อ่านก่อนเสพ! ตอนนี้คุณคนเขียนงัดไม้เด็ด(ทางภาษา)ออกมาอย่างเต็มที่เลยคะ มีอ้างอิง มีชื่อท่าชื่อสกิลเยอะไปหมด ก็เลยขอจั่วหัวไว้ก่อนจะได้อ่านเข้าใจกัน
1. พี่เสือมีปีกของเราเป็นคนคันไซเจ้าคะ แต่แปลภาษาถิ่นไม่เก่งมากๆ เวลาอ่านก็ใส่เสียงเหน่อๆเข้าไปในหัวด้วยนะคะ
2. ทอพอโลยี เข้าใจง่ายๆว่ารูหนอนก็ได้ละมั้งคะ เอาตามตรงว่าคนแปลก็ไม่เข้าใจเจ้าคะ ฮื้อ
3. โตโตแคลซิโอ เป็นผู้จัดจำหน่ายตั๋วพนันบอลที่อิตาลีคะ น่าจะดังมากๆเลย
อื่นๆไว้ไปเจอกันตอนท้ายนะคะ
.
.
เสือมีปีกกำลังฮัมเพลงด้วยความสุขขณะที่วิ่งทะยานไปบนท้องฟ้าด้วยความร่าเริง 7 อสูรแห่งหายนะ ลำดับที่ 4 (ลำดับที่ 1 และ 2 ไม่ถูกนับรวม อันที่จริง มีลำดับที่ 0ด้วยนะ) – คุราชิ พุ่งเข้าใส่ทหารขี่ไวเวิร์นทั้ง 13 นาย ซึ่งเป็นที่รู้กันว่านี่คือกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรอมิเทียอย่างอาจหาญ
มังกรบินเลซเซอร์ไวเวิร์นนั้นมีขนาดใหญ่ราวสองเท่าของม้า แต่ขาหน้าถูกแทนด้วยปีกคล้ายค้างคาวแทน
และแม้ว่าพวกมันจะถูกกดดันด้วยศัตรูที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเองมาก แต่มันก็ทำตามคำสั่งของดรากูน(พลขี่มังกร)เป็นอย่างดี และปลดปล่อยการโจมตีใส่ศัตรู แฟลมแลนซ์(หอกเพลิง) – มันคือการพ่นไฟอุณภูมิสูงออกมาจากปากของมัน – จากระยะไกล
คุราชิเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศอย่างว่องไว – ด้วยการใช้อากาศเป็นที่รองอุ้งเท้าแทนที่จะใช้ปีก มันเคลื่อนไหวหลบการโจมตีได้ราวกับนักกายกรรมทั้งที่ไม่น่าเป็นไปได้ ทว่าเจ้าตัวไม่สามารถหลบทั้งหมดได้ และโดนเข้าไปจังๆประมาณ 2-3 นัด
“ฮึ่ม แค่อุ่นๆเน้อ พยายามหน่อยซิ๊!”
มาพร้อมกับคำให้กำลังใจ(?) ไวเวิร์นตัวที่ใกล้ที่สุดก็โดนเขาตะปบด้วยขาหน้าอย่างจัง
ด้วยวินด์คัตเตอร์(ใบมีดสายลม)ที่ถูกปล่อยออกมาแค่อันเดียวเท่านั้น ทั้งไวเวิร์นและผู้ขี่ก็ระเบิดกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลางอากาศในทันใด
“อ่อนแอจริงเน้อ กินข้าวครบมื้อบ่นิ?”
ระหว่างที่พึมพัมกับตัวเอง เขาก็หันหน้าไปหาไวเวิร์นอีก 4-5 ตัวที่รวมตัวกันอย่างเร่งรีบ และเว้นระยะให้ห่างจากเขา เขาคำราม – ยิงกระสุนอัดอากาศแรงสูงออกไป
คุราชิเมินเฉยกลุ่มนั้นที่แตกกระจายเหมือนบอลลูนน้ำในการโจมตีเดียว และพุ่งเป้าไปยังอีก 7 ตัวที่กำลังเริ่มถอยทัพ
แฟลมแลนซ์ถูกปล่อยออกมา รวมถึงกระสุนครอสโบว์จากดรากูนที่นั่งอยู่ด้วยเช่นกัน แต่จะให้หลบก็ยุ่งยากไปนิด เขาจึงห่อหุ้มปีกของตนด้วยเจ็ทสตรีม(แรงอัดลมเหนือเสียง) แล้วปัดการโจมตีออกไปทั้งหมด ก่อนจะพุ่งเข้าชนไวเวิร์นตัวหนึ่ง กลับตัวเป็นมุมฉากกลางอากาศ ใช้ปากคาบอีกตัวเอาไว้ และเคี้ยวไปพร้อมกันทั้งไวเวิร์นและผู้ขี่
“….หมาไม่แหล่กสุดๆ ทำเอาอยากรีบกลับไปกินทาโกะยากิลูกใหญ่ๆที่ร้าน [ทาโกยากิคธูลู]ที่ตลาดเลยเน้อ”
ไวเวิร์นที่เหลือรอดสูญเสียกำลังใจจะสู้ไปจนหมดและกำลังหนี พวกมันจึงกลายเป็นเป้าชั้นดีให้เขาพุ่งชน และจากนั้นก็จัดการเก็บงานที่เหลืออีกนิดด้วยการปล่อยวินคัตเตอร์จากขาหน้า แต่คราวนี้เขาปล่อยเพิ่มอีกครั้งเป็นทรงกากบาท มันหลอมรวมจนกลายเป็นเทอร์นาโดคัตเตอร์ และกระเด้งกระดอนไปมาระหว่างเป้าหมาย ทำลายทุกตนจนสิ้น
“อิหยังหว่า หมดแล้วหรอ ยังบ่พอเลยเน้อ..”
ขณะที่บ่นกับตัวเองแบบนั้น เขาก็ปลดปล่อยท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองออกมา แอร์เบิร์ส(ระเบิดวายุ) ไปที่ด้านหลังสุดของศัตรู ณ ค่ายหลักที่มีตัวทำหน้าหยิ่งยโสนั่งอยู่กันเต็มไปหมด เป่ากองกำลังหลักของศัตรูให้หายไปในทีเดียว และตอนนั้นเอง เวทสายฟ้าอันทรงพลังก็โจมตีเข้าให้ที่หลังของคุราชิ
“–นะ–อะไรเน้อ?!”
การโจมตีนั้นทรงมากจนเขาไม่สามารถเมินเฉยได้ เขารีบกระโดดหลบบนอากาศและหันมาหาผู้โจมตี
ผู้ที่โจมตีคุราชินั้น -คือคริสตัลแวววาวหลายเหลี่ยมที่มีความยาวกว่า 70 เมตร มันมีดวงตายักษ์อยู่ตรงกลางและหนวดที่งอกออกมาจากทั่วทั้งตัว – เขาคือหัวหน้าของ 13 นายพลปีศาจ ยอก โซธอท อิคารุ (นี่คือร่างหลักของเขา ปกติแล้วเขาจะอาศัยอยู่ในมิติเชิงทอพอโลยีและสื่อสารผ่านร่างอวตาร อุมุร แอทาล) เอ่ยปากตำหนิคุราชิด้วยความขุ่นเคือง
“มันจะมาเกินไปแล้วนะ ตาของเจ้าควรจะมีแค่พวกค้างคาวนั่นเท่านั้น แต่นี่เจ้าตั้งใจจะแย่งของของคนอื่นด้วยหรือไง?”
“คือว่า คุราชิอยากได้ศัตรูเก่งๆละเน้อ แต่เจ้าพวกนี้มันอ่อนแอเกินก็เลยเผลอไปนิด โทษทีเน้อ”
“ฮึ่ม ถ้าเจ้าเข้าใจแล้วก็รีบกลับเถอะ ยังมีคนรออยู่อีกมาก”
ได้ยินดังนั้น คุราชิเหลือบมองพรรคพวกที่รอรอบของตัวเองอยู่ที่ค่ายหลัก แต่ภาพที่เขาได้เห็นทำให้เขาต้องเอียงหัวด้วยความสงสัย
“–เน่ อิคารุ ทำไมองค์หญิงกระโดดกระเด๋งดีใจแบบนั้น แต่คนอื่นๆดูไม่พอใจเลยเน่อ”
“อา–” อิคารุตอบพลางมองไปที่เธอ “ข้าเบื่อนะ ก็เลยพนันกันว่าจะใช้เวลากี่วิในการฆ่าค้างคาวพวกนั้น และองค์หญิงคือผู้ชนะด้วยคำตอบ 43 วินะ”
“อะไรกันเด้อ ตอนคนอื่นสู้เสี่ยงชีวิตอยู่ พวกเจ้าดันสบายใจมาเล่นพนันกันเนี่ยนะ! …ว่าแต่ องค์หญิงที่เอาแต่บ่นว่าพวกเราขาดความจริงจังน่ะ จริง ๆ แล้วอาจจะเป็นคนที่ไม่เอาไหนที่สุดใช่ไหมเน้อ?”
“สำหรับองค์หญิงแล้ว นี่ก็ไม่ต่างจากเกมเกมนึงนั่นแหละ ไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่าเมื่อไหร่ ใช่ไหมละ?”
“อื้ม ก็จริงนะ สมเป็นองค์หญิงจริงๆเน้อ”
“ใช่แล้วละ”
“งั้นก็ ที่เหลือฝากด้วยละเน่อ– เต็มที่ละ”
กล่าวลาเช่นนั้น อิคารุก็มองส่งคุราชิที่กลับไปยังกลุ่มแสนรื่นเริงของเขา และมองลงไปเบื้องล่างที่มีมนุษย์ขยับไหวราวกับมดฝูงนึง
เพียงแค่โดนดวงตาใหญ่ยักษ์ของเขาจ้องมองก็ตื่นตระหนกกันไปหมด อิคาระอดถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจไม่ได้
เมื่อเทียบกับเหล่าเชื้อสายพระเจ้าที่เคยล้มตนได้ด้วยจำนวนเพียง10กว่าตน มนุษย์เบื้องล่างนี้ดูช่างอ่อนแอเสียจริง
“จะเอาจริงยังทำไม่ได้เลย หาข้าไม่ยั้งมือให้ดีพอ คงไม่เหลืออะไรให้คนต่อไปแน่”
◆◇◆◇
“เย้! คูปองกินฟรีในย่านการค้า 1 ปีเต็มเป็นของเรา!!”
ท่ามกลางตั๋วของผู้แพ้ปลิวไปมาทั่วสถานที่ และผมที่โพสท่ากำปั้นแห่งชัยชนะด้วยความตื่นเต้น มาโรโดะก็มองมาด้วยสายตาหมดความเคารพผ่านหน้ากาก
“..ดูสนุกดีจังนะครับ”
–อุ๊บส์ แย่ละ ไอ้ฉากที่ผมเห็นไปเมื่อกี้คงจะทำให้เขาซับซ้อนอยู่ในใจแน่ๆ แต่ผมก็เผลอลืมตัวไปซะได้โตโตแคลซิโอช่างน่ากลัวจริงๆ!
“มะ-มันเพราะคนเราต้องการสิ่งบันเทิงในชีวิตบ้างอยู๋แล้วไง”
“แต่จากการที่ข้าได้เห็นทุกคนตรงนี้ ดูเหมือนว่าท่านจะใช้ชีวิตไปพร้อมกับความบันเทิงมากกว่านะ…”
นั่นก็เป็นวิธีพูดที่เจ๋งอยู่นะ ว่าแต่ ผมมีเรื่องสงสัยอยู่อย่าง
“จะว่าไป คุราชิเป่าค่ายหลักไปซะแล้ว กองบัญชาการก็เลยหายไปด้วย แบบนี้ไม่ใช่ว่าสงครามจบตั้งแต่นาทีแรกเลยหรือเปล่า”
ก็นะ เจ้าพวกนี้ไม่ใช่พวกบ้าฆ่าเกลี้ยงกระทั่งผู้ที่ยอมแพ้นะสิ
ถ้านี่เป็นจุดสิ้นสุดได้เลยก็คงจะดี (แม้ว่าพวกผู้บัญชาการจะต้องรับผิดชอบซักหน่อยละนะ)
“ไม่หรอกครับ ผู้บัญชาการของกองทัพผสมนี่เป็นได้แค่ของประดับเท่านั้นแหละ ผู้บัญชาการคนปัจจุบัน เคาท์จีโอวานนี่ แอนโตนิโอเป็นพวกมือใหม่ไร้ประสบการณ์จริง ในเมื่ออำนาจสั่งการจริงอยู่ในมือของเหล่าขุนนางอื่นๆอยู่ จะมีหรือไม่มีกองบัญชาการก็ไม่ต่างกันครับ”
“ถ้าไม่มีอำนาจสั่งการ แล้วการประสานงานระหว่างกองทัพต่างๆจะเป็นยังไงละนั่น?”
“ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการประสานงานหรอกครับ พวกขุนนางแต่ละคนจะตัดสินใจกันเอาเองเพื่อปล้นทรัพย์หรือเพื่อผลงานเท่านั้นแหละ”
คำพูดเยาะเย้ยตัวเองนั่นทำเอาผมพูดไม่ออก
“ถ้าแบบนั้น มันแทบไม่ต่างอะไรจากพวกโจรหรือหัวขโมยเลยนี่!?”
“จริงๆแล้วก็ใช่แหละครับ ชื่ออาจจะต่าง แต่เนื้อในไม่ต่าง”
มาโรโดะหัวเราะแห้ง ฮะฮะฮะ
“–ถ้างั้น ต่อไปพวกกองทัพขุนนางจะแยกกันโจมตีสินะ”
ในตอนนั้นเอง ราวกับกระแสแสงระเบิดออกและพลุ่งพล่านไปทั่ว มันบดบังทุกสิ่ง ก่อนที่หน่วยกองทหารประจำการที่ตั้งอยู่ใกล้กับกองบัญชาการจะหายไปในพริบตา
นั่นมันสกิลพิเศษของอิคารุ ไดเมนชั่นสแลช (เฉือนมิติ)
ผมมีช่วงเวลาที่ยากลำบากกับสกิลนั่นตอนเล่นเกมมากเลยแหละ เพราะผมอ่านทางการโจมตีไม่ได้เลยซักนิด
“…นั่นมัน มากเกินไปหน่อยไหม นั่นลบกองทัพ 1 ใน 5 หายไปเลยนะ!?”
ก็น้า แต่นี่ก็ออมมือแล้วนะ
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ยังมีมากกว่า 30 ตนฝั่งเราที่คันไม้คันมืออยากจะออกไปสู้ แต่กองทัพศัตรูยังไงก็ไม่พอเนี่ยสิ
แล้วจะทำยังไงดี?
ก็ไปหาชดเชยจากที่อื่นก็ได้นี่
เมืองถัดไปก็มีมนุษย์อีกตั้งเยอะนี่นา
แล้วองค์หญิงเองก็กล่าวไว้ว่าจะกวาดล้างมนุษย์หลังจากจบสงครามเด็กเล่นนี่ด้วย
ถ้างั้น ต่อให้เราถล่มไปเลยก็ไม่เป็นไรสินะ!
–แย่แล้ว! เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นแหงะแซะ
แล้วเหงื่อเย็นๆก็หลั่งออกมาอย่างช้าๆ
“มีอะไรงั้นหรอครับองค์หญิง”
ผมเมินคำถามของเทนไกแล้วคิดในใจ
ตอนนี้การจะส่งเหล่านายพลโต๊ะกลมลงไปนะอันตรายแล้วละ(สำหรับศัตรูนะ!) เพราะงั้นผมต้องหยุดยั้งให้ได้โดยที่ทำให้เจ้าพวกที่ล้อมผมอยู่ตอนนี้ยอมรับได้ด้วย…
แต่การที่ผู้บัญชาการสูงสุดของศัตรูใส่พลังสมองทั้งหมดของตัวเองไปเพื่อทำให้พรรคพวกของตัวเองอ่อนแอ และลดความเสียหายของศัตรูให้มากที่สุดมันใช่ไหมเนี่ย?!
“อืมมม”
ในตอนที่ผมกำลังจมอยู่ในความคิดตัวเองอยู่นั้น มาโรโดะที่กำลังมองกองทัพฝ่ายตนที่ตั้งแถวเรียงอยู่ก็ถามขึ้นมา
“จากที่ข้าได้เห็นมา ดูเหมือนว่าเหล่านายพลจะสามารถรับมือศัตรูได้แบบไร้ปัญหาเลยนะครับ แต่แบบนี้เหล่ากองทัพที่จัดทัพมาจะมีความหมายอะไรไหมนะ?”
ก็ไม่มีความหมายอะไรหรอก.. อาจจะมีนิดนึงละมั้งนะ
ความจริงแล้วผู้ที่เข้าร่วมสงครามนี้ก็มีแต่ข้ารับใช้โดยตรงของผม เหล่านายพลโต๊ะกลม แล้วก็อาสาอีกนิดหน่อย ที่เหลือก็คือเหล่ามอนสเตอร์จากทะเลป่า เทือกเขามังกรขาว และดันเจี้ยนซากโบราณสถาน ที่ตอนนี้เป็นประชาชนมือใหม่ของอาณาจักรอิมพีเรียลคริมสันทั้งหมดประมาณ 1หมื่นตน
เหตุผลที่ผมพาสมาชิกโต๊ะกลมมาก็เพื่อให้ได้ปลดปล่อยบ้างหลังจากที่โดนทิ้งให้รอคอยและกลายเป็นสะสมความไม่พอใจ แล้วก็ผมกังวลด้วยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นถ้าผมยั้งมือเรื่องกองกำลังของพวกเรา แต่ในส่วนที่ว่าทำไมถึงเอาประชาชนมือใหม่มาไว้ที่นี่ ความเป็นจริงง่ายๆก็คือ เอาไว้เป็นหุ่นไล่กาให้อาณาจักรอมิเทียรับรู้ว่าเราจริงจังแค่ไหนละนะ
ให้เจ้าพวกนี้มาจัดตั้งกองทัพไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่า พวกเราจริงจังในการรวบรวมกองทัพนะ ฉะนั้นพวกนายก็ควรจริงจังด้วยเช่นกัน
ก็นะ ผมก็พามาพอเป็นพิธีเท่านั้นแหละ เพื่อที่ให้เจ้าพวกนี้แสดงความจงรักภักดีแล้วก็ได้รับค่าประสบการ์ณกันบ้างเท่านั้น (มอนสเตอร์จะวิวัฒนาการเมื่อได้รับค่าประสบการณ์จำนวนนึง)..แต่บางที อาจจะใช้เป็นประโยชน์ได้อยู่นะ?
“เทนไก”
“ครับ เรียกข้าหรอครับองค์หญิง”
“ความแข็งแกร่งของเหล่านายพลโต๊ะกลมนะน่าประทับดีนะ แต่ถึงอย่างนั้นศัตรูก็น่าเวทนาเกินไป”
“ครับ จริงดังท่านว่า”
“จะเอาดาบดีๆไปฟันหนูกระจ้อยร่อยก็ดูจะไม่มีประโยชน์ ถ้างั้นทำไมเราไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสมาชิกใหม่ของอิมพีเรียลคริมสันละ?”
คำพูดของผมทำให้เทนไกพยักหน้าเบา ๆ พร้อมครุ่นคิด “อืม…นั่นก็จริงนะครับ…”
“…ยังไงซะศัตรูก็ไม่ทำประโยชน์ให้ไปมากกว่านี้แล้วด้วย เพราะงั้นนี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้รับเกียรติในการยืนอยู่ในสนามรบเดียวกับองค์หญิงนะครับ”
โย๊ช ดูจะได้ผลดีเลยนี่นา ผลักดันอีกซักนิดก็ได้แล้ว
“ใช่ เราคอยเฝ้าดูสนามรบมาเสมอ แล้วเราก็ได้พบผู้ที่มีความโด่ดเด่นในนั้นมาโดยตลอด บางทีในศึกครั้งนี้อาจจะได้พบคนแบบนั้นอีกก็ได้”
“ครับ ดั่งที่ท่านต้องการ! เช่นดังที่ท่านว่าเลยครับองค์หญิง เทนไกผู้นี้ลืมเลือนเรื่องนั้นไปเสียสนิท ขออภัยด้วยครับ!”
เยี่ยมเลย! แบบนี้แปลว่าการทำลายล้างอยู่ฝ่ายเดียวจบลงแล้ว!
“–สุภาพบุรุษทุกท่านทุกคนได้ยินแล้วสินะครับ! ข้าเข้าใจว่านี้คงทำให้ทุกคนไม่พอใจ แต่ก็เป็นหน้าที่ของพวกเราเหล่าโต๊ะกลมเช่นกันที่จะต้องดันหลังคนรุ่นใหม่ๆ เปิดโอกาสให้พวกเขาแสดงฝีมือเถอะ!”
มีนายพลบางคนบ่นอยู่บ้าง แต่ก็ยอมรับได้ในทำนองว่า ช่วยไม่ได้ คนมันต้องดูแลรุ่นน้องเหมือนกันนี่นะ
“เช่นนั้น ส่งสารไปสู่เหล่าทหารที่รอคำสั่ง! บอกพวกเขาว่าเราคาดหวังในฝีมือพวกเขาอยู่!”
สิ้นคำของเทนไก เหล่าสมาชิกโต๊ะกลมก็ผ่อนคลายความตึงเครียดในทันที และเปลี่ยนเข้าสู่โหมดคุณพ่อ ดูทีวี จิบเครื่องดื่ม พูดคุยกันว่า “งั้นไปหาอะไรกินกัน แล้วก็ดื่มด้วยเลยมั้ย” แล้วก็ทยอยกันไปที่ร้านแผงลอยที่ย่านการค้า (ซึ่งดำเนินการโดยผู้เข้าร่วมที่ไม่ได้เป็นสมาชิกโต๊ะกลมในครั้งนี้) อย่างสบายอารมณ์
เช่นนั้นแล้ว การสู้รบครั้งต่อไประหว่างอาณาจักรอิมพีเรียลคริมสัน กับอาณาจักรอมิเทียก็กลายเป็นการศึกปะทะระหว่างทั้งสองกองทัพที่สับสนวุ่นวายและเต็มไปด้วยความโกลาหล
—
ข้อความจากผู้แต่ง
กองทัพของอมิเทียมีอยู่ 28,000 ในขณะที่กองทัพมอนสเตอร์ของอิมพีเรียลคริมสันมีจำนวน 10,000 ซึ่งถ้ามาคำนวนความแข็งแกร่งของโลกนี้คร่าวๆ
ตัวเลขที่เหมาะสมในการต่อสู้ด้วยคือ มอนสเตอร์ 1 ตัวต่อมนุษย์ 3 คน
อ่าห์ เป็นตอนที่อิงถึงหลายสิ่งเยอะมากๆเลยเจ้าคะ ปวดหัวที่สุดมากๆว่าจะแปลออกมายังไงให้เข้าใจดี สมองไหล 5555
ตอนหน้าก็จะโดนบทคั่นอีกแล้ว คนเขียนฮิยูกิช่างสรรหาบทคั่นมาคั่นช่วงกำลังสนุกได้เก่งตลอดเลยคะ ฮาาา
–ช่วงบ่น–
ชื่อสกิลแปลยากมาเลยเจ้าคะ เจ็ทสตรีม(แรงอัดลมเหนือเสียง) จากอิ้งคือ Supersonic Airflow ก็นั่งหาคำแปลไปประมาณเกือบสิบนาทีแนะ ฮาาาาา
ส่วนคำว่าเจ็ทสตรีมเป็นคำอ่านที่ผู้เขียนตั้งใจให้อ่านละ
แอร์เบิร์ส(ระเบิดวายุ) อันนี้ปวดหัวกว่าเจ้าคะ ท่าที่แกร่งสุดแท้ๆ ทำไมชื่อไม่อลังการเลยนะ… อิ้งเป็นแค่ Wind Explosion ด้วยซ้ำงะ T^T
ไดเมนชั่นสแลช (เฉือนมิติ) นี่ตรงตัว มาแปลง่ายเฉยเลยเจ้าคะ ทำไมกันนะ…
หมดช่วงบ่นแล้วคะ หากการบ่นตรงนี้ช่วยให้อมยิ้มได้ซักนิดก็ดีนะคะ ฮา
{ไทยพาณิชย์ นางสาว ทยาธร อนันต์มานะ 162-246448-2}
สนับสนุนเป็นกำลังใจหรือจะเป็นค่าชานมไข่มุกให้คนแปลก็ได้ทั้งนั้นคะ (แต่ส่วนใหญ่น่าจะไปลงชานมหมด)
ขอบคุณสำหรับการอ่านจนถึงตรงนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่คะ
MANGA DISCUSSION