หลังจากอิริเอะซังเดินจากไป เราสองคนก็นั่งเงียบ ๆ รอให้รถไฟถึงที่หมาย
ฉันจับราวรถไฟ มองออกไปนอกหน้าต่างที่มีแต่ความมืด
ฮายาชิก้มหน้าเหมือนมีเรื่องในใจ
ทั้งที่ตอนดูละครเวทีหรือหลังจบก็ยังดูสนุกอยู่แท้ ๆ
หรือแม้แต่ตอนลากฉันวิ่งเปลี่ยนขบวนรถไฟ เธอก็ยังดูร่าเริง
แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เธอเปลี่ยนไปแบบนี้
…คงเป็นหลังจากเจออิริเอะซังแน่ ๆ
…แต่ก็อาจจะยังไม่ใช่ เธออาจจะแค่ซึมซับความประทับใจจากละครเวทีอยู่ก็ได้
แต่ไม่ใช่แน่ ๆ
แปลกดีนะ อยู่กับฮายาชิมาสองเดือนกว่า ๆ แค่เห็นท่าทางก็รู้แล้วว่าเธอกำลังเศร้า
“ฮายาชิ เป็นอะไรหรือเปล่า?”
ฉันพยายามถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
วันแรกที่เจอกันใหม่ ๆ ฉันยังไม่คิดจะพูดดี ๆ กับเธอเลย
นี่ก็คงเป็นเพราะเราอยู่ด้วยกันมานานจนเปลี่ยนไป
ฮายาชิไม่ตอบอะไร
ทั้งที่วันแรกที่เจอกัน เธอยังฝืนยิ้มได้อยู่เลย
แต่ตอนนี้กลับเงียบ
บางที เธออาจจะรู้สึกว่าอยู่กับฉันแล้วไม่ต้องฝืนอีกต่อไป
หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้
แต่ที่แน่ ๆ คือเธอเปลี่ยนไปแล้ว
“ยามาโมโตะ เมื่อกี้พูดแบบนั้นดีแล้วเหรอ?”
ในที่สุดฮายาชิก็พูดขึ้นมา
เมื่อกี้…พูดแบบนั้น…
อ้อ เรื่องที่ตอบอิริเอะซังไปสินะ
ฉันพยักหน้าอย่างงง ๆ
เราอยู่ด้วยกันมาสองเดือนกว่า ๆ จนสนิทกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น ช่วยเหลือกันมากขึ้น
ถ้านี่ไม่ใช่ครอบครัว แล้วจะเรียกว่าอะไร
“…เธอคงเข้าใจผิดแน่ ๆ เลย”
ฉันไม่ค่อยเข้าใจว่าฮายาชิหมายถึงอะไร
ฉันไม่คิดว่าการที่เราบอกว่าเป็นครอบครัวจะเป็นการเข้าใจผิด
แต่ฮายาชิอาจจะคิดต่างออกไป
ฉันพยายามตั้งสติ
ปกติถ้าได้ยินอะไรแปลก ๆ จากฮายาชิ ฉันจะล้อเล่นหรือแซวกลับ
แต่ตอนนี้กลับรู้สึกจริงจังขึ้นมา
ฉันถอนหายใจยาว ๆ แล้วคิดทบทวน
ฮายาชิกับอิริเอะซังเพิ่งเจอกันครั้งแรก ส่วนฉันกับอิริเอะซังก็แทบไม่รู้จักกัน
ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ฮายาชิพูดอาจจะถูกก็ได้
“…ถ้าเจอที่มหาลัยอีกจะอธิบายให้เขาฟังนะ”
“อืม แบบนั้นก็ดีแล้ว”
ฮายาชิตอบรับ แต่ฟังดูเหมือนไม่ได้ดีใจจริง ๆ
“…ยามาโมโตะ นายดูไม่ค่อยให้ความสำคัญกับครอบครัวเลยนะ”
“เหรอ?”
“ใช่ นายบอกให้ฉันกลับบ้านแทบตาย แต่ตัวเองไม่เคยกลับบ้านเลย”
“ก็เธอมีเหตุผลที่ต้องกลับบ้านนี่”
เพื่อเยียวยาใจ เพื่อเจอพ่อที่ป่วย
ฮายาชิตอนนั้นควรกลับบ้านจริง ๆ
“แต่ฉันไม่มีเหตุผลอะไรต้องกลับบ้าน”
“กลับบ้านไม่ต้องมีเหตุผลก็ได้”
“เธอพูดเองเหรอ?”
“…ฮะ ๆ ใช่ ขอโทษนะ”
ทั้งที่ตัวเองก็เคยดื้อไม่ยอมกลับบ้านแท้ ๆ
แต่พอฉันพูดแบบนี้ เธอก็หัวเราะออกมา
…เหมือนบรรยากาศจะกลับมาเป็นปกติขึ้นมาหน่อย
“แต่…ครอบครัวสินะ”
ฮายาชิพูดเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“…ถ้าเป็นสมัยมัธยม นายคงไม่พูดแบบนี้แน่ ๆ”
“ฉันเองก็แปลกใจ ไม่คิดว่าจะพูดแบบนั้นได้เหมือนกัน”
“งั้นก็แปลว่า…นาย…ให้ความสำคัญกับฉันมากขึ้นแล้วใช่ไหม”
“ก็คงงั้นแหละ”
เดี๋ยวนี้ได้กินข้าวที่เธอทำก็กลายเป็นความสุขอย่างหนึ่งของฉันไปแล้ว
แต่แน่นอนว่าไม่กล้าพูดให้เธอฟังหรอก
“แฟนเก่าฉันคงไม่เคยคิดว่าฉันเป็นครอบครัวหรอก”
ที่ฉันคิดว่าฮายาชิเป็นครอบครัว ก็เพราะเราอยู่ด้วยกัน
แต่กับแฟนเก่าเธอคงไม่ใช่แบบนั้น
แต่ฮายาชิเองล่ะ ตอนนั้นคิดยังไงกับแฟนเก่า
เรานั่งเงียบกันไปอีกพักหนึ่ง มองออกไปนอกหน้าต่าง
แล้วก็มีเสียงประกาศในรถไฟ
รถไฟเบรกกะทันหันแล้วหยุดสนิท
“ว้าย!”
ฮายาชิร้องเสียงหลง
“ไม่เป็นไรนะ?”
ฉันรีบคว้าเธอมากอดไว้
หน้าของฮายาชิอยู่ตรงอกฉัน หัวใจเต้นแรงมาก
“…ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร แค่ปลอดภัยก็ดีแล้ว”
ฮายาชิผละออกไป
มีประกาศแจ้งว่ารถไฟขบวนหน้าเบรกกะทันหัน ต้องรอให้ขบวนหน้าขยับก่อนถึงจะไปต่อได้
แต่ไม่นานรถไฟก็เริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง
แล้วก็มีประกาศว่าขบวนหน้ามีคนป่วย ต้องจอดรอที่สถานีต่อไปอีก
…แย่จริง ๆ
บรรยากาศในรถไฟเริ่มอึดอัด คนเริ่มบ่นกัน
ฮายาชิดูนาฬิกา
“นี่ ยามาโมโตะ”
“หือ?”
“เรายังต้องเปลี่ยนขบวนอีกทีใช่ไหม?”
“อืม”
“คงไม่ทันรถไฟเที่ยวสุดท้ายแล้วล่ะ”
“…งั้นเหรอ”
ถ้าลงสถานีนี้แล้วเดินกลับบ้านคงต้องเดินเป็นชั่วโมง
“นี่ ยามาโมโตะ”
“หือ?”
“ลงสถานีนี้เลยดีไหม?”
“…เอ๋”
“ฉันเหนื่อยแล้ว”
ตาของฮายาชิดูเหมือนจะมีน้ำตาคลอ
MANGA DISCUSSION