ขณะที่กำลังเตรียมอาหารเย็น ในหัวของฉันก็ยังคงมีความกังวลหลงเหลืออยู่ ถ้าจะถามว่าความกังวลนั้นคืออะไร ก็คือเรื่องของผู้ชายที่อาศัยอยู่ด้วยกันในตอนนี้นั่นเอง
เจ้าหมอนั่นยามาโมโตะ ได้โทรศัพท์ไปที่บ้านรึยังนะ
เมื่อวาน มีพัสดุจากบ้านของหมอนั่นส่งมาให้เขา
จากนั้นพอเริ่มพูดเรื่องพ่อแม่ หมอนั่นก็ทำหน้าไม่พอใจสุดๆ ตอนที่ตอบคำถามของฉัน อืม แต่ว่าโตจนป่านนี้แล้วยังต้องมาโดนพูดเรื่องความสัมพันธ์กับพ่อแม่นู่นนี่นั่นก็น่าจะน่ารำคาญอยู่หรอกนะ ก็เข้าใจได้อยู่ว่าจะทำหน้าแบบนั้น แต่ว่า ต่อให้จะน่ารำคาญแค่ไหน ฉันก็คิดว่าควรจะแสดงความขอบคุณและขอโทษอย่างสุภาพ
เพราะฉะนั้น ฉันคิดว่าถ้าได้รับของแล้วก็ควรจะรีบโทรศัพท์ไปขอบคุณทางนั้นโดยเร็ว
แต่ว่า หลังจากเรื่องนั้นแล้ว หมอนั่นก็ดูเหมือนจะไม่มีท่าทีว่าจะโทรศัพท์ไปหาพ่อแม่เลย
อืม ก็มีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกันว่าเขาอาจจะแอบทำไปแล้วตอนที่ฉันเผลอ แต่โชคร้ายที่ห้องนี้เป็นห้องสำหรับคนเดียวแคบๆ ความเป็นไปได้นั้นก็เลยมีไม่มากนัก
“นี่ นายโทรไปหาพ่อแม่รึยัง”
เวลาแบบนี้ ก็รีบถามยามาโมโตะไปเลยดีกว่า
ฉันคิดแบบนั้นแล้วก็เลยถามออกไป
…อืม แต่ว่ายามาโมโตะถึงจะดูเหมือนคนขี้เกียจ แต่ก็เป็นคนที่ทำอะไรเรียบร้อยดี เพราะงั้นก็น่าจะโทรไปนานแล้วล่ะ
ทั้งหมดเป็นแค่ความกังวลเกินเหตุของฉันเอง
ฉันคิดว่าจะเป็นแบบนั้น
แต่ว่ายามาโมโตะกลับทำหน้าลำบากใจแล้วก็หันหน้าหนีไปทางอื่น
“เอ๊ะ หรือว่าจะยังไม่ได้โทรไป”
ยามาโมโตะวางอาหารเย็นที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะ
“โทรแล้ว?”
“โกหก ไม่เนียนเลย”
อีกครั้ง ยามาโมโตะหันหน้าหนีไปทางอื่น
…น่าแปลกใจ
ไม่นึกเลยว่ายามาโมโตะคนนั้นจะถึงกับต้องโกหกฉันเพื่อที่จะหนีจากเรื่องที่น่าอึดอัด
ใช่แล้ว
มันคือการหนี
หมอนั่นเคยพูดไว้ไม่ใช่เหรอ
พูดด้วยใบหน้าที่ภาคภูมิใจไม่ใช่รึไง
“นายเคยพูดไม่ใช่เหรอ ว่าจะเผชิญหน้ากับทุกเรื่องอย่างตรงไปตรงมาน่ะ”
ถึงจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิยามาโมโตะหรอกนะ
แล้วก็ไม่ได้ผิดหวังในตัวยามาโมโตะด้วย
เรื่องที่หมอนี่เป็นคนที่พูดแล้วทำจริงน่ะ มันไม่ต้องสงสัยเลย
เพียงแต่ว่า สงสัยเท่านั้นเอง
เหตุผลที่หมอนี่ถึงกับต้องพยายามหนีจากเรื่องที่ไม่ชอบขนาดนี้
“…นี่มันไม่ใช่การหนี”
“แล้วมันคืออะไรล่ะ”
“…การถอยอย่างมีกลยุทธ์”
“นั่นก็คือการหนีไม่ใช่เหรอ”
พอฉันชี้ให้เห็นแบบนั้น ยามาโมโตะก็หลับตาลงด้วยใบหน้าที่ลำบากใจ
…ยามาโมโตะที่ทำหน้าทุกข์ใจขนาดนี้ เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกเลยนะ รู้สึกตลกนิดหน่อยแฮะ
“ก็แค่พูดขอบคุณเองไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่ แต่มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ”
“เอาเถอะน่า โทรไปซะสิ”
“…ไว้ทีหลังนะ”
“ไม่ได้ ต้องตอนนี้”
“รอให้กินข้าวเสร็จก่อนไม่ได้รึไง”
“พูดแบบนั้นแล้วก็จะเบี้ยวใช่ไหมล่ะ”
ฉันแย่งจานข้าวที่ยามาโมโตะวางไว้บนโต๊ะ
ยามาโมโตะก้มหน้าลงอย่างท้อแท้ แล้วก็หยิบสมาร์ทโฟนเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป
หมอนั่นเดินไปทางประตูหน้า
สักพักก็ได้ยินเสียงพูดคุยเบาๆ ของเขา
“…ฮัลโหล เออ ฉันเอง ขอโทษนะที่โทรมาตอนกำลังกินข้าว”
แย่งข้าวไปแล้วก็บังคับให้ไปโทรศัพท์ แล้วจะให้ฉันกินข้าวคนเดียวระหว่างนั้นก็คงจะไม่ได้
ฉันตั้งใจฟังเสียงกระซิบของเขา แล้วก็รอให้เขากลับมาอย่างเงียบๆ
“อืม ได้รับแล้วล่ะ ขอบคุณนะ… เอ๊ะ? อ่า เหรอ เก่งจัง ยินดีด้วยนะ”
อะไรกัน
ทั้งๆ ที่ทำท่าทางไม่พอใจแท้ๆ แต่ก็คุยกันได้ปกติดีนี่นา
“พ่อกับแม่อยู่รึเปล่า… เหรอ เข้าใจแล้ว งั้นฝากบอกด้วยนะ”
…หมอนั่น ไม่ได้เป็นลูกคนเดียวหรอกเหรอ
“เอ๊ะ?… ไม่ล่ะ สักพักใหญ่ๆ ตอนนี้กำลังยุ่งอยู่น่ะ”
น้ำเสียงดูเหมือนจะอึดอัดขึ้นมา
“…เอ๋ เอ๋…? ขะ เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว…”
มีน้องสาวที่น่ารักจนเกลียดไม่ลงอยู่รึเปล่านะ?
พอได้ยินเสียงของยามาโมโตะที่ยอมแพ้ต่อการรบเร้าแล้ว ก็อดคิดแบบนั้นไม่ได้
“งั้นแค่นี้นะ อืม ไว้จะติดต่อกลับไปตอนที่จะกลับบ้านนะ”
เสียงของยามาโมโตะเงียบไป แล้วสักพักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้
MANGA DISCUSSION