สมัยมัธยมปลาย ในห้องเรียนของผมมีผู้หญิงคนหนึ่งที่เหมือนราชินี ไม่ใช่เพราะเธอปกครองประเทศจริง ๆ แต่เพราะเธอสวยกว่าเพื่อนนิดหน่อย เสียงดัง และพูดจาตรงไปตรงมา
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ เมื่อเจอคนที่แข็งแกร่งกว่าก็จะหวาดกลัว แต่เมื่อเจอคนที่อ่อนแอกว่าก็จะรังแกอย่างโหดร้าย
เพื่อนร่วมชั้นทุกคนเข้าใจในทันที เมื่อเปรียบเทียบตัวเองกับเธอแล้ว ตัวเองด้อยกว่าเธอ
แน่นอนว่าเธอมีเพื่อนเยอะ ทั้งพวกที่อยากได้ส่วนแบ่งจากอำนาจของเธอ พวกที่กลัวเธอจนกลายเป็นคนติดตาม และเพื่อนแท้จริง ๆ สองสามคน แต่แม้แต่คนเหล่านั้นก็ไม่ค่อยกล้าใช้คำพูดแรง ๆ กับเธอ
หลังจากใช้ชีวิตมัธยมปลายสามปีกับการมีคนรับใช้แบบนี้ เธอจึงค่อย ๆ ได้รับการเรียกขานว่า
“ราชินี”
…แต่เรื่องเก่า ๆ ไว้ก่อน หลังจากที่ผมย้ายมาโตเกียวเพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ประมาณสี่เดือน
วันนี้ก็ทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านคอนบินีเหมือนเดิม เพื่อหาเงินใช้จ่าย กะกลางคืนจ่ายดีกว่ากะกลางวัน และไม่ต้องกังวลว่าจะชนเวลาเรียนด้วย
ปัญหาเดียวคือระหว่างเรียนจะง่วงมาก แค่นั้นแหละ
ร้านคอนบินีแห่งนี้แม้จะอยู่ในเขตเมือง แต่ใกล้ย่านที่พักอาศัย กะกลางคืนก็เลยไม่ค่อยมีลูกค้า ในสถานการณ์แบบนี้ การมีลูกค้าเข้าร้านจึงเป็นเรื่องแปลก
คนที่เข้ามาเป็นผู้หญิง หญิงสาวคนหนึ่ง แต่แต่งตัวด้วยชุดสเวตเตอร์สีเทา ดูไม่มีชีวิตชีวาเลย
ลูกค้าผู้หญิงประมาณครึ่งหนึ่งที่มาเวลานี้ก็เป็นแบบนี้แหละ ผู้หญิงที่มาร้านคอนบินีตอนกลางวันก่อนออกไปไหนต่อไหนจะแต่งหน้าจัดเต็ม ใส่กระโปรงสั้นน่ารัก หรือเสื้อเปิดอก แต่ผู้หญิงที่มาเวลานี้มักจะอยู่ในสถานะที่เหลือแค่กลับไปนอน จึงไม่มีอะไรน่าดู
รีบซื้อของเสร็จแล้วไปซะ
ขณะที่บ่นในใจแบบนี้ ผมเฝ้าดูผู้หญิงคนนั้นผ่านจอมอนิเตอร์ในห้องพักของพนักงาน ตรงข้ามกับความปรารถนาของผม เธอเดินไปแผงนิตยสารก่อน แล้วเริ่มยืนอ่านหนังสือ
ดูเหมือนจะใช้เวลาพอสมควร
ผมคิดอย่างนั้น แต่เนื้อหานิตยสารคงไม่น่าสนใจ เธอจึงเริ่มเดินดูของในร้าน เดินดูของใช้ ขนม แล้วหยิบเบนโตะใส่ตะกร้า และเดินมาที่เคาน์เตอร์
“ฮึบ!”
เสียงอุทานแปลก ๆ หลุดออกมาตอนลุกจากเก้าอี้อย่างกับลุงแก่ ๆ เงินเดือนดีแต่ต้องใช้ชีวิตเรียนตอนกลางวัน ทำงานตอนกลางคืน ทำให้เหนื่อยล้าเกินไป คิดในใจว่าสัปดาห์หน้าคงต้องขอลดชั่วโมงงานหน่อย ผมเดินออกไปที่เคาน์เตอร์
ผู้หญิงที่เคาน์เตอร์กำลังมองของในตะกร้าอย่างเซ็ง ๆ
จากจอมอนิเตอร์ทำให้มองเห็นไม่ชัด แต่เมื่อเข้าใกล้ ผมคิดว่าผู้หญิงคนนี้สวยทีเดียว
ผมยาวสีดำ ขนตายาว จมูกโด่ง ปากเล็ก
ผู้หญิงสวยขนาดนี้ก็ใส่สเวตเตอร์ได้สินะ
หรือว่าผมเคยเห็นเธอที่ไหนมาก่อน คงเป็นลูกค้าประจำที่เคยมาให้ผมคิดเงินหลายครั้งแล้วมั้ง
ผมคิดแค่นั้น แล้วตั้งใจทำงาน
พี๊บพี๊บ ขณะที่กำลังสแกนบาร์โค้ดสินค้าที่เธอซื้อ
“เอ๊ะ ยามาโมโตะ?”
เสียงค่อนข้างหยาบ ไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงทั่วไป แม้ผมไม่ได้คิดแบบเชย ๆ แต่เสียงแบบนี้คงต้องลดคะแนนลง… แต่สิ่งที่ผมสนใจที่สุดคือเสียงนี้ฟังคุ้นหู
แล้วเธอรู้จักชื่อผมด้วยเหรอ?
ผมหยุดดูสินค้า แล้วเงยหน้าขึ้น สังเกตผู้หญิงตรงหน้าอย่างช้า ๆ
ผู้หญิงตรงหน้าสวยจริง ๆ… แต่หน้าบึ้งนิดหน่อย และใบหน้านี้ก็ดูคุ้นตา
เสียง หน้าตา และท่าทาง
สเวตเตอร์ทำให้ไม่สังเกต แต่ผมก็รู้จักเธอเหมือนกัน สถานที่ที่เจอกันคือก่อนจะมาโตเกียว สมัยมัธยมปลาย ผมกับเธออยู่ห้องเดียวกัน
“ฮายาชิเหรอ”
“อื้ม นานแล้วนะ”
ฮายาชิ เมกุมิ
เพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมในชนบท หน้าบึ้ง เสียงดุ และร่างกายสัดส่วนดีที่ตอนนี้ซ่อนอยู่ในสเวตเตอร์
เธอสมัยมัธยม… คือราชินีที่ผมเพิ่งนึกถึงอย่างแน่นอน
“นายอยู่แถวนี้เหรอ”
เธอกับผมสมัยมัธยมไม่ได้สนิทกัน พูดคุยกันนับด้วยนิ้วมือข้างเดียวยังได้ ผมไม่เคยคิดจะไปคุยด้วย เธอก็คงเหมือนกัน ผมนึกว่าเธอเกลียดผมด้วยซ้ำ
แต่น่าแปลกที่ฮายาชิเข้ามาคุยด้วยท่าทีเป็นมิตร
“ใช่ อยู่อพาร์ตเมนต์แถวนี้ เธอด้วยเหรอ?”
“…อื้ม ก็ใช่”
ผมรู้จากเพื่อนร่วมชั้นว่าเธอมาเรียนมหาวิทยาลัยในโตเกียว แต่ไม่คิดว่าจะอยู่แถวนี้ ซวยจริง
“นายเรียนมหาวิทยาลัยไหนนะ?”
“มหาวิทยาลัย K”
“เก่งจังนะ หัวดีนี่”
“แค่เรียนหนักเท่านั้นแหละ เธอล่ะ?”
“เหอ?”
“เหอ? ผมถามมหาวิทยาลัยของเธอไง”
สแกนบาร์โค้ดเสร็จแล้ว ผมถามด้วยหน้าเซ็ง
ฮายาชิทำหน้าไม่พอใจแล้วก้มลง ทำไมต้องทำหน้าขุ่นเคืองขนาดนั้น ผมไม่ได้จะไปมหาวิทยาลัยเธอแบบไม่ได้รับเชิญ หรือไปสะกดรอยตามซะหน่อย เป็นแค่การสนทนาธรรมดา พอเธอออกจากร้านไปผมก็จะลืมแล้ว
“…มหาวิทยาลัย M”
“อืม ใส่ถุงมั้ย?”
“ใส่”
คิดค่าถุงเพิ่มสามเยน ผมรอให้เธอจ่ายเงิน ใส่เงินเข้าเครื่องและใส่ของลงถุง
“เจอคาซาฮาระล่าสุดตอนไหน?”
ผมถาม
คาซาฮาระ… คือเพื่อนซี้ของเธอสมัยมัธยม
“ไม่ได้เจอ”
“อืม นึกว่าพวกเธอสนิทกัน”
ผมเองก็มีเพื่อนที่ไม่ได้ติดต่อหลายคนแล้ว แม้เพิ่งจบมัธยมมาแค่ห้าเดือน เข้ามหาวิทยาลัยได้สี่เดือน เป็นช่วงที่ต้องใช้เวลาผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย
“มหาวิทยาลัยสนุกมั้ย”
“…ก็ธรรมดา นายล่ะ?”
“ดูจากที่ผมมาทำงานดึกขนาดนี้ก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ เรียบร้อยดี”
“แบบไหนกัน พูดให้รู้เรื่องหน่อยสิ”
ฮายาชิพูดด้วยท่าทีเบื่อ มาคิดดู เธอสมัยมัธยมก็ทำหน้าไม่พอใจทุกครั้งที่ผมพูดแบบคลุมเครือ คงไม่ชอบการพูดจาแบบหลบเลี่ยง
แต่เมื่อกี้เธอทักทายผมแบบเป็นมิตร แต่พอถามเรื่องตัวเธอเองก็ดูไม่อยากพูด
นี่…คงเป็นแบบที่ชีวิตมหาวิทยาลัยไม่ราบรื่นแน่
น่าแปลกมาก
เธอหน้าตาสวย แต่ไม่ใช่แค่นั้น ผมคิดแบบนี้เพราะความทรงจำเรื่องเธอสมัยมัธยม คนอื่นจะเกรงกลัวเรียกเธอว่าราชินี แต่ผมไม่เคยคิดว่าเธอเป็นราชินี ไม่ได้เกลียด ไม่ได้ชอบ
ผมแค่คิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเข้มแข็งเหมือนผู้ชาย
เธอถูกเรียกว่าราชินีด้วยความเกรงกลัว แต่ไม่ได้เอาแต่ใจแบบไร้ขีดจำกัด
แค่ปากร้ายหน่อย เกลียดสิ่งที่ไม่ยุติธรรม และโมโหง่าย ประมาณนั้น
…เดี๋ยวนะ นั่นก็เอาแต่ใจระดับสูงอยู่ดีนิ?
“เอานี่”
“ขอบใจ”
ฮายาชิยื่นมือมารับถุงสินค้า
ตอนนั้น ผมเผลอเห็นไปเฉย ๆ รอยช้ำที่ข้อมือที่แทบมองไม่เห็นใต้แขนเสื้อสเวตเตอร์
เธอทำหน้าตกใจ
โดนเห็นแล้ว ใบหน้าฮายาชิบิดเบี้ยว
“…ข้อมือเป็นอะไรเหรอ?”
ขอชี้แจงก่อนว่าผมไม่ได้อยากดูรอยช้ำที่ข้อมือเธอ คำถามนี้ก็ไม่ได้อยากถาม
การที่เห็นรอยช้ำที่น่าสงสารเป็นเรื่องบังเอิญ และที่ผมถามก็เพราะ…เด็กผู้หญิงที่สมัยมัธยมเกลียดความอยุติธรรมมากกว่าใคร และกล้าเผชิญหน้ากับใครก็ได้ด้วยความยุติธรรม กลับต้องก้มหน้าด้วยความกลัว
ฮายาชิบิดหน้าหนีด้วยความหวาดกลัวจริง ๆ
การบาดเจ็บธรรมดาไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังจากคนอื่น บอกว่ากำลังรักษาตัวจะได้รับความเห็นใจจากหลายคน ควรจะอวดไปรอบ ๆ เลยด้วยซ้ำ
แต่ฮายาชิเลือกที่จะปิดบัง เหมือนกับว่าถ้าถูกจับได้จะเป็นปัญหาใหญ่
“ถูกตี”
“ใครตี”
“…แฟน”
ตอนนี้ผมถึงได้สังเกตความผิดปกติ ตอนนี้ยังเป็นหน้าร้อน แม้จะดึกแล้วก็ยังเร็วเกินไปที่จะใส่สเวตเตอร์แขนยาวออกมาข้างนอก
และเมื่อถามก็บอกว่ารอยช้ำที่ข้อมือเป็นเพราะถูกแฟนทำร้าย
…ความรู้สึกไม่ดีผุดขึ้นในหัว เป็นสิ่งที่ในฐานะคนที่เรียนห้องเดียวกัน ตั้งใจเรียนหนัก และจบไปในปีเดียวกัน ไม่อยากให้เป็นเรื่องจริง
รอยช้ำใต้สเวตเตอร์ของเธอคงเต็มไปหมด รอยช้ำสีน้ำเงินคล้ำที่น่าสงสารมากกว่านี้
“…แฟนอยู่ไหนวันนี้?”
“อยู่ที่ห้อง”
“ห้อง…?”
“อยู่ด้วยกัน”
เพิ่งจบมัธยม มาโตเกียวได้แค่ไม่กี่เดือน แต่มีความสัมพันธ์ที่พัฒนาขนาดนี้แล้ว แค่นี้ก็ตกใจแล้ว แต่เป็นห่วงมากกว่า
“คืนนี้มาค้างที่ห้องมั้ย”
“หา?”
“อย่าทำหน้าดุ กลัวจะตาย”
ขณะที่ถูกฮายาชิจ้องมา ผมรู้สึกหวาดเกรงเหมือนสมัยมัธยม…สมัยนั้นเธอที่น่ากลัวแบบนี้ ตอนนี้กลับถูกแฟนใช้ความรุนแรง
“เข้าใจแล้ว ผมไม่ทำอะไรหรอก ถ้ากลัวจริง ๆ แค่ให้กุญแจ แล้วคืนนี้ผมไปนอนเน็ตคาเฟ่”
ฮายาชิยังคงจ้องมาทำตาดุ
“…อะไรก็ได้ ยังไงก็อย่ากลับห้องคืนนี้ อย่ากลับไปเลย โทรหาพ่อแม่แล้วหนีกลับบ้าน”
โชคดีที่ตอนนี้มหาลัยปิดภาคฤดูร้อน จะกลับบ้านโดยไม่ให้แฟนสงสัยก็หาข้ออ้างได้เต็มไป
“…ทำไม่ได้”
“ทำไม”
“…พ่อแม่ตัดขาดแล้ว”
“ตัดขาดทำไมละ!?”
“พอบอกว่าจะอยู่ด้วยกับแฟน ท่านโกรธมาก”
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าอ้าปากค้างเหรอ ภาพราชินีสมัยนั้นไม่ซ้อนทับกับเธอตอนนี้เลย ตอนนี้เธอเหมือนลูกแมวที่หวาดกลัว
“ท่านบอกว่าถ้าเป็นแบบนั้นจะไม่ส่งค่าเล่าเรียน …เลยเลิกเรียนแล้ว”
“…ยังไงคืนนี้ก็อย่ากลับห้อง”
หลังจากเงียบไปสักพัก ผมบอกเธอ ฟังเรื่องของฮายาชิมาแค่นี้ก็น่าตกใจไปหมดแล้ว แต่ดูเหมือนจะยังมีเรื่องน่าสะพรึงกลัวอีก
“จะไปเอากุญแจมา ที่อยู่จะบอกตอนนั้น”
ผมเข้าไปในห้องล็อกเกอร์แล้วกลับมาเคาน์เตอร์ทันที ถ้าให้เวลาเธอตอนนี้ รู้สึกว่าเธอจะหนีไป
“เอานี่”
ผมจะส่งกุญแจให้ฮายาชิ
“…ไม่เอากุญแจ”
“เฮ้ย”
“…รอ”
“หา?”
“จะรอจนเลิกงาน”
ดูดี ๆ แล้วตัวฮายาชิสั่น ตอนนี้ผมถึงเข้าใจความรู้สึกของเธอ ตอนนี้เธอกลัว บางทีเธออาจคิดว่าการไม่กลับห้องแล้วมาอยู่กับผมเป็นการทรยศต่อแฟน หรือกลัวการแก้แค้นที่รออยู่หลังจากที่แฟนรู้เรื่องนี้ หรืออาจกลัวว่าจะโดนผมทำร้ายเหมือนที่แฟนทำ
ด้วยสาเหตุต่าง ๆ นานา เธอจึงอยากอยู่กับผมแม้ว่าน่าจะเกลียดผมอยู่
“…อีกประมาณหนึ่งชั่วโมง ไปอ่านนิตยสารรอได้”
ข้างนอกท้องฟ้าเริ่มสว่าง แสงสีขาวแผ่ซ่านขึ้นมา
ดีที่เธอต้องรอแค่หนึ่งชั่วโมง แต่พึ่งนึกขึ้นได้ เวลานี้แฟนที่อยู่ด้วยกับเธอปล่อยให้เธอออกมาเดินคนเดียวข้างนอกเหรอ?
สมัยมัธยม เธอกับผมไม่ได้สนิทกัน เธอน่าจะเกลียดผมด้วยซ้ำ
ความสัมพันธ์ของเรา หลังจบมัธยมแล้วควรจะขาดการติดต่อไปตามธรรมชาติ
แต่เจอเธอแบบนี้ รู้สถานการณ์ปัจจุบันของเธอ… ความโกรธที่พุ่งขึ้นมาในใจนี้คืออะไรกัน
MANGA DISCUSSION