“–เขาตายแล้วครับ”
เทนไกแจ้งข้อเท็จจริงนั่นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“นั่นสินะ นายทำเป็นเก่งได้จนสุดเลยจริงๆ.. แต่ว่านายเข้าใจผิดเรื่องความต่างของการเป็นคนเก่ง กับพยายามทำตัวเก่งอยู่นะ นายก็เป็นได้แค่แมลงตัวเล็กๆ เพราะงั้นนายก็ควรจะรู้ตัวหน่อยสิว่าเรื่องแบบนี้คงจะเกิดขึ้นถ้านายยังทำตัวแบบนั้น–”
ผมบ่นออกไป ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า ที่จริงแล้วผมกับเทนไกกำลังเฝ้ามองคนๆเดียวกันอยู่
“เทนไก ไม่นึกว่านายจะเป็นห่วงโจอี้ด้วย ทำเอาเราประหลาดใจเลยละ”
“..ข้าไม่ได้เป็นห่วงเจ้านั่น แต่ข้าทนฟังเจ้านั่นพูดหยาบคายใส่ท่านมาซักพักแล้ว มันก็เลยอยู่ในสายตาข้าเท่านั้น”
เห นี่นะหรอซึนเดเระ?!
“จะยังไงก็เถอะครับ ดูแล้วสถานการ์ณสงครามครั้งนี้กำลังเป็นใจให้มอนสเตอร์นะครับ”
“นั่นสินะ”
บอกได้เลยว่าฝ่ายมนุษย์นะใกล้จะพังทลายแล้ว
เหล่านักผจญภับรุ่นใหญ่ และเหล่าทหารยังคงคุมสถานการ์ณรอบๆกองบัญชาการได้อยู่ แต่พวกเขามีจำนวนน้อยนิดนักเมื่อเทียบกับอีกฝั่ง ถ้าโดนล้อมก็คงจบกัน
เมื่อได้มองสงครามนี้ ผมพอจะเข้าใจความสามารถของนักผจญภัยและมอนสเตอร์ที่นี่แล้วละ (ถ้าเป็นใน E.H.O ก็ประมาณมอนสเตอร์ที่เจอได้ใกล้ๆเมืองที่สองหลังจากจบการสอนเล่นนั่นแหละ)
ผมไม่คิดว่าจะมีอะไรที่ต้องการจากที่นี่แล้วนะ…
แต่ความรู้สึกคลุมเครือที่อยู่ในอกของผมมันคืออะไรกัน?
ผมไม่ได้อยากจะเข้าข้างมนุษย์เลย ไม่ใช่เพราะผมเคยเป็นมนุษย์มาก่อน
ความประทับใจกับมอนสเตอร์ที่ผมได้เจอมาตั้งแต่เกิดใหม่ที่นี่ หากไม่นับร่างกายสัตว์ประหลาดนั่น รูปแบบความคิดก็ไม่ต่างจากมนุษย์เลยซักนิด
แน่นอนละว่าพวกเขาดูแตกต่าง ร่างสูงใหญ่ 3 เมตร มีผิวสีเขียว มีดวงตาแปดดวง มีปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมแถมยังพ่นไฟได้ หรือ มี7 แขนที่งอกออกมาจากศีรษะ –อันที่จริง ผมเคยเจอพวกเขาตอนที่ออกมาเข้าห้องน้ำกลางดึก “~~~~คุ๊ก?!?” แล้วผมก็กรีดร้องอยู่ในใจ ตอนที่ออกมาผมก็คิดว่าผมน่าจะเล็ดไปนิดหน่อยด้วย – แต่พวกเขานั้นแสดงอารมณ์ โมโห หัวเราะ และเศร้าโศก ได้อย่างตรงไปตรงมา โดยที่ไม่มากังวลในเรื่องของผลได้ผลเสียเหมือนอย่างที่มนุษย์ทำ
เพราะงั้นฉากเบื้องล่างนี้ สำหรับผมแล้วมันก็เหมือนนั่งมองสงครามในต่างดินแดนอันห่างไกล
แต่มันดันมีบางอย่างที่ผมไม่ชอบใจเอาซะเลย
“จะว่าไปแล้ว องค์หญิง แม้นี่จะเป็นความเห็นส่วนตัวของข้า–”
“หืม? อะไรละ?”
“เราไม่เอาเจ้ามอนสเตอร์พวกนี้มาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ[อิมพีเรียล คริมสัน]หรอครับ?”
คำพูดของเทนไกระเบิดเอาความรู้สึกไร้ที่มาในอกของผมให้หายไปจนหมด
“–พอนายพูดมาแบบนั้น จริงด้วย เราดันพลาดไปตรวจสอบแค่ฝั่งเดียว แต่อีกฝั่งไม่ได้ตรวจสอบ เยี่ยมมากที่บอกเรามา เพราะงั้นเทนไก นายช่วยใช้โทรจิตไปที่ปราสาท ให้คนซัก 2-3 คนมาช่วยเราเจรจาหน่อยสิ?”
“เข้าใจแล้วครับ”
แล้วผมก็มองลงไปยังศพที่นอนอยู่บริเวณมุมหนึ่งของสนามรบ
“…จะว่าไป เรายังไม่ได้จ่ายค่าคำร้องให้นายสินะ”
◆◇◆◇
จะพูดว่าผลการรบออกมาแล้วนั้นก็ไม่ผิด
รองหัวหน้ากิลด์ กัลด์ มองคนเจ็บที่ถูกหามเข้าไปด้านในทีละคนๆ ในใจของเขานั้นขัดแย้งกันอย่างหนักระหว่างสั่งการให้ถอยทัพ หรือเลือกเอาโอกาส1 ใน ล้าน และรวบรวมกำลังพลทั้งหมดที่มีและเข้าต่อสู้แบบสังเวยชีวิตกับราชาจอมปีศาจ ออร์คคิงดี
“ท่านรองหัวหน้ากัลด์!”
เสียงเรียกที่มีความร้อนใจของลูกน้องที่เขาคุ้นเคยคนนึงดังขึ้น
“มีอา ทำไมยังอยู่ตรงนี้อีก!? ทำไมไม่อพยพไปแนวหลังกับคนเจ็บละ!”
“คือ..โจอี้ ข้าไม่เห็นเขาในหมู่ผู้บาดเจ็บเลย เขาอยู่ที่นี่ไหมคะ?!”
น้ำเสียงอ้อนวอนของเธอทำให้เขาสั่นไหวไปวูบนึง แต่รองหัวหน้ากิลด์ก็ส่ายหัว
“ไม่ เจ้านั่นยังอยู่ที่แนวหน้า อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็ไม่เห็นเขา”
“งั้น..หรอคะ?”
แค่นั้นก็น่าจะพอยืนยันความปลอดภัยของเด็กชายได้อยู่บ้าง มีอากัดริมฝีปากของเธอ ก่อนที่จะเห็นชายคนนึงยืมไหลของสหายก้าวเข้ามาหา เธอเบิกตากว้าง
“หัวหน้ากิลด์! คุณปลอดภัยดีสินะคะ!!”
ได้ยินเสียงของมีอา กัลด์เองก็วิ่งเข้าไปหาหัวหน้ากิลด์ คอนราด เช่นกัน
“โอ้ นายยังไม่ตายอยู่!”
“…อา ต้องขอบใจที่ไอ้โชคร้ายของข้าทำงานเฮงซวยละนะ”
แต่ทว่า เขาใช้พลังเวทย์ของเขาหมดสิ้น ไม่เหลือแรงจนแทบจะเดินไม่ได้แล้ว
“แต่ก็มาได้เวลาพอดีเลยนะ มีอา พาหัวหน้าไปแนวหลังที หัวหน้า ข้าขอโทษด้วย แต่เมื่อไหรที่ไหว ก็ช่วยออกคำสั่งต่อแทนข้าที”
“เจ้าจะทำอะไร?”
“อืม ข้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปไกลได้แค่ไหน แต่ก็ขอขัดขืนเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกัน”
“ “….” ”
ตรงกันข้ามกับรองกัวหน้ากัลด์ที่ยิ้มแยกเขี้ยวแสดงความป่าเถื่อน ทั้งคอนราดและมีอาที่รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไรต่างก้มหน้าลงเงียบๆ
และ–
“นะ-นั่นมันอะไรนะะะ—-!?!”
“…มังกรโบราณ?!”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่แล้ว! ข้าไม่เคยเห็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน!!”
เมื่อทั้งสามหันเหสายตาไปมองความวุ่นวายรอบข้าง ก็ได้เห็น มังกรทองขนาดมหึมา ที่ปีกของมันกว้างออกกว้างยาวกว่า 200 เมตร พอๆกับความยาวตั้งแต่หัวจรดหาง กำลังค่อยๆร่อนลงมาจากเบื้องบน
แต่ทว่า สิ่งที่ดึงความสนใจจากทั้ง 3 ไม่ใช่สิ่งนั้น แต่เป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่อย่างภาคภูมิใจบนหัวของเจ้ามังกร ร่างของเธอดูเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับขนาดของมัน แต่ทว่าตัวตนของนางนั้นกลับให้ความรู้สึกว่าเธอเหนือกว่าเจ้ามังกรอีก และเธอใส่ชุดเดรสสีดำสนิท ที่ตกแต่งด้วยดอกกุหลาบสีแดง
◆◇◆◇
ทั่วทั้งร่างของโจอี้อบอุ่นและเบาสบาย ความรู้สึกพึงพอใจห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้ราวกับจมอยู่ในน้ำอุ่น ก่อนที่เขาจะค่อยๆลืมตาขึ้น
“ไง โจอี้ รู้สึกไงบ้าง?”
เขานอนอยู่บนพื้น และฮิยูกิที่นั่งยองๆอยู่ข้างๆเขาโน้มตัวลงมา เขามองรอยยิ้มที่ไร้ความกังวลของเธอ และฝ่ามือบางที่มีแสงเปล่งประกายอ่อนๆ โจอี้ไม่แน่ใจไปชั่วขณะว่าจริงๆแล้วเขาอยู่บนสวรรค์ และคนที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นเทพธิดาหรือเปฃ่า
“เธอ…ทำไม..ข้า น่าจะตายไปแล้ว..”
“อือ นายตายไปแล้วละ เราไม่แน่ใจว่า [เรสเซอเรสชั่น(ชุบชีวิต)]จะใช้ได้ในโลกนี้ไหม ก็เลยลองใช้ดู ท่าทางจะใช้ได้ละ โชคดีเลยนะ”
“เรสเซอเรสชั่น..? มันคืออะไร?”
“อา สกิลของเราเองละ จะว่าไปเราไม่เคยบอกอาชีพของเรากับนายสินะ อันที่จริงเรามีถึง 2 อาชีพเลยนะ อันนึงคือ [ปรมาจาร์ยดาบ] เป็นอาชีพขั้นสูงสุดของนักดาบ และอีกอันนึงคือ [เซนต์(นักบุญ)] เป็นอาชีพสูงสุดของ พรีส(priest นักบวช) นะ
คิดว่ามันน่าสนใจดีนะว่าไหม์ เจ้าหญิงแวมไพร์ผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของตระกูลแห่งความมืดมีสองอาชีพ และหนึ่งในนั้นคือ [เซนต์(นักบุญ)] เหล่าสมาชิกกิลด์ชอบเรียกเราบ่อยๆว่าเป็น [เผ่าขี้โกง] หรือไม่ก็ [ความมืดจอมปลอม] ด้วยนะ ให้ตายสิ เจ้าพวกนั้นหยาบคายจริงๆ”
โจอี้หลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้เห็นสีหน้าฉุนๆของฮิยูกิ รู้สึกราวกับว่านี่เป็นแค่วันธรรมดาๆวันหนึ่ง
“ฮ่ะฮ่ะ ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเธอพูดเรื่องอะไร แต่เธอก็ยังเป็นคนที่สุดยอดจริงๆ”
“เราว่านายเองก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกนะ ในเมื่อนายใช้แค่คำว่า [สุดยอด] คำเดียวในการบอกปัดทุกเรื่องที่ไม่เข้าใจได้ จะว่าไป เรื่องสาเหตุที่เราลากนายมาจากปรโลกอะนะ พอลองมาคิดดูดีๆแล้ว เรายังไม่ได้จ่ายค่าธรรมเนียมนายใช่ไหมละ? แม้จะเหมือนจ่ายค่าข้ามแม่น้ำซันซุไปหน่อย แต่เรากะว่าจะจ่ายคืนตอนนี้เลย”
(ขออนุญาตแทรกเพื่อสาระความรู้ แม่น้ำซันซุโนะคาวะ (三途の川”แม่น้ำซันซุ” แปลว่า “แม่น้ำสามโลก” คล้ายคลึงกับ แม่น้ำสติกซ์ ที่เป็นแม่น้ำในเทพปกรณัมกรีกซึ่งเป็นแนวแบ่งเขตระหว่างพิภพกับโลกบาดาล โดยที่คนตายจะต้องจ่ายค่าผ่านทางเผื่อข้ามแม่น้ำ)
ฮิยูกิหยิบเอาเหรียญของทวีปนี้ออกมา 3 เหรียญเงินหลังจากพูดจบ
“ค่าคำร้องปกติแล้วอยู่ที่ 2 เหรียญเงินแล้วก็เก็บเพิ่มอีก 8 เหรียญทองแดงสินะ? งั้นเราก็จะจ่าย 3 เหรียญรวมค่าเกินกำหนดจ่ายแล้วกัน”
โจอี้มีท่าทางสับสนและเงียบไป เขามองเหรียญเงินที่อยู่ในฝ่ามือเล็กๆที่ยื่นมาหาเขานั่นได้พอดี
เบื้องหลังคนทั้งสอง (หรืออันที่จริง เทนไกในร่างมังกรกำลังส่งสายตาข่มขู่รอบด้านอยู่) คนสองคน ไม่สิ– สามคน เพราะมีคนนึงถูกแบกอยู่บนหลังของชายร่างใหญ่อีกที –วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตกใจจากกลุ่มมนุษย์ที่คอยมองสถานการ์ณอยู่ไกลๆ
“โจอี้คุง!”
“โจอี้ นายเป็นไรไหม?!”
“ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่ได้…?”
“โอ้ ทุกคนปลอดภัยดีนี่นา แต่ว่าตอนนี้เราไม่ได้อยากคุยกับพวกนาย เพราะงั้นช่วยเบาเสียงลงหน่อยสิ?”
ทั้งสามคนที่กำลังเข้ามาใก้ลหยุดกึ๊กลงตรงนั้นทันที
“เอาละ โจอี้ เรามีธรุะที่ต้องไปจัดการต่อ นายจะช่วยรับไปได้ยัง?”
“ไม่”
“–? ราคาเท่านี้ไม่โอเคหรอ?”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นซักหน่อย ก็แค่ ที่ข้าได้รับค่าจ้างโดยที่ยังไม่ได้ทำงาน ข้ารับไม่ได้หรอก”
“เอ๋ แต่เราที่เป็นลูกค้าพอใจกับผลลัพธ์แล้วนะ –เฮ้ มีอาซัง กรณีแบบนี้ต้องทำยังไงนะ?”
มีอาที่ชะงักไปชั่วครู่เพราะจู่ๆก็โดนถามคำถาม แต่เธอก็ตั้งสติได้รวดเร็วและตอบคำถามนั้นมา
“ตราบใดที่ไม่ได้มีการเขียนสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะต้องจัดการยังไง ก็จะให้นักผจญภัยกับลูกค้าปรึกษากันจนกว่าจะได้คำตอบที่พอใจคะ”
“อุมุ ถ้างั้น ถ้านายไม่ตอบตกลง เราก็จะโดนปล่อยให้รอเก้ออยู่อย่างนั้นสินะ ต้องทำยังไงนายถึงจะยอมรับละ?”
กับคำถามนั้น โจอี้ตอบกลับมาในเพียงชั่วอึดใจ
“เธออยากให้ข้าพาไปดูเมืองนี่ เมื่อสำเร็จ ข้าจะยอมรับค่าจ้าง”
เขาพูดอย่างหนักแน่น
“..แหม แม้ว่าเราจะบอกว่าให้พาชมเมืองก็เถอะ แต่เมืองก็ดันมาเป็นแบบนี้ไปซะแล้ว แล้วเราเองก็กำลังจะออกเดินทางไปยังจุดหมายถัดไปแล้วด้วย”
“งั้นข้าก็จะพาเธอไปเที่ยวตอนที่เธอว่าง?”
“โดยที่นายไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่นะน่ะ?”
“เมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้นแหละ อีกอย่าง เธอไม่ได้บอกหรือไงว่า [ไม่ได้กำหนดเวลา] ไว้นะ? เพราะงั้นไม่ว่าจะอีกกี่ปีข้างหน้า สัญญาก็ไม่มีปัญหานี่?”
ได้ยินดังนั้น ทั้งดวงตาและปากของฮิยูกิเปิดกว้าง และโจอี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างหลังจากโดนเธอปั่นหัวมาเนิ่นนาน ก่อนจะหลุดรอยยิ้มขี้แกล้งออกมา
“…ให้ตายสิ เราพูดแบบนั้นไปจริงๆ ถ้างั้นก็ไม่มีทางอื่นแล้วสิ เราจะต่อสัญญาต่อไปจนกว่าจะกลับมา– แต่ตอนนี้เราก็ทำลายเมืองไม่ได้จะว่าการเที่ยวชมจะเสร็จงั้นสิ ให้ตายเถอะ จู่ๆเจ้าหัวกลวงคนนี้ก็ดันฉลาดขึ้นมาซะได้”
ฮิยูกิไหวไหล่แล้วบ่นกับตัวเอง ในขณะที่หัวหน้ากิลด์ตคอนราดและรองหัวหน้ากัลด์ มองหน้าซึ่งกันและกันด้วยความตะลึง
“เอาเถอะ เราต้องมีธุระอื่นต้องจัดการ ต้องไปแล้วละ”
เมื่อฮิยูกิลุกขึ้นยืน โจอี้ที่สามารถลุกขึ้นนั่งได้เสียที ก็ถามออกมาอย่างเศร้าๆ
“เธอจะกลับมาอีกใช่ไหม?”
“ก็คุยกันไปแล้วนี่นา เราจะฝากเงินไว้ที่นี่จนกว่านายจะเป็นนักผจญภัยเต็มตัว แล้วเราจะกลับมารับเงินคืนไป”
“นั่นสินะ งั้น ไว้เจอกันใหม่นะ”
“อา นายก็ด้วยละ” เธอว่าอย่างนั้น ก่อนจะหันไปมองคนสามคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง “เธอก็ด้วยนะ มีอาซัง โจอี้ไม่ค่อยยอมฟังเลยเวลาเราบอกอะไร เพราะงั้นเธอต้องจับตามองเขาไว้ดีๆละ รองหัวหน้ากัลด์ นายควรฝึกฝนร่างกายให้จดจำนะไม่ใช้ใช้สมองจำ หัวหน้ากิลด์คอนราด ความเป็นผู้นำของนายออกจะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่เราคิดว่านายเป็นคนที่ดีนะ”
พร้อมคำกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้าย ฮิยูกิโบกมือก่อนจะหันหลังเดินตรงไปยังทิศที่มีมอนสเตอร์จำนวนมากที่ออร์คคิงนำพามารออยู่ ราวกับเธอกำลังเดินเล่นอย่างไรอย่างนั้น
“ไว้เจอกันนะ ฮิยูกิ” โจอี้พูดเบาๆออกมาเป็นคำลาครั้งสุดท้าย และสามคนทางด้านหลังที่กำลังก้มหัวคำนับให้แผ่นหลังของเธอ
*—-
ข้อความจากผู้แต่ง : เวอร์ชั่นสรุปย่อ
ผู้แต่งยังคงขอบคุณยอดอ่านและรีวิวที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยมาตั้งแต่ช่วงตอน 7-8 แต่เห็นว่าไม่มีสาระสำคัญเลยขออนุญาติข้ามทั้งหมดไปเลยแล้วกันคะ
นอกจากนี้ สิ่งที่เปิดเผยออกมาในตอนนี้อาจจะมีคนไม่พอใจบ้าง แต่ก็ตรงตามที่ผู้แต่งตั้งใจวางแผนไว้อยู่นะ (´д`ι)
อุปส์ ลงตอน 13 ก่อนเฉยเลยเจ้าคะ แบบนี้นับว่าสปอยเนื้อหารึเปล่านะ?
{ไทยพาณิชย์ นางสาว ทยาธร อนันต์มานะ 162-246448-2}
สนับสนุนเป็นกำลังใจหรือจะเป็นค่าชานมไข่มุกให้คนแปลก็ได้ทั้งนั้นคะ (แต่ส่วนใหญ่น่าจะไปลงชานมหมด)
ขอบคุณสำหรับการอ่านจนถึงตรงนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่คะ
MANGA DISCUSSION