ราชอาณาจักรอมิเทียเป็นประเทศที่มีขนาดกลาง (อันที่จริง ถ้าไม่นับรวมมหาอำนาจทั้งสาม ได้แก่ จักรวรรดิ สหพันธ์ และราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์แล้ว ประเทศอื่นๆก็มีขนาดใกล้เคียงกันทั้งนั้น) โดยมีตำแหน่งที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกของทวีป ด้วยดินที่อุดมสมบูรณ์และสภาพอากาศที่อบอุ่น ทำให้การเกษตรและปศุสัตว์เจริญรุ่งเรือง และประเทศนี้ยังมีผลผลิตที่มากกว่าการบริโภคภายในประเทศหลายเท่าเมื่อเทียบกับพื้นที่และจำนวนประชากร และยังเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรรายใหญ่ที่สุดในบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เป็นประเทศที่ขาดไม่ได้ในฐานะครัวของภาคตะวันตก
ในอดีต มีสงครามรุกรานเพื่อพยายามยึดครองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์นี้ขึ้น แต่ด้วยกลยุทธ์ทางการทูตกับแต่ละประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้อาณาจักรไม่เคยประสบกับสงครามเต็มรูปแบบเลย ยกเว้นการปะทะกันเล็กๆ น้อยๆ เป็นเวลานานกว่า 80 ปี และหากไม่นับการโจมตีของสัตว์ประหลาดเป็นครั้งคราว การจะบอกว่าประเทศนี้สงบสุขก็ไม่ใช่การอวดแต่อย่างใด
ในคืนนี้ที่โรงโอเปร่าภายในเมืองหลวงคาร์เดียของอาณาจักรอมิเทีย มีเหล่าขุนนางและคนรวยที่แต่งตัวกันอย่างหรูหรามารวมตัวกันภายใต้งานเต้นรำสวมหน้ากาก
เดิมทีงานเต้นรำสวมหน้ากากนั้นเป็นสิทธิ์ของราชวงศ์เท่านั้น แต่เมื่อยุคแห่งความสงบสุขดำเนินมาเรื่อยๆ ประชาชนเองก็สามารถเข้าถึงงานประเภทนี้ได้เช่นกัน (แม้จะมีข้อแม้ว่าต้องมีเงินและมีฐานะทางสังคมระดับนึงก่อนถึงจะเข้าร่วมได้ก็ตาม)
ผู้เข้าร่วมมีตั้งแต่ขุนนางไปจนถึงพ่อค้าหน้าใหม่ ในบางครั้งก็มีเหล่าราชวงศ์ที่ไม่เปิดเผยตัวตนหรือขุนนางจากต่างชาติมาเข้าร่วมด้วย ดังนั้น โดยปกติแล้วผู้เข้าร่วมงานทั้งชายและหญิงจึงจะจับตาดูคู่เต้นของตนอย่างใกล้ชิด ค้นหาตัวตนของคนที่อยู่หลังหน้ากากนั้น และพากันไปพูดคุยนอกงานเต้นรำ
ทว่าในวันนี้ กลับมาคู่เจ้านายละข้ารับใช้คู่หนึ่งที่ทำลายธรรมเนียมของงานไปจนหมดด้วยการปรากฏตัวแสนอลังการ
ท่านหญิงคนนั้น เพียงแค่ยืนเฉยๆก็โดดเด่นและน่าเกรงขามขึ้นมาแล้ว
เมื่อเหลือบตามองเธอ เธอดูน่าจะเป็นเด็กสาวในวัยแรกรุ่น ด้วยเรือนร่างเว้าโค้งจนถึงเอวจากชุดเดรสรัดรุปสีดำ ที่เน้นให้เอวของเธอดูบางขึ้นไปอีกเป็นกระโปรงพลิ้วไหวและบานออกในช่วงล่าง ดอกกุหลาบสีแดงที่ดูราวกับของจริงประดับไปทั่วเรือนร่างของเธอ หน้ากากปีศาจสีแดงปิดบังใบหน้าครึ่งบนของเธอเอาไว้ ชวนให้เพ้าฝันถึงใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งด้านหลังหน้ากากนั้น เรือนผมสีดำยาวจนถึงเอว ผิวเปล่งประกายไร้ริ้วรอยแม้แต่นิด แก้มเปล่งปลั่งทำให้พอจะจินตนาการได้ว่าใบหน้าของเธองดงามเพียงใด..เพียงมองก็ต้องครำครวญถึง ว่าเธอคนนี้แหละคืองานศิลปะมีชีวิตจริงๆ
ที่ด้านหลังของเธอคือข้ารับใช้หญิง อายุราวๆ17-18ปี สวมเดรสยาวสีน้ำเงินอ่อน ผู้มีเรือนผมสีแพลตตินั่มบลอนด์และผิวฉ่ำน้ำไร้ที่ติ หน้ากากสีขาวปิดบังใบหน้าของเธอทั้งหมดเหลือเพียงจมูกลงมา แต่เพียงแค่นั้นก็จิตนาการออกแล้วว่าเธอช่างเป็นหญิงงามไร้ที่ติอีกคน
เพราะทั้งคู่มาด้วยกัน และความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดต่างจับจ้องไปที่ทั้งสองคนตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามา แต่ทว่าทั้งสองกลับดูไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง –เพราะเครื่องประดับที่สวมใส่อยู่ไม่ใช่แค่ของชั้นหนึ่งเท่านั้น กลับกับ มันสามารถนับว่าเป็นสมบัติของชาติได้เลย ดูแว็บเดียวก็รู้ว่านี่เป็นองค์หญิงจากประเทศมหาอำนาจกับข้ารับใช้ของเธอที่เข้าร่วมแบบไม่เปิดเผยตัวตนแน่ๆ– ทุกคนต่างมองจากที่ไกลๆ กระซิบกระซาบต่อกัน แต่ไม่มีซักคนที่กล้าพอจะเข้าไปทักทั้งคู่
◆◇◆◇
“จะว่าไงดี งานเต้นรำสวมหน้ากากนี่น่าเบื่อกว่าที่คิดนะ”
ผมคิดว่ามันน่าจะอลังการแบบใช้ไฟจากเวทย์มนต์ไรงี้ แต่ว่ามันก็เป็นแค่การเต้นรำใต้โคมไฟระย้าแบบดั้งเดิม ก็เลยทำให้รอบข้างดูมืดๆทึมๆไปซะหมด (แม้ว่าไม่ใช่ปัญหาสำหรับดวงตาของเจ้าหญิงแวมไพร์อย่างผมก็ตาม) แต่มันก็ทำให้ดูเหมือนผีเต้นรำกันในบ้านผีสิงมากกว่า
พอลองถามความเห็นจากมิโคโตะ –แน่นอนว่าปีเซราฟิมถูกซ่อนเอาไว้– เธอก็เอียงคอนิดๆ
“คิดว่าปกตินะคะ? แม้จะเรียกว่างานเต้นรำก็เถอะ แต่ก็เป็นสถานที่ให้ทั้งชายและหญิงมาสนุกสนานกันอย่างเปิดเผยได้นะคะ”
“งั้นสินะ”
ภายใต้แสงสลัวที่ไฟจากโคมระย้าส่องไม่ถึง(ผมบอกอยู่เสมอว่าผมเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน) ผมก็ได้เห็นชายหญิงหลายคู่กำลังทำอนาจารกันอย่างเปิดเผย (ผมจะไม่พูดออกมาหรอกนะว่าทำไปถึงขั้นไหน แต่ถ้าจะขนาดนี้ก็ช่วยหาห้องแยกทีเถอะ) และเริ่มจะเสียใจที่รีบมาซะแล้วสิ
แล้วเมื่อไหร่คู่เต้นรำของผม เจ้าชายลำดับที่ 3 จะมาถึงซะทีนะ
หรือเขาจะไม่เห็นผม?
ผมคิดว่าตัวผมเองน่าจะเป็นที่สังเกตได้ง่ายมากอยู่นะ แต่ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ที่ผมไม่ได้โดดเด่นขนาดนั้น ไม่ก็ดูธรรมดาเกินไป
“…ให้ตายเถอะ เราใช้เวลาทั้งคืนฝึกเต้นเลยนะ”
“ท่านอยากเต้นรำหรอคะองค์หญิง?”
มิโคโตะเอียงหัวด้วยความสงสัย
“ไม่หรอก แต่เราเป็นคนขี้งกนิดหน่อยนะ ในเมื่อสามารถใช้ได้ ถ้าไม่ใช้แล้วเสียดายของนะสิ”
“อย่างนั้นหรอคะ? แต่ว่า ช่างเป็นการไม่ให้เกียรติเลยที่เรียกท่านมาแล้วให้รอแบบนี้นะคะ”
“อืม จริงๆก็ๆไม่ได้กำหนดเวลาที่แน่นอนมาด้วยละนะ เพราะงั้น.. จะว่าไป มิโคโตะ อย่าได้เข้าไปหาเรื่องเจ้าชายนั้น แม้จะมาสายก็ตาม”
ถ้าจู่ๆก็จะพุ่งเข้าไปฆ่ากันโดยไม่มีเหตุผล ก็จะไม่สามารถตกลงกันได้อีก
ได้ยินดังนั้น มิโคโตะก็ถอนหายใจด้วยความเซ็งนิดๆ
“ข้าไม่ใช่ท่านเทนไทคะ ไม่มีทางที่ข้า ในฐานะผู้รับใช้ของท่าน ไม่มีทางจะละเลยความต้องการขององค์หญิงและกระทำตนไม่ใส่ใจได้ –ท่านคิดว่าข้าที่อยู่กับท่านมามากกว่า 100 ปีจะเป็นแบบนั้นงั้นหรอคะ”
เดี๋ยว 100ปีเลยหรอ.. มันก็แค่ 3-4 ปีอย่างมากเองนะ?
“แต่ถ้าเป็นคำสั่งขององค์หญิง ข้าจะไม่ลังเลแม้เสี้ยววิที่จะลงโทษเจ้าคนหยาบคายคนนั้นให้ถึงที่สุด..”
ไม่สิ ลังเลหน่อยเถอะ!
แย่ละสิ แม้ว่ามิโคโตะจะดูปกติที่สุดในหมู่พวกเรา แต่โดยพื้นฐานแล้วก็เป็นสายบวกอยู่ดี
“จะว่าไป”
มิโคโตะเหลือบมองหน้าผม –จริงๆคือที่หน้ากาก– แล้วพูดว่า
“องค์หญิง ท่านชอบหน้ากากนี่หรอคะ? ข้าได้ยินว่ามีคนใส่หน้ากากคล้ายๆกันไปที่ร้านราเมงในปราสาทด้วย”
“นะ-นั่นมันเรื่องอะไรละนั่นนะ..?”
“ไม่ทราบสิคะ เป็นข่าวลือไร้ที่มานะคะ”
“อ-อ๋อหรอ”
โดนเห็นเข้าให้แล้ว
แล้ว เด็กหญิงผมสีบลอนด์ที่สวมชุดสีชมพูอ่อน ความสูงใกล้เคียงกับผม เดินเข้ามาหาช้าๆ เธอจับกระโปรงด้วยมือทั้งสองอย่างเบามือ ก่อนจะโค้งคำนับได้ต่างจากผมที่มั่วๆเอา (การทักทายที่ไขว้ขาไปข้างหลัง และขาอีกข้างย่อลง)
“สายัณห์สวัสดิ์คะ ชุดของท่านงดงามมากเลยนะคะ”
“สายัณห์สวัสดิ์ ชุดของเธอก็งดงามดีนะ เหมาะกับเธอมาก”
ผมทักทายกลับไปในท่าทางเดียวกัน แถมพูดเป็นทางการด้วยนะ
แล้วเธอก็มองจ้องหน้าผมแบบไม่ละสายตา (ใบหน้าของเธอมีหน้ากากบังเอาไว้ ผมก็เลยมองไม่เห็น แต่ดวงตาของเธอเป็นสำน้ำเงิน) และถามด้วยความสนใจอย่างมาก
“คือว่า ข้าสงสัยนะคะ ข้าคิดว่าท่านหญิงน่ารักแบบท่านดูไม่เหมาะกับหน้ากากน่ากลัวแบบนี้เลย ก็เลยคิดว่ามีความหมายอะไรอยู่ไหมนะคะ?”
ข้างหลังนั้นก็มีมิโคโตะที่พยักหน้าหงึกหงักว่า “ใช่เลยคะ”อยู่ด้วย ..อา ไม่ได้รับความนิยมเลยน้า ทั้งๆที่เป็นแรร์ไอเทมจากกาชาเชียวนะ
“อืม ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรหรอกนะ.. อันที่จริง เรานัดหมายกับคนๆนึงเอาไว้ แล้วเราก็เลยเลือกหน้ากากนี่มาเผื่อที่จะได้จำกันได้ง่ายๆนะ”
ก็เพราะผมเป็นองค์หญิงจากอาณาจักรมอนสเตอร์ ผมคิดว่าทำแบบนี้น่าจะเดากันได้ง่ายขึ้นอะนะ
แต่ว่า พอผมบอกออกไปแบบนั้น เด็กหญิงคนนั้นดูท่าทางตกใจเอามาก และเอามือปิดปากเล็กๆน่ารักของเธอ
“โอ้ ตายละ!พี่ชา.. ไม่สิ คนคนนั้นหยาบคายใส่ท่านแบบนั้นงั้นหรือ?!”
“อา ไม่ไช่ๆ เป็นการตัดสินใจของเราเองต่างหาก คนนั้นบอกวันและสถานที่มา แต่ไม่ได้บอกเสื้อผ้าหรือจุดสังเกตุมานะสิ เราก็เลยตัดสินใจว่าทำแบบนี้คงทำให้คนนั้นเข้าใจง่าย –เราเป็นบ้านนอกมาจากหลังเขานะ ขออภัยด้วยนะถ้ามันทำให้เธอลำบากใจ”
“ไม่หรอกคะ ข้าแค่สงสัยนิดหน่อยเท่านั้น แต่การที่เรียกท่านมาแล้วไม่บอกจุดเด่นสำคัญให้ช่างไม่เหมาะสมจริงๆคะ”
ได้เห็นสาวน้อยโกรธแทนราวกับเป็นเรื่องของตัวเองก็ทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้
“นั่นสินะ เราเองก็คิดอยู่ว่าจะไปแล้วเหมือนกัน”
“อย่างนั้นหรอคะ..” เธอพยักหน้าแล้วพูดว่า “เอ่อ ถ้าอย่างนั้น ท่านไปนั่งคุยกับข้าที่ห้องอื่นซักหน่อยไหมคะ?”
เอ๋? ผมมองกลับไปที่สาวน้อยคนนั้น
“คือว่า จริงๆแล้วพี่ชายมาข้ามาที่นี่นะคะ แต่ไม่มีใครที่พอจะมีอายุใกล้เคียงกับข้าเลย มันน่าเบื่อนิดหน่อย
ข้าก็เลยลองทักท่านดู คุยกับท่านนิดหน่อยข้าก็รู้สึกสนใจแล้วคะ ท่านจะช่วยไปเป็นเพื่อนคุยกับข้าซักพักได้ไหมคะ?”
เด็กหญิงแสดงท่าทางเขินอาย แต่ดวงตาของเธอเป็นประกายวิบวับไปด้วยความตื่นเต้นระหว่างที่เธอขอร้องผม
…เฮ้อ ผมไม่ชอบเลยแฮะ คนจำพวกหัวกลวงที่อ่านบรรยากาศไม่เป็นแล้วก็ลากใครๆเขาไปตามที่ตัวเองต้องการนะ
บางทีผมอาจจะหลอนไปเอง แต่รู้สึกเหมือนเคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยแฮะ…
“อ่า ถ้าแค่นิดเดียว..”
ผมพยักหน้าไปแบบไม่ทันรู้ตัว โอ๊ะโอ ผมทำอะไรลงไปเนี่ย?
“ดีใจจังเลยคะ! ว่าแต่ ขออภัยที่เสียมารยาทนะคะ แต่ท่านอายุเท่าไหร่หรอคะ? ข้า 12 ปีแล้วคะ”
“เอ่อ 13 น่าจะนะ”
ตามเซตติ้งอะนะ!
“อ๋อ อายุมากกว่า 1 ปีสินะคะ– อืม จะเป็นไรไหมคะถ้าข้าจะเรียกท่านว่า โอนี่ซามะ?”
เด็กหญิงถามด้วยความตื่นเต้น
เด็กนี่มันอะไรเนี่ย? น่ารักเกินไปแล้ว
“เอ อื้ม ถ้าเธอโอเคละก็”
ผมปฏิเสธไม่ได้เลยครับ
“งั้น โอนี่ซามะ ข้ายืมห้องหนึ่งเอาไว้ตรงนั้นคะ เชิญเลย พาผู้ติดตามคนนั้นมาด้วยนะคะ”
“—จะไม่เป็นไรหรอคะ?”
มิโคโตะกระซิบมาถามผม และผมที่ตอบไปแบบหมดหนทางนิดหน่อย
“ไม่เป็นไรหรอก เป็นความผิดเจ้าชายโง่นั่นที่ไม่มาต่างหาก เธอจะไปดูรอบๆแล้วค่อยตามมาทีหลังก็ได้นะ”
มิโคโตะพยักหน้ารับทราบ ก่อนที่สาวน้อยจะมาดึงมือผมและพาไปที่ห้องห้องหนึ่งบนชั้นสองของโรงโอเปร่า ที่เรียงรายไปด้วยห้องส่วนตัวอันเงียบสงบ
เธอเคาะประตูห้องเบา ๆ
“พี่ นี่แองเจลิก้าเองคะ ข้าพาแขกมาแล้ว”
และพูดออกมาเช่นนั้น
[อา เข้ามาสิ!]
เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น และเผยตัวออกมาต้อนรับพวกเรา
“ “—-ฮึ?!” ”
มิโคโตะและผมถอยหลังออกไป 2-3 ก้าวตามสัญชาติญาณ
เด็กสาวหันหน้ามาหาเรา และถอดหน้ากากออกเผยใบหน้าของตนเอง –สาวน้อยแสนสวยที่ให้ภาพลักษณ์นุ่มฟูเหมือนลูกอม– และทักทายเราด้วยความเคารพอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง
“ข้าต้องขออภัยที่หลอกลวงท่านด้วยคะ โอนี่ซามะ ขอให้ข้าได้แนะนำตัวเองอีกครั้งนะคะ ข้าคือ แองเจลิก้า ไอริส อมิเทีย เจ้าหญิงลำดับที่ 4 แห่งอาณาจักรอมิเทีย ข้าเป็นน้องสาวท้องเดียวกันกับเจ้าชายลำดับที่ 3 อาชีล โกลด อมิเทีย ที่เป็นที่รู้จักในชื่อเจ้าชายโง่คะ”
เด็กสาวคนนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม และผมกับมิโคโตะที่มองกันและกันไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
อืม มีคำถามเจ้าคะ
ถ้าจะให้ใช้คำว่า โอนี่ซามะ ไปตลอดเลย จะโอเคกันไหมนะ ทุกทีแปลหมดทุกตัวอักษร
แต่จะแปลเป็นไทยว่า “ท่านพี่สาว” มันก็ไม่อินเท่าไหร่ยังไงไม่รู้นะคะ
{ไทยพาณิชย์ นางสาว ทยาธร อนันต์มานะ 162-246448-2}
สนับสนุนเป็นค่าชานมไข่มุกให้คนแปลได้ตรงนี้เลยคะ
ขอบคุณสำหรับการอ่านจนถึงตรงนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่คะ
MANGA DISCUSSION