หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ พวกเราก็นั่งหันหน้าเข้าหากัน
“แล้วสถานการณ์ของสุนทรพจน์ตัวแทนเพื่อนเป็นยังไงบ้าง”
ยามาโมโตะถามฉันขณะที่ลูบท้องที่อิ่มแปล้
ฉันใช้เวลาสักพักเล่าผลลัพธ์ที่ทุกคนช่วยกันคิดมาทั้งวันเมื่อวานให้ยามาโมโตะฟัง แต่พอเล่าไปก็อดคิดไม่ได้ว่า ทั้งๆ ที่ใช้เวลาไปหลายชั่วโมง แต่กลับไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย
ถ้าเป็นแบบนี้จะทันงานแต่งงานไหมนะ ฉันรู้สึกกังวลขึ้นมาแวบหนึ่ง
“สรุปก็คือ ถึงจะคิดกันไปเยอะแยะ แต่ก็แทบไม่มีผลลัพธ์อะไรเลย”
“อืม…”
ยามาโมโตะเอามือลูบคางแล้วครุ่นคิดอยู่สักพัก
“…ก่อนอื่นเลย เราลองมาคิดกันก่อนดีไหมว่าทำไมเมื่อวานถึงคุยกันไม่ไปไหนมาไหนเลย”
“เอ๊ะ”
ฉันหมายความว่า การไปทบทวนเหตุผลของความล้มเหลวมันมีแต่จะทำให้เจ็บปวดไม่ใช่เหรอ
“ก็เพราะว่าเป็นประสบการณ์ที่ล้มเหลว ถึงต้องเผชิญหน้ากับมันไม่ใช่เหรอ”
“…อืมม”
“เธอคิดว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจหรือไง ไม่ใช่แบบนั้นนิ ความล้มเหลวก็คือการที่มันล้มเหลวเพราะมีปัญหาอยู่ยังไงล่ะ พูดอีกอย่างก็คือ ครั้งต่อไปที่มีเรื่องแบบเดียวกัน มันคือวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ถ้ามีปัญหาอยู่แล้วแต่กลับสำเร็จ เราก็จะไม่สามารถได้รับความสำเร็จแบบเดิมได้อีกเป็นครั้งที่สอง เพราะเรามองไม่เห็นเหตุผลที่ล้มเหลวยังไงล่ะ ในทางกลับกัน ถ้าเคยล้มเหลวมาครั้งหนึ่งแล้วหาสาเหตุของมันเจอได้ ก็จะไม่ทำผิดพลาดแบบเดิมอีกเป็นครั้งที่สองหรอก”
อย่างนี้นี่เอง
สรุปก็คือ ยิ่งปัญหามันชัดเจนเท่าไหร่ ครั้งต่อไปก็จะยิ่งประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้นเท่านั้นสินะ
อืม ก็อาจจะจริงอย่างที่ว่า
อย่างเช่น ถ้าตอนสอบตอบผิดไปแถวหนึ่งแล้วได้คะแนนน้อย ก็แค่แก้ปัญหาด้วยการบอกว่า ‘งั้นคราวหน้าก็อย่าตอบผิดแถวสิ’ ก็จบ แต่ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่อ่านหนังสือมาอย่างดี เตรียมตัวสอบมาอย่างดีแล้ว แต่ยังได้คะแนนน้อย ก็จะไม่รู้ว่าจะเริ่มแก้จากตรงไหนดี
และถ้าดันเคยมีประสบการณ์ที่สำเร็จมาครั้งหนึ่งแล้ว การจะปรับปรุงแก้ไขก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก
“…แต่ว่าเรื่องนี้นะ ที่พวกเราสรุปเรื่องกันไม่ได้เลย ฉันว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะ”
“นั่นก็ใช่ แต่ว่าผมรู้จุดที่ต้องปรับปรุงนะ”
“คืออะไรเหรอ”
“พวกเธออยากจะบอกอะไรกับอิชิดะที่กำลังจะแต่งงานกันแน่”
…สิ่งที่อยากจะบอก… อิจจัง?
ครั้งนี้ ฉันถูกอิจจังขอให้กล่าวสุนทรพจน์ตัวแทนเพื่อนในงานแต่งงาน
จากนั้น ฉันก็ไปศึกษาเกี่ยวกับมารยาทในการกล่าวสุนทรพจน์ตัวแทนเพื่อน แล้วอาคาริก็สอนวิธีพูดที่เป็นทางการให้ และฉันก็ตั้งใจจะร่างสุนทรพจน์ตามนั้น
ตามรูปแบบของสุนทรพจน์นั้น สิ่งที่จำเป็นคือการกล่าวชมอีกฝ่าย
“ไม่รู้สิ”
ตอนที่ถูกอิจจังขอให้กล่าวสุนทรพจน์ตัวแทนเพื่อน ฉันอยากจะชมอิจจังจริงๆ เหรอ?
ไม่น่าจะใช่
ไม่น่าจะใช่แบบนั้น
แต่ก็ไม่น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วเหมือนกัน
แต่พอได้อ่านบทความต่างๆ ก็คิดว่าควรจะทำแบบนั้น ก็เลยเอาแต่คิดอย่างดึงดันว่าจะชมเธอยังไงดี
“…นั่นแหละ คือเหตุผลที่คุยกันไม่ลงตัว”
“อื้ม”
เป็นอย่างที่ยามาโมโตะพูด
แหงล่ะ เรื่องมันจะไปสรุปได้ยังไง
ก็ตัวฉันเองไม่ได้คิดว่าอยากจะชมอิจจังอย่างสุดหัวใจซะหน่อย
ฉันเอาแต่คิดว่าจะชมอิจจังยังไงดี
เอาแต่คิดเรื่องนั้น
แต่ว่า อยากจะบอกอะไรกับอิจจังกันแน่นะ
คำพูดของยามาโมโตะทำให้ความคิดที่เคยแข็งทื่อของฉันรู้สึกอ่อนลงเล็กน้อย
บทความเขียนไว้ว่าถ้าจะกล่าวสุนทรพจน์ตัวแทนเพื่อนควรจะชมอีกฝ่าย
ดังนั้น ฉันจึงเอาแต่คิดว่าจะชมอิจจังยังไงดี
แต่ว่า ไม่น่าจะใช่แบบนั้น
งานที่ฉันได้รับมอบหมาย… ไม่ใช่การกล่าวสุนทรพจน์ตัวแทนเพื่อนเพื่อชมอิจจัง
งานที่ฉันควรจะทำคือการบอกความรู้สึกของฉันให้อิจจังได้รับรู้
จะบอกอะไรดีล่ะ
คำตอบที่ถูกต้องอย่างหนึ่งคือการชม
แต่นั่นก็ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว
“เธออยากจะบอกอะไรกับอิชิดะ”
“…ฉันน่ะ”
ฉันอยากจะบอกอะไรกับอิจจังกันแน่นะ…?
MANGA DISCUSSION