ในวันนั้น ลิเลียน่าอารมณ์ดีตั้งแต่เช้า มารีแอนน์ที่ช่วยจัดแต่งทรงผมให้เธออยู่ก็หัวเราะแห้ง ๆ พลางพูดว่า “ดูน่าสนุกนะคะ คุณหนู” ลิเลียน่ายิ้มบางๆ อย่างสงบแล้วพยักหน้าเบาๆ
“ดีใจที่จะได้พบกับองค์ชายมากขนาดนั้นเลยหรือคะ? วันนี้ก็มีกำหนดจะอยู่ในพระราชวังนานกว่าปกติด้วยนี่คะ”
〈ค่ะ〉
ลิเลียน่าพยักหน้า ทว่าไรลีย์ที่เป็นคู่หมั้นของเธอก็ไม่ใช่คนว่างเช่นกัน ที่จริงแล้ว ลิเลียน่าจะได้พบกับไรลีย์เพียงช่วงเช้าเท่านั้น ตอนบ่ายเขามีภารกิจอื่น ซึ่งลิเลียน่าไม่ได้บอกมารีแอนน์ว่าคืออะไร เธอบอกเฉพาะกับออลก้าและกิลด์ที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์เท่านั้น นอกเหนือจากนั้น— ไรลีย์เอง—ลิเลียน่าก็ไม่มีเจตนาจะบอกเขาเลย เพราะมีความเป็นไปได้ว่าข่าวอาจเล็ดลอดถึงหูของดยุกคลาร์กได้
“ขอให้เดินทางปลอดภัยนะคะ”
มารีแอนน์ส่งลิเลียน่าที่หน้าประตูคฤหาสน์ ลิเลียน่าออกจากบ้านพร้อมกับออลก้าและกิลด์ ทั้งสองแต่งตัวเรียบร้อยดูเป็นองครักษ์ของขุนนาง ไม่เหมือนกับตอนที่พบกันระหว่างเดินทางกลับจากเขตฟอร์เทีย กิลด์ถึงแม้ใบหน้าและบรรยากาศจะดูเป็นทหารรับจ้าง แต่ในทางกลับกัน ออลก้ากลับมีบรรยากาศที่สง่างามราวกับอัศวินประจำราชสำนัก เดิมทีนั้นกิลด์ไม่ค่อยอยากเข้าไปในวังเท่าไหร่ แต่ลิเลียน่าก็จัดการกล่อมจนสำเร็จ ที่สำคัญ กิลด์ยังคอยหลบสายตาผู้คนอย่างระมัดระวัง ทำให้ออลก้าเป็นคนที่โดดเด่นในฐานะองครักษ์แทน ซึ่งเหมาะสมอยู่แล้ว เพราะออลก้าคุ้นเคยกับการรับมือขุนนางมากกว่า อีกทั้งองครักษ์เองก็ไม่ค่อยมีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับขุนนางมากนักอยู่แล้ว
เมื่อถึงพระราชวัง ลิเลียน่าก็ย้ำเวลานัดหมายกับออลก้าและกิลด์อีกครั้ง จากนั้นก็เดินทางไปยังห้องรับรองเพื่อพบกับไรลีย์ ถึงจะมีสาวใช้คอยนำทาง แต่สำหรับลิเลียน่าที่มาเยือนบ่อยๆแล้ว พระราชวังแห่งนี้ก็เหมือนบ้านตัวเองมากกว่าคฤหาสน์เขตฟอร์เทียเสียอีก
เมื่อมาถึงห้องรับรอง ไรลีย์ยังไม่มา คงจะติดภารกิจอย่างอื่น บางครั้งไรลีย์ก็จะมารอที่ห้องนี้ก่อน แต่โดยปกติแล้วมักจะเป็นลิเลียน่าที่ต้องรอ เมื่อเตรียมใจไว้แล้ว ลิเลียน่าจึงนั่งลงที่โซฟาและหยิบหนังสือจากกระเป๋าขึ้นมาอ่าน เป็นหนังสือรวมบทกวีที่นำมาอ่านเพื่อไม่ให้ดูเสียมารยาทหากมีใครเห็น เป็นบทกวีที่ว่าด้วยความรักที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่ลูกสาวขุนนาง ทว่ามันกลับไม่ถูกจริตกับเธอสักเท่าไหร่ จึงอ่านได้ช้ามาก
(――หัวใจของท่านงดงามและสุกสกาวราวกับเทพีแห่งจันทรา ฟอร์มองต์ หล่อเลี้ยงความรักของข้า แต่หาได้หลอมละลายผืนดินอันเหน็บหนาวไม่ หากแต่ปล่อยให้ข้าหนาวเหน็บต่อไป――ไม่เข้าใจเลยสักนิด)
ไม่เหมือนกับตำราเวทที่มีคำศัพท์ยากๆ บทกวีเหล่านี้ใช้คำง่ายและประโยคสั้น แต่การจะเข้าใจว่าหมายถึงอะไรก็ยังเป็นเรื่องทรมานสำหรับลิเลียน่าอยู่ดี หากคิดว่าผู้หญิงทั้งหลายบนโลกคาดหวังคำพูดทำนองนี้จากคนรักแล้วละก็ เธอแทบจะรู้สึกสงสารพวกผู้ชายเลยด้วยซ้ำ
(นัยน์ตาของท่านคือดวงตะวัน วาจาของท่านคือเปลวเพลิงจากเตาผิง มือของท่านคือไฟนรกที่ผลาญเผาข้าให้หลงใหล――? ถ้าเป็นคนบาปนัก ทำไมไม่ถูกเผาให้เรียบร้อยไปซะล่ะ)
เธอรู้ว่านี่เป็นการเปรียบเปรย ทว่าเธอก็ไม่เข้าใจเจตนาของผู้แต่งเลยสักนิด ไม่ใช่ว่าถอดความไม่ได้ แต่เธอไม่รู้สึกอินด้วยอย่างสิ้นเชิง ต่างจากเหล่าคุณหนูคนอื่นๆ ที่อ่านแล้วตาเป็นประกาย หัวใจเต้นตึกตัก ลิเลียน่าไม่มีทางรู้สึกแบบนั้นได้แน่นอน
แต่กระนั้น คำพูดประเภทนี้ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นในการเข้าสังคมของขุนนาง เมื่อถึงเวลาเดบิวต์อย่างเป็นทางการในแวดวงสังคม
แล้วลิเลียน่าก็รู้สึกได้ถึงความไหวตัวของอากาศ เธอไม่ได้จดจ่อกับหนังสืออยู่แล้วจึงเงยหน้าขึ้นดู ไม่ใช่ไรลีย์แน่ และก็เป็นตามคาด สิ่งที่เธอเห็นคือบุตรีของท่านมาร์ควิสแทนเนอร์ มัลวิน่า
(อะไรกัน มาทำอะไรเนี่ย)
มัลวิน่ามองมาทางลิเลียน่าด้วยรอยยิ้มที่แฝงความเป็นศัตรู เธอคือหนึ่งในผู้ถูกเสนอชื่อให้เป็นคู่หมั้นของไรลีย์ แต่มีสถานะต่ำกว่าลิเลียน่า อีกทั้งระยะหลังไรลีย์พบกับลิเลียน่าบ่อยกว่ามัลวิน่าจนมีข่าวลือว่าเธอหมดโอกาสแล้ว ผลการอบรมการเป็นพระชายาก็ไม่มีอะไรโดดเด่น――แต่แน่นอนว่าเทียบกับลิเลียน่าแล้ว…
อย่างไรก็ตาม มัลวิน่าก็ยังมีความภาคภูมิใจในฐานะลูกสาวมาร์ควิส ลิเลียน่าแทบจะไม่เจอเธอบ่อยนัก แต่ได้ยินมาว่าเธอชื่นชอบของหรูหรา ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และไล่ตามกระแสแฟชั่นอยู่ตลอด และวันนี้เสื้อผ้าที่เธอสวมก็ดูแปลกตาจนลิเลียน่าคิดว่าอาจมาจากจักรวรรดิยูนาเชียนประเทศเพื่อนบ้าน
การรู้จักประเมินคุณค่าสิ่งของก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพระชายา แต่แค่นั้นยังไม่พอ
เพราะการเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งพระชายานั้น เปรียบได้กับการทดสอบคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด และถึงแม้ลิเลียน่าจะเสียเปรียบเพราะพูดไม่ได้ แต่คุณสมบัติที่โดดเด่นของเธอก็ปรากฏเด่นชัดออกมาอยู่ดี
“แหม มาอ่านหนังสือคนเดียวในที่แบบนี้ได้ยังไงกันคะ ดิฉันยังเป็นห่วงอยู่เลยว่าเสียงของคุณยังไม่หายดี แล้วนี่ก็สมกับเป็นบุตรีของดยุกคลาร์กจริงๆนะคะ ดิฉันแค่ได้อยู่ใกล้ราชวงศ์ก็รู้สึกตื่นเต้นไปทั้งตัวแล้วค่ะ”
มัลวิน่าหัวเราะ
อ่านแฝงก็จะได้ความว่า “ทั้งที่อยู่ในวังแท้ๆ ยังมาคนเดียว ไม่มีเสียงพูดเป็นปกติ ยังจะกล้าทำตัวเหมือนบ้านตัวเองอีก หน้าไม่อายจริงๆ”
ถึงจะไม่มีสาวใช้อยู่ใกล้เธอเช่นกัน แต่มัลวิน่าก็คงให้รออยู่ที่ไหนสักแห่ง ที่เธอมานี่ก็คงเพราะเห็นลิเลียน่าอยู่ที่ห้องรับรอง
แต่ลิเลียน่ากลับไม่สะทกสะท้านต่อคำแดกดันใดๆ เธอเพียงยิ้มหวาน ยกพัดออกมาบังปากอย่างสง่างาม เอนคอน้อยๆ แล้วหันไปมองโต๊ะซึ่งเตรียมไว้ เธอไม่ได้พูดคำใดแม้แต่คำเดียว แต่ก็ส่งสัญญาณเตือนไปยังอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว――กล่าวคือ
――ตอนนี้ฉันกำลังรอองค์ชายอยู่นะคะ ท่านล่ะ ได้รับเชิญมาหรือเปล่า?
แม้จะไม่ได้จับความหมายทุกถ้อยคำได้ตรงเป๊ะ แต่มัลวิน่าก็เข้าใจว่าลิเลียน่ามีนัดกับไรลีย์ หน้าของเธอเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว คงรู้ตัวอีกครั้งว่าตัวเองอยู่ห่างจากตำแหน่งพระชายามากแค่ไหน
แค่คิดว่าที่นี่คือห้องรับรองส่วนพระองค์ของราชวงศ์ก็น่าจะเข้าใจได้อยู่แล้ว―ลิเลียน่ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาปรานีเล็กน้อย
ทันทีที่มัลวิน่าจะพูดอะไรต่อ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นว่า “เป็นคู่ที่หาดูยากจังนะ” พอหันไปมอง ก็เห็นออสตินยืนอยู่
แก้มของมัลวิน่าแดงระเรื่อ ลิเลียน่ามองอย่างเหนื่อยใจ จะเป็นคู่หมั้นของไรลีย์แท้ ๆ แต่กลับยังหวั่นไหวกับชายอื่น แค่นี้เกินยอมรับแล้ว แม้แต่จะหึงหวงก็พอเข้าใจ แต่คนที่จะเป็นแม่ของแผ่นดินในอนาคต ควรมีจิตใจที่มั่นคงกว่านี้
ถึงอย่างนั้น ถ้ามองว่าออสตินเป็นลูกชายคนรองของตระกูลดยุก และยังเป็นเพื่อนสนิทของไรลีย์ตั้งแต่เด็ก รูปลักษณ์ก็มีแววว่าจะหล่อเหลาในอนาคตแล้วละก็ บางคนอาจจะหวั่นไหวบ้าง…ถึงลิเลียน่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนั้นเลยก็ตาม
“มะ…ไม่ใช่นะคะ ฉันแค่ เห็นคุณลิเลียน่าอยู่คนเดียวเลยเป็นห่วง…”
มัลวิน่าแก้ตัวเสียงสั่น แต่ออสตินก็ยังคงท่าทีสุภาพเหมือนตอนเจอลิเลียน่าครั้งแรก ลิเลียน่าเพียงมองอยู่เงียบ ๆ ออสตินเดินเข้าไปใกล้มัลวิน่า แล้วหันมาหาลิเลียน่า
“องค์ชายกว่าจะมาคงอีกสักพัก ช่วยรออีกหน่อยได้ไหม”
ลิเลียน่าพยักหน้า ตั้งแต่พบกันช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา เธอก็ได้พบออสตินบ่อยครั้งในวัง และเพราะไรลีย์อยู่ด้วย เขาจึงมักมีท่าทีเป็นกันเองอยู่เสมอ พอเห็นออสตินในมาดสุภาพบุรุษเต็มขั้นเช่นนี้ เธอก็รู้สึกอึดอัดแปลกๆ
ออสตินส่งยิ้มให้มัลวิน่าแล้วบอกว่า “จะไปส่ง” ด้วยท่าทางที่นุ่มนวลกว่าคนส่วนใหญ่ แม้แต่ไรลีย์ยังดูไม่ค่อยถนัดเท่าเขา ลิเลียน่าแอบคิดว่าชายคนนี้คงมีประสบการณ์ดูแลหญิงสาวมาไม่น้อย
แต่ก็นั่นแหละ การที่มัลวิน่าโดนพาออกไปได้ก็นับว่าเป็นบุญสำหรับลิเลียน่า เพราะในสภาพที่พูดไม่ได้ ต่อให้คิดจะเถียงไล่ออกก็ทำไม่ได้ ได้แค่ยิ้มรับแล้วปล่อยผ่าน
เมื่อส่งออสตินและมัลวิน่าออกไปแล้ว ลิเลียน่าหันกลับมาอ่านบทกวีต่อ แต่เธอก็ไม่มีสมาธิเลย คำแต่ละคำไม่เข้าหัวเลยสักนิด พอจะปิดหนังสือก็รู้สึกได้ถึงออร่าคุ้นเคยที่ใกล้เข้ามา
“ขอโทษที่ให้รอนะ”
ผู้ที่ปรากฏตัวมาพร้อมเสียงกล่าวขอโทษคือไรลีย์ ลิเลียน่าส่ายหน้าเพื่อให้เขาวางใจ
[ไม่เป็นไรหรอกเพคะ ฝ่าบาท]
ลิเลียน่าตอบโดยใช้สร้อยข้อมือที่ไรลีย์เคยมอบให้ที่คฤหาสน์เขตฟอร์เทีย สวมอยู่ที่ข้อมือซ้าย ไรลีย์ยิ้มอย่างดีใจ ถึงจะได้พบกันมาหลายครั้งหลังงานของพี่ชายอย่างไคลด์ แต่วันนี้ไรลีย์ก็ดูเหนื่อยล้ากว่าปกติ
[งานหนักหรือเพคะ?]
“ก็…นะ คงงั้นแหละ”
ไรลีย์ตอบคลุมเครือ เขายื่นมือออกมาเชื้อเชิญให้ลิเลียน่านั่งที่โต๊ะน้ำชา
“ก็ไม่ได้งานยุ่งมากนักหรอก แต่…ท่านดยุกไม่ได้บอกเหรอ?”
ลิเลียน่าเอียงคอ ไรลีย์หัวเราะแห้งๆ ก่อนจะพูดว่า “ถึงจะเป็นความลับที่เปิดเผยอยู่แล้วก็เถอะ” แล้วจึงพูดถึงอาการขององค์กษัตย์
“ที่ผ่านมายังทรงมีช่วงดีขึ้นสลับกับทรุดตัว แต่ว่าช่วงนี้อาการทรุดหนัก หมอหลวงกับนักเวทต่างระดมดูแลเต็มที่แต่ก็ไม่มีผลมากนัก ช่วงหลังมานี้แทบจะลุกขึ้นไม่ไหวแล้ว”
พูดถึงนักเวท――แสดงว่าอาจมีการใช้คำสาปเข้ามาเกี่ยวข้อง หากเป็นนักเวทที่มีสิทธิ์รักษากษัตย์ ต้องเป็นผู้มีความสามารถระดับสูงสุดแน่นอน หากขนาดนั้นแล้วยังแก้ไขไม่ได้ ก็ไม่ใช่ฝีมือมนุษย์แล้วละมัง
ลิเลียน่าทำสีหน้าหนักใจ ไรลีย์ก็รับรู้ความคิดนั้นของเธอ
“ใช่ พวกเราก็เริ่มสงสัยมากขึ้น”
เขาไม่พูดฟันธงเพราะยังไม่มีหลักฐาน ใบหน้าที่เปี่ยมด้วยปัญญาของเขาแฝงความมืดมน
[ขอให้องค์กษัตย์หายดีโดยเร็วนะเพคะ]
“อืม ฉันก็หวังเช่นนั้น”
ไรลีย์พยักหน้าอย่างอ่อนโยนพลางกล่าวขอบคุณ ลิเลียน่ายิ้มจาง ๆ แล้ววางมือลงบนมือซ้ายของไรลีย์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ไรลีย์สะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มอ่อนกลับมา ลิเลียน่าถอนมือจากเขาแล้วถือถ้วยชาไว้แทน พร้อมยิ้มพลางพูดว่า [เดี๋ยวชาก็จะเย็นหมดเสียก่อนนะเพคะ]
(ทำไมถึงเลือกบอกเรื่องสำคัญขนาดนี้กับฉันตอนนี้กันนะ)
ไรลีย์ยกถ้วยชาขึ้นดื่มพร้อมกับลิเลียน่า
―เป็นเพราะความเครียดที่สะสมจนควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือมีจุดประสงค์แอบแฝงกันแน่
หากมีเบื้องลึก ก็ยังไม่มีหลักฐานใดอยู่ในมือของลิเลียน่า คงต้องจับตาดูอีกสักหน่อย ขณะกำลังหาช่องสนทนาเพื่อหาข้อมูล ไรลีย์ก็เงยหน้าขึ้นมองไปข้างหลังของลิเลียน่า
เมื่อหันไปตามสายตา ก็พบออสตินที่ควรจะพามัลวิน่าไปแล้วกำลังยืนอยู่ ยิ้มเจ้าเล่ห์ตามแบบฉบับ แล้วถามทั้งสองว่า
“ขอแจมด้วยคนได้ไหม?”
“ถึงบอกว่าไม่อยากให้มา นายก็ไม่แคร์อยู่ดีนั่นแหละ”
ไรลีย์ตอบด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ออสตินก็ยิ้มกว้างแล้วหันมามองลิเลียน่า
MANGA DISCUSSION