพร์จะกลายเป็นเครือญาติกันเอง ยกเว้นต้นตอแวมไพร์จะเทเลือดให้ในปริมาณหนึ่ง และเพื่อความกระจ่าง เขาไม่ได้จูบกัน เขาแค่กัดต้นคอ
kloy1002 : แม้ว่าคุณนักเขียนจะบอกว่าบทคั่นก็เถอะ แต่เนื้อหาบทนี้ไม่ใช่บทคั่นเลยนะคะ! นี่มันเกี่ยวโยงกับเนื้อเรื่องหลักแบบมากกกกกกกกเลยนี่คะะะะะ
แล้วก็ด้วยความที่บทคั่นนี้ไม่ใช่มุมมองจากตัวฮิยูกิเอง ดังนั้นฮิยูกิจึงถูกแทนตัวว่า เธอ คะ
เมื่อไหร่ที่กลับไปเป็นมุมมองของฮิยูกิ ก็จะแทนตัวว่า ผม อีกครั้งคะ
เอาน่า อย่างน้อยความเป็นชายที่เหลืออยู่ 1% นั้นก็ยอมๆให้ไปเถอะเนอะ…
ขออภัยที่อาทิตย์ที่แล้วไม่ได้ลงนะคะ ชักจะเว้นช่วงเยอะไปแล้วสิเรา จะพยายามคะ!
{ไทยพาณิชย์ นางสาว ทยาธร อนันต์มานะ 162-246448-2}
สนับสนุนเป็นกำลังใจหรือจะเป็นค่าชานมไข่มุกให้คนแปลก็ได้ทั้งนั้นคะ (แต่ส่วนใหญ่น่าจะไปลงชานมหมด)
ขอบคุณสำหรับการอ่านจนถึงตรงนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่คะ
MANGA DISCUSSION