ชะตากรรมสุดจะบัดซบ… แต่ก็เถอะ มีออลก้าอยู่นี่ก็ดีแล้วล่ะ――ถึงจะขัดหูขัดตาก็เหอะ ฝีมือมันไม่ธรรมดาจริงๆ พวกที่ใช้ดาบได้แถมยังใช้เวทได้ด้วยแบบนี้ ไม่ค่อยมีในพวกทหารรับจ้างหรอก ที่สำคัญเทคนิคของมันก็เข้ากับฉันดี ถึงจะทำงานรับจ้างอยู่ แต่ดูจากท่าทางแล้วก็คงมีเชื้อสายขุนนางอยู่บ้างล่ะมั้ง ถึงจะถามไปมันก็คงไม่ตอบอยู่ดี แล้วฉันก็ไม่คิดจะไปยุ่งเรื่องยุ่งยากพรรค์นั้นด้วย ต่อให้มีคนมาขอให้ถามก็ไม่เอาหรอก
“――ใกล้ถึงแล้วล่ะ”
ฉันหันไปมองข้างๆ เมื่อได้ยินเสียงของออลก้า
แค่เพราะคนคุ้มกันของคุณหนูลูกดยุกคลาร์กตายไปสองคนเลยไปจ้างทหารรับจ้างที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าแบบนี้ ฉันก็คิดนะว่าคิดด้วยสมองสไลม์รึไง…แต่ถึงตายเพราะแบบนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันอยู่ดี ใครจะไปคิดว่าโดนสั่งให้ขับรถม้าด้วยละ…แต่พอมาคิดดูดีๆแล้ว ในสถานการณ์แบบนั้นคนขับรถม้าจะรอดก็คงไม่มีทางล่ะนะ ฉันก็คงตกใจมากจนเกินไปเพราะปาฏิหาริย์ของคุณหนูประหลาดนั่นด้วยแหละ แม่งเอ๊ย น่าอายชิบ
“เคยเข้าเมืองหลวงมั้ย?”
“หลายหนแล้ว แต่ก็ไม่อยากเข้าไปเท่าไหร่หรอก”
กลางเมืองหลวงมีพระราชวังตั้งอยู่ และใกล้ๆ กันก็มีหอคอยสังเกตการณ์สูงโดดเด่นจนน่าเบื่อ เห็นแล้วเหมือนกำลังบอกว่า “ที่นี่แหละเมืองหลวง” ฉันเลยไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ บางคนก็ว่าแค่มันเป็นหินก้อนใหญ่ แต่ก็มีอีกพวกที่บอกว่าเป็นหอคอยที่สร้างตั้งแต่ยุคต้นของประเทศ เคยมีข่าวว่าถูกยิงด้วยปืนใหญ่ก็ยังไม่ล้ม หรือโดนฟ้าผ่าก็ยังไม่พัง――ก็แปลว่ามันหอคอยที่เต็มไปด้วยคำพูดโกหกอ่ะแหละ หินน่ะ ต่อยก็พังได้ นั่นมันสามัญสำนึกใช่มั้ยล่ะ
“ไม่อยากเข้าเพราะกลัวโดนจับเรอะ”
ดูเหมือนสองคนนี้จะสังเกตได้ว่าฉันเริ่มเงียบ
ฉันเลยทำหน้าบึ้งเต็มที่ ใบหน้าฉันดูเหี้ยมแบบที่เด็กกับผู้หญิงส่วนใหญ่เจอก็กลัวกันหมดแหละ…แต่ยัยนี่คนเดียวที่ไม่ว่าเห็นหน้าฉันแบบไหนก็ทำหน้าตาเฉยอยู่ได้ อยากขู่ให้สะดุ้งซักทีจริงๆ ลยนะ แต่ไอ้เรื่องเซนส์ไวเกินมนุษย์นั่นมันขวางการซุ่มโจมตีหมด น่าหงุดหงิดชิบ
――ว่าไปแล้ว ยัยนักเวทนั่นกับคุณหนูก็ไม่กลัวเหมือนกันแฮะ ครอบครัวดยุกนี่มันมีแต่ตัวประหลาดรึไง แต่ก็อีกนั่นแหละ สาวใช้ดูจะมีปฏิกิริยาแบบผู้หญิงธรรมดา ถึงจะโดนฉันด่าว่าไม่ควรปล่อยให้คุณหนูอยู่คนเดียวตั้งแต่ตอนแรก แต่ก็ยังทำตัวปกติอยู่แบบนั้น จะบอกว่าเป็นคนธรรมดาก็ไม่ถูกเท่าไหร่ เป็นรังของตัวประหลาดชัดๆ
“น่ารำคาญน่า ทหารรับจ้างอย่างเราๆ ใครมันจะไม่มีอดีตหม่นหมองกันบ้าง”
“ฉันไม่มีอะไรต้องปิดบังหรอก”
“แกน่ะข้อยกเว้นโว้ย”
ไม่ว่าโวยวายยังไง ยัยนี่ก็แค่ยิ้มแล้วปล่อยผ่านไปหมด หงุดหงิดดีพิลึก จริงๆผู้หญิงน่ะต้องมีเสน่ห์บ้างถึงจะดี อย่างนักเวทเพทร่านั่นยังดูมีเสน่ห์อยู่บ้าง แต่ฉันไม่สนใจเด็กหรอก ถึงจะเป็นการเดินทางจืดๆ ไม่มีอะไรให้มอง แต่เงินก็ยังรีดออกจากพ่อค้าขี้งกที่ตายไปไม่ได้เลย ชีวิตไม่มีตังจะกินข้าวหรือซื้อหญิงเลยนะเว้ย
ไม่ถนัดคิดเรื่องพวกนี้จริงๆ
เมืองหลวงเริ่มเห็นอยู่รำไร แปลว่า งานนี้ใกล้จะจบแล้ว――ฉันต้องตัดสินใจว่าจะทำงานเป็นคนคุ้มกันของตระกูลดยุกต่อไป หรือจะไปหางานอื่น
ออลก้ารับงานต่อแบบไม่ลังเลเลย ทั้งที่งานนี้มันมีแต่กลิ่นปัญหา ไอ้พวกจริงจังแบบนี้มันน่ารำคาญโคตร
ผู้ชายชุดคลุมดำที่เราเจอในเมืองก่อนหน้า――หมอนั่นมันพวกทำงานในเงามืดแน่ๆ ดูจากท่าทางการเคลื่อนไหวแล้ว กลิ่นน่ากลัวสุดๆ แถมยังเล็งคุณหนูไว้ชัดเจน หมอนั่นปล่อยจิตสังหารใส่ด้านหลังของคุณหนู แล้วก็ย้ายไปข้างหน้า จากนั้นค่อยลบจิตสังหารแล้วเข้าใกล้เป้าหมาย――แค่ดูผ่านๆ ก็รู้ว่าเป็นเทคนิคของมือโปรแล้ว คนที่สามารถฆ่าเป้าหมายโดยไม่ให้รู้สึกถึงเจตนาฆ่าได้ มีจริงในโลกนี้ และหมอนั่นก็เป็นหนึ่งในพวกนั้นแบบไม่ต้องสงสัยเลย
“หยุดที่หัวมุมนั่นหน่อย ฉันจะลง”
เสียงของนักเวทดังมาจากในรถม้า ที่เธอจะลงมันไกลจากคฤหาสน์อยู่พอตัว จะว่าไปยัยผมแดงนี่ก็แค่ลูกจ้างสินะ พูดอะไรทำนองนี้ไว้เหมือนกัน…แต่ก็สนิทกับคุณหนูซะจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแค่ลูกจ้าง แล้วยัยนั่นก็ยิ้มมุมปากใส่ฉันจากใต้เสื้อคลุม แม่งน่าขนลุก ไม่อยากเจออีกเลย
แต่ก็เอาเถอะ พอเห็นคฤหาสน์ของดยุกอยู่ไกลๆ ฉันก็เริ่มเข้าใจความรู้สึกของเพทร่านั่นแล้ว
ฉันก็เข้าใจดี เพราะฉันก็เป็นแบบนั้น ยัยเพทร่านั่นเกลียดพวกขุนนางหน้าด้านที่แต่งตัวฟุ่มเฟือยราวหมูที่ห่อทองเข้ากระดูก เข้าเส้นเลยล่ะ แต่เธอก็ยังห่วงคุณหนู ถึงแม้คุณหนูจะมาจากตระกูลดยุกก็เถอะ ฉันเข้าใจดี คุณหนูน่ะไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าทหารรับจ้างหรือสาวใช้ก็คุยด้วยเหมือนกัน แม้แต่ขุนนางเอง คุณหนูก็แยกแยะ แต่ไม่แบ่งแยก
คนแบบนั้นมันหาได้ยากจริงๆ
สำหรับพวกทหารรับจ้างอย่างฉัน ไม่ว่าขุนนางหรือพ่อค้า ก็เห็นเราเหมือนจิ้งหรีดแห้งตายข้างถนนเท่านั้น คิดว่าเราจะเสี่ยงตายให้ได้แค่เศษตัง พวกนั้นน่ะควรตายซะยังจะดีกว่า ถึงตายแล้วจะฟื้นไม่ได้ก็เถอะ ฉันก็รู้อยู่หรอกนะ
แต่―เพราะแบบนั้นแหละ งานเป็นการ์ดให้คุณหนูนี่มันเลยมีเสน่ห์มากกว่ากลิ่นปัญหาอีก
ไม่โดนดูถูก แถมยังจ่ายเงินดี―หาแบบนี้อีกไม่ได้แล้ว ถึงจะปฏิเสธไป ก็ใช่ว่าจะมีงานที่คุ้มกว่านี้รออยู่
งานทหารรับจ้างน่ะ มันงานหาเช้ากินค่ำ ถ้าเงินถึง ต่อให้ต้องเลียรองเท้าของพวกสกปรกก็ต้องทำ แต่ไม่มีใครอยากทำงานแบบนั้นหรอก―เว้นแต่มันจะเป็น “รสนิยม” น่ะนะ และฉันน่ะ ไม่มีรสนิยมแบบนั้นแน่นอน
แม่งเอ๊ย ปวดหัวอีกแล้ว บอกแล้วไงว่าฉันไม่ถนัดคิดมาก งานใช้หัวน่ะให้ไอ้ออลก้านั่นทำไปเถอะ คนหัวดีอย่างมันคงหาคำตอบได้เร็วอยู่แล้ว
ที่สำคัญ ฉันก็รู้ดีอยู่แล้ว ว่าเวลาคิดเยอะ ๆ สุดท้ายก็จะได้คำตอบห่วยแตกตามมา
――คิดแล้วคิดอีก สุดท้ายงานปราบสไลม์ธรรมดาๆ กลายเป็นปราบมอนสเตอร์ระดับยากสุด หรือจากงานคุ้มกันกลายเป็นโดนเจ้าของงานพยายามฆ่า…อะไรประมาณนั้น ทั้งที่คิดว่า “ช่างแม่ง ยังไงก็จ่ายดี รับๆไปละกัน” กลายเป็นซวยจัดหมดทุกงาน
งานคราวนี้ก็คงเป็นแบบนั้น―แต่ก็แปลกที่ฉันไม่รู้สึกแย่แบบทุกที แค่รู้สึกว่า ‘น่ารำคาญ’ ‘วุ่นวาย’ ‘ยุ่งเหยิง’ เท่านั้น
“กิลด์”
ออลก้าเรียกฉัน ไอ้เวร กำลังใช้หัวอยู่แท้ๆ อย่าขัดสิฟะ!
ฉันจ้องมันเขม็งแบบใส่อารมณ์สุด ๆ แต่มันก็แค่ส่งสายตาน่าหมั่นไส้กลับมา เหมือนจะบอกว่า “รู้อยู่แล้วล่ะ” ไอ้ตานั่นน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้เลยโว้ย
“แกก็จะรับใช่มั้ยล่ะ ประมาณหนึ่งปีสินะ ฝากตัวด้วยล่ะ”
“――――ฉันยังไม่ได้บอกว่าจะรับซักหน่อย”
เสียงฉันฟังดูไม่พอใจจนตัวเองยังตกใจ แต่ไอ้ออลก้านั่นก็ไม่สะทกสะท้านเลย
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วขยี้หัวตัวเองแรง ๆ
แม่งเอ๊ย ไม่ชอบเลย หงุดหงิด ถ้าไม่ได้ดื่มเหล้าแรง ๆ คงไม่ไหวแล้วล่ะ หวังว่าคฤหาสน์นั่นจะมีพวกโพชีนหรือสปิริทัสอยู่บ้างนะ――แต่คงไม่มีแหง ๆ
คิดมาถึงตรงนี้ ฉันก็ถอนหายใจออกมาอีกรอบ
สุดท้าย――หลังจากที่ไปถึงคฤหาสน์ หยุดรถม้า แล้วถูกพาเข้าไปด้านใน…ฉันคงจะเซ็นชื่อในสัญญาที่คุณหนูยื่นมาให้แน่ ๆ
แล้วก็…ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ แต่ในคฤหาสน์ดันมีสปิริทัสจริงๆ ด้วย เพราะกลัวจะยุ่งยากเลยไม่ได้ถามว่าเป็นของใคร แค่แอบยืมมาแบบเงียบๆ ก็พอแล้วล่ะ
T/N: หายไปสักพักเลย พอดีม.ผมเพิ่งเปิด บวกกับ harddiskเจ๊ง ก็เลยวุ่นๆไปเป็นอาทิตย์เลย
น่าจะกลับมาแล้วแหละ ถ้างานไม่เยอะอะนะ
MANGA DISCUSSION