ภายในรถม้าปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน
แล้วก็มีเหล่าทหารที่ขวางทางเอาไว้――ซึ่งที่จริงแล้ว คงเป็นนักฆ่าที่สภาขุนนางส่งมาละนะ เจ้าพวกนี้เต็มไปด้วยจิตสังหาร และชี้ปลายดาบมาเมื่อเห็นเจ้าชายอาชีล
“อยู่นั่นไง! เจ้าชายอาชีลคนทรยศ! ฆ่ามัน!”
“ถ้าฆ่ามันได้ จะขอรางวัลอะไรก็ได้เลยนะเว้ย!”
“ล้อมมันไว้! เอาผู้หญิงเป็นตัวประกัน!”
พวกมันตรงเข้ามาโจมตี และตะโกนอะไรทำนองนั้นออกมาด้วย
และ เจ้าชายที่ฉีกยิ้มก็พูดว่า
“เจ้าชาย? ไม่รู้หรอกนะว่าพูดถึงเรื่องอะไร แต่ข้าคือหน้ากากอัศวินลึกลับผู้คำนึงถึงบ้านเมืองต่างหากเฟ้ย!”
เขาดูสนุกเอาเรื่องเลยนะนั่น
ส่วนผมที่เผลอสนุกตามด้วยก็เลย
“เช่นกัน! นักดาบสาวลึกลับผู้ผ่านมาโดยบังเอิญ หน้ากากกุหลาบ มาแล้ว! ถ้าไม่อยากมีชีวิตต่อก็เข้ามา!”
ผมถึงขนาดโพสท่าเลยนะ
…อืม ตอนนี้ผมสำนึกผิดแล้วละ
เพราะการร่วมมือกันกับเจ้าชายอาชีล พวกเราก็เลยสามารถฝ่าฟันสถานการณ์นั้นมาได้อย่างง่ายดาย และในสภาพที่ยังสวมหน้ากากกันอยู่ เราก็หลบหนีออกจากโรงละครโอเปร่าซึ่งกลายเป็นเขตแดนของศัตรูได้สำเร็จ
ผมรีบพาแองเจลิก้าขึ้นรถม้าที่ลอร์ดคาร์โลเตรียมไว้ และเป็นคนขับด้วยตัวเอง จากนั้นก็สั่งให้มิโคโตะสกัดกั้นคนที่ไล่ตามมา –ดูท่าว่าเธอคงจะอัดอั้นไม่น้อยระหว่างที่คุยกับเจ้าชาย เพราะเธอดูพึงพอใจสุดๆ– เราตัดสินใจหลบหนีออกจากเมืองหลวงชั่วคราวระหว่างที่มิโคโตะเผชิญหน้ากับคนที่ไล่ตามมา (หรือจะเรียกว่ากวาดล้างพวกนั้นทั้งหมดก็คงไม่ผิด)
..บางครั้งก็ได้ยินเสียงระเบิดหรือแสงวาบมาจากข้างหลัง แต่คงจะมีใครซักคนจุดพลุเล่นอยู่แน่ๆ
จะว่าไปแล้ว จุดหมายของพวกเราตอนนี้ถูกเปลี่ยนไปจากเดิม และเรากำลังมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบฟูลเวีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของรีสอร์ทของราชวงศ์
และเพราะนี่มันเป็นตอนกลางคืน ที่เราไม่สามารถหาม้ามาเปลี่ยนได้ พวกเราจึงต้องเดินทางด้วยความเร็วที่ช้ากว่าปกติ แต่เจ้าชายอาชีลคิดว่าเราน่าจะไปถึงได้ภายในคืนนี้
เนื่องจากผมมีบัตรผ่านที่สามารถรบกวนบาเรียอยู่เพียงใบเดียว ในตอนที่จะออกจากเมืองหลวง มิโคโตะที่ตามมาทีหลังจะบินขึ้นสูงไปบนฟ้าที่บาเรียน่าจะไปไม่ถึง แล้วค่อยมาสมทบกับเรา ผมบอกสถานที่คร่าวๆเธอไปแล้ว และเมื่อเจ้านายกับสัตว์รับใช้ห่างกันในระยะหนึ่งก็จะสามารถรับรู้สถานที่ของกันและกันได้ เพราะงั้นนี่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้วละ
ตอนที่มิโคโตะหลบหนี ถ้ามีบาเรียป้องกันเหนือเมืองหลวงจริงๆก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเธอหรอก เพราะก็คงเป็นเหมือนการทำลายฟองสบู่นั่นแหละ ไม่ต้องกังวลใดใด ต่อให้จะเกิดความวุ่นวายขึ้นพวกเราก็หนีออกมาเรียบร้อยแล้วด้วย
หลังจากที่ได้พักซักครู่ ผมกับเจ้าชายอาชีลก็ถอดหน้ากากออกและนั่งเงียบๆ –ใบหน้าของแองเจลิก้ายังคงซีดเพราะตกใจจากการถูกโจมตี ส่วนเจ้าชายอาชีลก็โอบไหล่น้องสาวเพื่อปลอบโยนเธอ และผมที่นั่งตรงข้าม จ้องมองทั้งสองคนเงียบๆ– ไม่นานนัก เจ้าชายอาชีลคงจะทนความเงียบและสายตาของผมไม่ไหว เขายักไหล่ในท่าทางดูขี้เล่น
“มีอะไรงั้นหรอ องค์หญิงฮิยูกิ? ถ้าท่านทำคิ้วขมวดแบบนั้น ใบหน้าที่งดงามดั่งดอกไม้ของท่านจะเสียหมดนะ”
“….คงประมาณ 3 ต่อ 7 ล่ะมั้ง”
“――หืม?”
“ก็จำนวนศัตรูที่กำจัดไปก่อนที่จะขึ้นรถม้าไง ห่างกันพอตัวเลยนะ”
“อ๊ะ ไม่ขนาดนั้นหรอก น่าจะเป็น 5 ต่อ 5 มากกว่า หรือไม่ก็เพราะพวกมันตั้งใจจะเอาหัวข้าเป็นเป้า เลยอาจจะมีมากกว่าที่คิดไปซักสองสามคน… ว่าแต่เจ้าหญิงฮิยุกิ ทำไมท่าทางการพูดของท่านถึงเปลี่ยนไปล่ะ?”
“ก็นั่นไม่ใช่วิธีพูดที่ข้าถนัดนี่ แล้วก็ ถึงข้าจะแพ้เรื่องจำนวนคน 4 ต่อ 6 ก็ยังพอรับได้ แต่นั่นมันอะไรละ? ขณะที่ข้าต่อสู้อยู่ เจ้ายังมีสติมากพอที่จะไม่ฆ่าทุกคน แถมคอยระวังไม่ให้พวกนั้นตายด้วย? –บวกตรงนั้นเข้าไป ก็เป็น 3 ต่อ 7 นั่นแหละ”
“อ่า ข้าไม่คิดว่าข้าจะมี ‘สติ’ อะไรขนาดนั้นหรอกนะ.. พวกเขาเป็นพลเมืองของอาณาจักรนี้ และพวกเขาก็แค่ทำตามคำสั่งจากสภาขุนนาง”
เจ้าชายอาชีลยิ้มเขินเล็กๆ
“เฮ่อะ เราไม่รู้หรอกนะว่าเป็นเงินทองหรือชื่อเสียง แต่คนพวกนั้นเป็นประเภทที่เอาชีวิตคนอื่นมาจ่าย เราว่ามันสมควรถูกฆ่าแล้วละ ตั้งแต่วินาทีที่พวกมันเลือกอาชีพแบบนี้ ก็ไม่เหลือหนทางให้ปกป้องได้อีกแล้วละ ให้หายๆไปซะยังจะดีกว่าด้วยซ้ำ – จะว่าไป นายเองก็เคยปลิดชีวิตนักฆ่า 8 คนตอนอายุ 11 ขวบไม่ใช่หรอไง?”
“…อ่า ตอนนั้นข้าก็เพียงมุ่งมั่นปกป้องอันเจลิก้าน้องสาวของข้าเท่านั้น ข้าไม่เสียใจเลยที่สามารถปกป้องนางไว้ได้”
เขาถอนหายใจยาวหนึ่งครั้งก่อนจะเอ่ยต่อ
“แต่ว่าหลังจากนั้น ข้ากลับเสียใจมาโดยตลอด ว่าความสัมพันธ์ที่ต้องฆ่ากันเช่นนี้ คือสิ่งที่มนุษย์ควรเป็นอย่างนั้นหรอ และที่ข้าปล่อยให้แองเจลิก้าน้องสาวของข้าได้เห็นสิ่งอันโหดร้ายนั้น เป็นเพราะความอ่อนแอของข้าเอง ดังนั้น ข้าจึงมุ่งมั่นที่จะปกป้องอันเจลิก้าอย่างแท้จริง เพื่อให้ข้าได้มีพลังที่จะแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ดียิ่งกว่า และความงดงามในโลกนี้”
เมื่อเห็นดวงตาที่แน่วแน่ของเขา ผมก็เงียบไป
ไม่ใช่ว่าผมถูกกดดันหรือไม่มีคำที่จะโต้แย้งหรอกนะ เพียงแต่ รู้ว่าพูดไปมากกว่านี้ก็คงเปล่าประโยชน์ เพราะสุดท้ายเราสองคนก็จะไม่เข้าใจกันอยู่ดี—ว่าแต่ เอาจริงหรือ? พอถูกพูดแบบนั้นแล้ว กลายเป็นว่าผมที่อยู่ข้างๆ และฟันคนเหมือนหั่นหัวไชเท้า ก็เหมือนฆาตกรเลือดเย็นไร้หัวใจไปเลยนะเซ่!?
“–กะแล้วว่านี่มันไม่ตลกเลยซักนิด”
“ถ้าท่านจะพูดอย่างนั้น.. ข้าลำบากใจเลยแฮะ จะทำยังไงให้ท่านอารมณ์ดีขึ้นได้กันละ”
คำพูดของเขาทำให้ผมนิ่งคิด
แน่นอนว่าตัวตนเหตุที่ทำให้อารมณ์ของผมไม่ดีเป็นเพราะเจ้าชายผู้สบายใจเกินเหตุคนนี้
ถ้างั้น จะให้ดีที่สุดก็มาพูดคุยกันด้วยวิถีของประเทศเราแล้วกันนะ
“จริงสิ ตอนนี้เราอยู่ไกลจากเมืองมากแล้ว และยังไม่มีใครไล่ตามมา บริเวณรอบข้างก็เป็นทุ่งรกร้างไร้ผู้คน แม้จะแอบมืดไปสักหน่อย แต่เรื่องนั้นเราสองคนคงจัดการได้ไม่ยาก ถ้าอย่างนั้น ลงรถไปประลองกันซักหน่อยดีไหมล่ะ?”
เมื่อได้ยินผมเสนอออกไป แองเจลิก้าถึงกับกลั้นหายใจ
ส่วนเจ้าชายอาชีล เขาทำสีหน้ายุ่งยากแล้วกอดอก
“..ไม่ใช่ว่าเราตกลงกันว่าจะประลองวันหลังหรอกหรอ?”
“ก็แค่อยากลองๆประมือเท่านั้นแหละ ไม่ได้จะเอาถึงตายซักหน่อย แค่รู้สึกว่าจะไม่พอใจไปจนกว่าได้ประเคนหมัดใส่หน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนของเจ้าซักทีนะ”
“ถ้าข้าทำให้ท่านหญิงไม่พอใจ ข้าพร้อมจะรับการตบหน้าข้าซักครั้งสองครั้งจากท่านเลย…ท่านไม่พอใจหรือ?”
“ถ้าข้าตบท่านไปตามข้อเสนอนั่น ก็เหมือนผู้หญิงที่อาละวาดด้วยอารมณ์สิ ข้าไม่พอใจไปจนกว่าจะได้ลงมือกับท่านภายใต้เงื่อนไขที่เท่าเทียม”
“ข้าไม่เข้าใจความแตกต่างเท่าไหร่นะ.. แต่คงไม่มีทางเลือกสินะ”
เจ้าชายอาชีลทำสีหน้ายอมแพ้ ก่อนจะยื่นหัวออกไปนอกหน้าต่างเพื่อบอกคนขับรถ ลอร์คคาร์โลให้หยุดจอดข้างทางซะ
◆◇◆◇
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านผืนดินอันรกร้างอย่างเงียบงัน
แองเจลิก้าและท่านคาร์โลมองมาทางนี้ด้วยความเป็นห่วง แม้ว่าแสงจากโคมไฟบนรถม้าที่จอดอยู่ห่างออกไปเพียงเล็กน้อย คงไม่สามารถส่องมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทางนี้ได้ชัดเจนนัก
“ท่านยังสวมชุดเดรสสุดเด่นนั่นอยู๋เลย แน่ใจหรือว่าจะไม่เป็นไร?”
คำถามที่เปล่งออกมาจากอาซิลเจ้าชายซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปประมาณ 5 เมตร เขาเองก็ยังคงสวมชุดหางนกยูงที่เตรียมไว้สำหรับงานเต้นรำอยู่เลย
“ไม่ต้องห่วงน่ะ เราคุ้นเคยดี”
…….
อืม ถึงผมจะพูดเองก็เถอะ แต่ผมก็คุ้นกับการใส่กระโปรงเข้าจริงๆแล้วสิ รวมถึง กระโปรงพริ้วไหว หรือแม้แต่ความโปร่งโล่งแบบนี้ด้วย
อันที่จริง ตั้งแต่เกิดใหม่มาเป็นฮิยูกิ ผมยังไม่เคยได้ใส่กางเกงเลยสักครั้ง
…จะไม่เป็นอะไรใช่ไหมนะ ชักเริ่มกังวลเรื่องตัวเองขึ้นแล้ว
「งั้นหรือ ถ้างั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ」
อาซิลเจ้าชายพูดพลางตั้งท่า พร้อมกับ [ดาบวายุ] ที่z,ได้มอบให้เขา
「――แบบนั้นเจ้าจะเอาชนะเราได้หรอไง? เอาจริงเถอะ」
ทันใดนั้น บนใบหน้าของเจ้าชายก็ปรากฏรอยยิ้มแห้งๆขึ้น
「…ท่านรู้ด้วยหรอ?」
อีกครั้งนึง เจ้าชายตั้งท่าดาบใหม่และหลับตา เขารวบรวมพลังเวทย์ในร่างกาย ขณะพูดออกมาเสียงเรียบๆ โโยที่ไม่อาจรู้ได้ว่าคำพูดนั้นเป็นคาถาหรือเป็นการสะกดจิตตัวเองกันแน่
『ข้าไร้คู่ต่อสู้ ข้าไม่มีศัตรูที่สามารถต่อต้านดาบของข้าได้…――การโจมตีของข้าจะทำลายศัตรูตรงหน้าจนสิ้นซาก!!』
เผ่าพันธ์: มนุษย์ (นักดาบเวทย์)
ชื่อ: อาชีล โกลด อมิเทีย
อาชีพ: เจ้าชายลำดับที่สามแห่งอาณาจักรอมิเทีย / นักผจญภัยแห่งอาณาจักรอมิเทีย (แรงค์ S)
พลังชีวิต (HP): 21,500 → 70,950
พลังเวทย์ (MP): 9,200 → 30,360
“โอ้ นี่มัน… สมกับเป็นแรงค์ S เลยนะ ในสภาพนี้เจ้าคงใกล้จะถึงขีดจำกัดของมนุษย์แล้ว”
แต่ก็ยังถือว่าเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาเท่านั้นล่ะ
แม้จะต้องยอมรับว่า ผมอาจจะประเมินเขาต่ำไปหน่อย ตอนแรกที่เห็นสเตตัสเริ่มต้นผมก็คิดว่า แค่นี้เอง
“ข้ารับนั่นเป็นคำชมได้สินะ?”
“อืม จริงๆ แล้วตอนที่ได้ยินว่าเป็นนักดาบเวทย์ ข้าคิดว่าเจ้าจะใช้เวทย์ร่วมกับดาบเสียอีก แต่เจ้ากลับเลือกที่จะเสริมความแข็งแกร่งทางร่างกายแทน ก็ตรงๆดีนะ เอาเถอะ ถ้าเจ้าตีข้าได้ตอนนี้ ก็คงจะสามารถทำให้ข้าบาดเจ็บได้ล่ะนะ”
“ถ้าตีได้อย่างนั้นหรอ?”
“อื้ม ถ้าโดนละนะ – เอาละ ข้าไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ไม่ว่าจะเจ็บเจียนตายหรือไม่ แค่เรา หรือมิโคโตที่กำลังตามมาก็สามมารถรักษาได้แบบไม่เหลือรอยแผล เพราะงั้นก็ไม่ต้องเก็บเหนียมไว้ละ」
ผมพยักหน้าและตั้งท่าดาบวารีไว้ในมือ
「เข้าใจละ ได้ยินแบบนั้นก็สบายใจหน่อย…—งั้น ข้าจะไปแล้วนะ」
ทันทีที่คำพูดหลุดออกจากปาก เจ้าชายอาซิลก็เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจากท่าทางที่ไม่มีท่าทีใดๆ เขาใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการลดระยะห่างให้เหลือ 0
พร้อมกันนั้น ด้วยท่วงท่าอันเจิดจรัส ใบดาบตัดผ่าแสงสลัวสะท้อนเป็นเส้น กวาดลงมาอย่างไร้ความปราณี หวังจะผ่าผมให้กลายเป็นสองท่อน
ถ้าถามว่าทำไมแปลช้าทั้งๆที่หายไข้แล้ว คะ-คือว่า..
น้องๆน่ารักมาก วิ่งไปทั่วเพื่อหวีน้องๆไม่ได้ทำอะไรเลยเจ้าคะ!
{ไทยพาณิชย์ นางสาว ทยาธร อนันต์มานะ 162-246448-2}
สนับสนุนเป็นกำลังใจหรือจะเป็นสนับสนุนค่าเติมเกมก็ได้นะคะติดหนักมาก มือสั่นอยากจะกดเปย์เหลือเกินเจ้าคะ
ขอบคุณสำหรับการอ่านจนถึงตรงนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่คะ
MANGA DISCUSSION