[นิยายแปล] ฉันได้สกิลใหม่ทุกครั้งหลังจากถูกขับไล่ และหลังจากผ่านมา 100 โลก ก็ไม่มีใครสามารถเทียบฉันได้ - ตอนที่ 9 ความรับผิดชอบไม่ใช่สิ่งที่จะบังคับคุณ แต่เป็นสิ่งที่คุณจะต้องทำให้สำเร็จ
- Home
- [นิยายแปล] ฉันได้สกิลใหม่ทุกครั้งหลังจากถูกขับไล่ และหลังจากผ่านมา 100 โลก ก็ไม่มีใครสามารถเทียบฉันได้
- ตอนที่ 9 ความรับผิดชอบไม่ใช่สิ่งที่จะบังคับคุณ แต่เป็นสิ่งที่คุณจะต้องทำให้สำเร็จ
“นี่…. เป็นครั้งที่สองที่เอ็ดเห็นฉันเปลือยใช่หรือเปล่านะ”
เสียงหัวเราะของเทียทำให้ฉันนึกถึงอดีต แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะหวนคิดถึงความทรงจำเหล่านั้น
“ตอบฉันที เทีย นี่มันอะไร”
“ก็ได้ ฉันจะอธิบายให้นายฟังเอง…. แต่ก่อนอื่นฉันขอเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ไหม?”
“ตกลง”
เทียจ้องมองไปที่ชุดนอนสีชมพูแฟนซีที่เธอสวมเมื่อตอนที่ฉันมาถึง ฉันหยิบมันขึ้นมาและยกแขนของเธอเบา ๆ เท่าที่จะทำได้ก่อนที่จะเริ่มแต่งตัวให้เธอ
“เอ่อ เอ็ด? ฉันคิดว่าเมื่อกี้ฉันพูดว่า ‘รอจนกว่าฉันจะเปลี่ยนชุดเสร็จ’ นะ “
“อา!? ใช่ จริงด้วย ขอโทษนะ”
“ฟุฟุ~ ไม่เป็นไร ฉันแต่งตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว นายช่วยแต่งตัวให้ฉันแล้ววางฉันบนเตียงได้ไหม”
“โอเค”
ใบหน้าของเทียยิ้มซุกซนเหมือนเด็กเหมือนวันวานที่เราพบกัน อย่างไรก็ตาม ความอ่อนเยาว์นั้นยังคงอยู่จนถึงคอของเธอเท่านั้น… และไม่ไปไกลกว่าข้อมือและข้อเท้า ซึ่งเป็นส่วนที่มักจะมองเห็นได้ ฉันสงสัยว่าทำไมเธอถึงเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าที่เธอเคยใส่ตอนอยู่ในปาร์ตี้ผู้กล้า? หรือบางทีอาจเพราะเสื้อผ้าเหล่านั้นเปิดเผยผิวของเธอน้อยที่สุด
“เอาล่ะนะ ขออภัยที่ต้องล่วงเกินนะครับ คุณเจ้าหญิง”
“
“
“เอ๊ะ!?”
ฉันอุ้มเทียขึ้นมาอย่างง่ายดายและอุ้มเธอไปที่เตียงในท่าอุ้มเจ้าหญิง จากนั้นฉันก็วางเธอลงอย่างเงียบ ๆ และดึงผ้าห่มมาคลุมเธอ เพื่อไม่ให้เธอหนาว ฉันดึงเก้าอี้เล็กๆ ใกล้ๆ ออกมาแล้วนั่งลงข้างๆ เทีย ซึ่งกำลังอารมณ์ดีอย่างประหลาด ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มจนถึงคอ
“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เห็นวันที่เอ็ดจะทำอะไรแบบนี้ให้ฉัน 10 ปีผ่านไปเร็วมากสำหรับเอลฟ์ แต่ 10 ปีสำหรับมนุษย์นั้นต่างออกไป”
“ฮ่าฮ่า ใช่ฉันก็คิดอย่างนั้น”
อายุขัยเฉลี่ยของเอลฟ์ประมาณสามร้อยปี ในทางกลับกัน มนุษย์มีอายุขัยประมาณเจ็ดสิบปี ความแตกต่างในแง่ของเวลาของพวกเขานั้นมากกว่าของเรามากกว่าสี่เท่า ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะชดเชยความแตกต่างได้
“ร่างกายของเธอกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง? เกิดอะไรขึ้นกับเธอ?”
“……. จำที่ฉันบอกนายได้ไหม คนแบบสัมภาระหนีไปได้ และพวกเราก็ต่อสู้กันเหมือนตกนรกทั้งเป็น”
“… อา”
เมื่อฉันเห็นใบหน้าของเทียดิ่งลงหลังจากที่เธอกลับมายิ้มได้ ฉันก็เปล่งเสียงที่อ่อนแอออกมาโดยธรรมชาติ ด้วยเหตุผลบางอย่างเมื่อเห็นฉัน เทียก็ทำให้สีหน้าของเธอสดใสขึ้นเล็กน้อยและพูดต่อ
“นั่นคือตอนที่ฉันใช้ศาสตร์ลับของเวทมนตร์วิญญาณ เป็นเวทมนตร์ที่สืบทอดกันในหมู่เอลฟ์และเอลฟ์เท่านั้นที่ใช้ได้ ใช้มันเพื่อเพิ่มพลังของเวทมนตร์วิญญาณ ฉันใช้มันต่อสู้กับกองทัพของจอมมาร….”
“งั้นเธอกำลังบอกว่าร่างกายของเธอคือราคาที่เธอจะต้องจ่ายในการใช้มันอย่างงั้นเหรอ? แต่ที่เธอใช้นั่นมันก็นานมาแล้วไม่ใช่หรือไง?”
“ก็ไม่นี่? แค่ประมาณห้าปีเอง…….”
“ไม่ ห้าปีเป็นเวลานานมากเลยนะ ฉันหมายถึง ทำไมเธอยังคงต้องทนทุกข์ทรมานกับค่าใช้จ่ายของเวทมนตร์ที่ใช้ไปตั้งห้าปีที่แล้ว!”
“สิ่งที่ต้องจ่ายในการใช้มันไม่ใช่พลังเวทย์หรืออะไรหรอกนะ เพียงแต่ ราคาที่ฉันต้องจ่ายไปมันคือ….”
เทียตัดคำพูดของเธอและดูลำบากใจ อย่างไรก็ตาม นั่นหลอกฉันไม่ได้หรอก ขณะที่ฉันยังคงจ้องตาเธอ และในที่สุด เธอก็ถอนหายใจเล็กน้อยราวกับว่าเธอยอมแพ้ และพูดต่อไป
“ฟู่~…ราคาที่ต้องจ่ายก็คืออายุขัยของฉันเอง เมื่อคนๆหนึ่งผสมผสานชีวิตเข้ากับเวทมนตร์และใช้เวทมนตร์แห่งจิตวิญญาณ พลังของมันก็จะทวีคูณมากขึ้นเป็นหลายร้อยเท่า”
“――!!”
มันเป็นหนึ่งในการเดาที่แย่ที่สุดที่อยู่ในความคิดของฉัน ฉันพยายามระงับเสียงที่กำลังจะตะโกนใส่เธอ และเทยที่ยังยิ้มอยู่ก็พูดต่อไป
“ฟุฟุฟุ~ ฉันคิดอยู่แล้วว่านายจะต้องมองแบบนั้น…. แต่ฉันไม่มีทางเลือกรู้ไหม ถ้าฉันไม่ทำอย่างนั้น ฉันคงถูกฆ่าตายที่นั่น”
“ก็… ก็อาจจะใช่ แต่…….. ไม่ เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้นี้ เป็นไปได้ไหมว่าเวทมนตร์ที่ฆ่ามังกรก่อนหน้านี้ก็……!?”
“… ใช่ ฉันใช้ทั้งชีวิตของฉันทำมัน”
“หยุดทำร้ายตัวเองได้แล้ว ยัยบ้านี่!!!!!”
คราวนี้ฉันทนไม่ไหวแล้วตะคอกใส่เธอ
“ทำไม!? ทำไมเธอทำอย่างนั้น!?”
“เพราะถ้าฉันไม่ทำ เอ็ดจะต้องตกอยู่ในอันตรายใช่ไหมล่ะ”
“….? ฉันตกอยู่ในอันตราย…?”
“แน่นอนสิ แค่สิบปี นายอาจจะแข็งแกร่งขึ้นนิดหน่อย แต่ไม่มีทางที่นายคนเดียวจะเอาชนะมังกรได้”
“………… อา อา ………………”
เมื่อเห็นใบหน้านั้นของเทียร่างกายของฉันก็คลายตัวและทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้
อ่าใช่ เธอพูดถูก ไม่มีทางที่ฉันซึ่งถูกเนรเทศจากโลกนี้จะแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญหน้ากับมังกรได้ภายในเวลาเพียง 10 ปี นี่ฉันลดอายุขัยของเทียเพราะฉันไม่รู้เรื่องที่ชัดเจนอย่างนั้นหรือ…!?
“………… ฉันขอโทษ”
“ทำไมนายต้องขอโทษ? ฉันแค่อยากจะช่วยนายก็เท่านั้น ดังนั้นนายไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย โอเค?”
“ไม่ไม่ ไม่มันไม่ใช่แบบนั้น…….”
เทียเอียงศีรษะของเธออย่างสงสัยในคำขอโทษของฉัน ซึ่งฉันบีบออกเหมือนกำลังไอเป็นเลือด แต่ไม่นั่นไม่ใช่ ฉันสามารถเอาชนะมังกรได้อย่างง่ายดาย
ฉันกำลังทำอะไรอยู่ นี่ฉันต้องทำตัวน่าสมเพชแค่ไหนที่ให้เทียลำบากทั้งๆ ที่เธออยู่ในสภาพแย่ขนาดนี้!?
“อา! ฉันขอโทษจริงๆ เรื่องเวทมนตร์ที่ฉันบอกนาย ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เวทมนตร์ที่ทำให้ฉันเป็นแบบนี้ โอเคนะ? คือฉันเป็นแบบนี้มานานแล้ว”
“แต่ฉัน…”
“มู~ ไม่เป็นไร ฉันคิดมากเรื่องนั้นหรอก! แค่นายมาทันเวลาก็เพียงพอแล้วสำหรับฉัน”
“ทันเวลาอะไร ……?”
“อ่า ฉันก็แค่ อยากเจอเอ็ดอีกสักครั้งในขณะที่ฉันยังมีชีวิตอยู่”
“…………”
มือของเทียค่อยๆ เอื้อมมาจับที่แก้มของฉันขณะที่ฉันสั่นเทา พยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นน้ำตาไว้ ความรู้สึกของมือของเธอช่างอ่อนโยน แต่ก็เย็นชา
“ฉันสามารถบอกได้ ฉันรู้แค่ว่ามันเกือบจะถึงเวลาแล้ว และฉันจะไปอยู่กับอเล็กซิสและคนอื่นๆ ในเร็วๆ นี้ แต่มันไม่ได้ทำให้ฉันกลัว ผู้คนมีชีวิตอยู่และจะต้องตายในที่สุด เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างที่รบกวนจิตใจฉัน ถ้าบังเอิญ อเล็กซิสและคนอื่นๆ ยังมีชีวิตอยู่และยังคงรอความช่วยเหลือจากฉัน ฉันจะตายอย่างเงียบๆ และใช้ชุดนอนเหล่านี้เพื่อควบคุมเวทมนตร์รอบตัวเพื่อให้ฉันมีชีวิตอยู่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่ได้ แต่ตอนนี้มันจบลงแล้ว ขอบคุณเอ็ด ฉันรู้ว่าที่ที่อเล็กซิสและคนอื่นๆ กำลังรอฉันอยู่ไม่ใช่ปราสาทของจอมมาร และในที่สุดฉันก็สามารถคุยกับนายได้…. ตอนนี้ฉันไม่เสียใจอีกแล้ว….”
“อย่าพูดอย่างนั้น! เราเพิ่งกลับมาเจอกันเองนะ!”
มือของเทียลูบมือฉันเบา ๆ ขณะที่ฉันกรีดร้องเหมือนเด็กที่เห็นแก่ตัว
“ฟุฟุ~ ฉันชอบเสียงแบบนั้นของนายนะ แต่นี่คือเวลาทั้งหมดที่ฉันมี――!?”
<<กรร กรร โฮกก!!!>>
เสียงที่ดังมาจากด้านนอกขัดคำพูดของเทีย แต่มันเบากว่ารอบก่อน ฉันต้องรีบออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“รอเดี๋ยวก่อน!”
“เทีย!? ทำอะไรของเธอ!”
“ฉันไปกับนายด้วย”
“อะไรนะ? เธอกำลังพูดอะไร เทีย เธอกลับไปพักซะ――”
“พาฉันไปกับนายด้วย”
นิ้วของเทียดึงที่ชายเสื้อของฉัน ฉันไม่สามารถเขย่านิ้วของเธอได้แม้ว่านิ้วจะอ่อนแอ
“… ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว”
“… ก็ได้”
ฉันเดินออกจากบ้านโดยมีเทียอยู่ในอ้อมแขน จากนั้นก็มีก้อนโลหะขนาดใหญ่ยักษ์รอฉันอยู่ด้านหน้า มันใหญ่จนต้องแหงนมอง
“ไม่นะ นี่มัน อดาแมนไทต์โกเลม…!?”
อดาแมนไทต์เป็นโลหะที่แข็งที่สุดในโลก แสงสีดำแวววาวและสีม่วงสวยสง่า ว่ากันว่ามันไม่มีวันถูกทำลาย มันมีความแข็งแกร่งที่ไม่สามารถนิยามได้ว่าแข็งและหนัก ถ้าสิ่งนั้นอยู่ในร่างโกเลมแบบนั้น มันคงจะสามารถเอาชนะมังกรในขณะที่มันกำลังฮัมเพลงได้
“เราไม่ได้อยู่ในเหมืองด้วยซ้ำ และมันก็เป็นโกเลมธรรมชาติบ้าๆ บอๆ! มันเหมือนกับมังกรก่อนหน้านี้ เกิดบ้าอะไรขึ้นที่นี่กันเนี่ย”
“ฉันขอโทษเอ็ด มันอาจจะเป็นความผิดของฉันเอง”
เทียซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของฉันตอบด้วยท่าทางขอโทษ
“เพื่อช่วยให้ฉันมีชีวิตอยู่ได้นานที่สุด ฉันได้กางเขตแดนเวทมนตร์ไว้รอบๆ บ้านของฉันเพื่อรวบรวมพลังเวทมนตร์ ฉันคิดว่ามังกรก่อนหน้านี้ถูกดึงดูดให้มาที่นี่เพราะมัน และโกเล็มตัวนี้… เกิดจากอิทธิพลของมันหรือเปล่านะ?”
“ไม่ ไม่ ไม่ บ้าไปแล้ว!? หากมันดึงดูดมอนสเตอร์รอบๆ แบบนั้น เธอมีชีวิตอยู่ได้นานขนานนี้ได้ไงเนี่ย….”
“ก็เพราะปกติฉันนอนหลับตลอด แต่วันนี้เอ็ดโผล่มา ฉันก็เลยตื่นทั้งวัน….”
“โอ้….”
ถ้างั้นฉันก็มีส่วนผิดด้วยสินะ
“ฉันขอโทษนะ เอ็ด ฉันขอโทษที่ทำให้นายต้องมาเจอเรื่องแบบนี้…. ฉันจะใช้ทุกสิ่งที่ฉันเหลือเพื่อพานายออกไปจากที่นี่…”
“ไม่ เธอห้ามทำแบบนั้นนะ”
เทียดูเหมือนเธอกำลังจะร้องไห้ ฉันหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงกับพื้น ถูกตัอง ถ้ามันเป็นความผิดของฉัน ฉันก็ต้องรับผิด ตอนนี้ฉันมีพลังมากพอที่จะทำเช่นนั้น
“ดูนี่นะเทีย นี่คือพลังที่ฉันได้รับตั้งแต่ฉันออกจาก… ปาร์ตี้ผู้กล้า เอาล่ะ เจ้าเศษเหล็ก! ฉันจะเตะแกออกจากโลกนี้ด้วยมือของฉันเอง!”
โกเลมเพียงแค่เหวี่ยงกำปั้นขนาดใหญ่ของมันลงมาที่ฉันโดยไม่พูดใดๆ ขณะที่ฉันยิ้มอย่างไม่เกรงกลัว