“แรกน่า เวล เบรฟ”
ขณะที่ผมกำลังมองกรรมการคุมสอบที่ตาเหลือกอยู่อย่างน่าอนาถ ก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง
เมื่อหันไปมอง ก็เห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ที่ทางเข้าโรงยิม
เขามีผมหยิกฟูสีเทาหม่นที่ดูไร้ชีวิตชีวา ดวงตาคมกริบราวกับเหยี่ยว หนวดเครายาวเฟื้อยถูกมัดรวมกันตรงอก
ผมจำบุคคลที่สวมเสื้อคลุมคุณภาพดีสีหม่นแต่มีลวดลายประดับอย่างละเอียดได้
ชื่อของเขาคือ [วอลเซีย แกรนด์ คาสเคด]
เป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนอีเธอร์ และเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับฉายาว่า “ปราชญ์”
“คิดว่ามีเสียงดังอะไร ที่แท้ก็เป็นฝีมือเจ้าเองสินะ”
“ครับ ก็ประมาณนั้นแหละครับ”
ในประเทศนี้ ชื่อตระกูลที่มีคำว่า “แกรนด์” เป็นสัญลักษณ์ของตระกูลดยุก
ตระกูลคาสเคดเป็นหนึ่งในสามตระกูลดยุกของอีเธอร์แดม
ส่วนวอลเซียนั้น ผมจำได้เพราะเขาปรากฏตัวบ่อยครั้งในเกม
เขาถูกบอกว่าเป็นบุคคลที่มีคุณธรรมมากพอที่จะประกาศว่า ในโรงเรียนที่ก่อตั้งโดยปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่
ไม่ว่าขุนนางหรือสามัญชนทุกคนล้วนเป็นศิษย์ของปราชญ์และเท่าเทียมกัน
เกมนี้เป็นเรื่องราวความรักระหว่างขุนนางกับสามัญชน
เขาเป็นตัวละครที่คอยช่วยเหลือตัวเอกที่กำลังเผชิญกับปัญหาเรื่องชนชั้นฐานะในโรงเรียนอย่างแนบเนียน
ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็น่าจะไม่มีการแบ่งชั้นเรียนพิเศษกับชั้นเรียนทั่วไปสิใช่ไหม?
ก็คงมีเจตนารมณ์ของขุนนางหลายกลุ่มที่ซับซ้อนกันอยู่ และความพิเศษแบบนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกขุนนางนั่นแหละ
“อืม”
วอลเซียมองไปยังเป้าสีดำที่แตกเป็นผุยผง กำแพงที่มีช่องโหว่ขนาดใหญ่ ครูที่ตาเหลือกและปัสสาวะราด
และดาบไม้ที่ใส่เหล็กไว้ข้างใน ด้วยสายตาที่คมกริบราวกับมองทะลุปรุโปร่งทุกสิ่ง แล้วกล่าวสั้นๆ ว่า
“ผ่าน”
“ขอบคุณครับ”
ผมกล่าวขอบคุณอย่างตรงไปตรงมา
วอลเซียเป็นตัวละครฝั่งตัวเอกที่ไม่เห็นด้วยกับการเลือกปฏิบัติ
แม้ว่าผมจะเป็นคนของตระกูลเบรฟ แต่เขาก็ยังคงมีมุมมองที่เป็นกลาง ซึ่งผมรู้สึกขอบคุณมาก
“ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะถามเจ้า”
“อะไรหรือครับ?”
“ใช้เวทมนตร์อะไรได้บ้าง?”
“ทั้งหมดครับ”
ไม่ว่าจะเป็นธาตุหลักทั้งสี่ที่ได้รับความนิยมที่สุดในประเทศเวทมนตร์นี้อย่างไฟ น้ำ ลม ดิน หรือธาตุรองอย่างน้ำแข็ง สายฟ้า
หรือแม้แต่ขั้วตรงข้ามอย่างแสง ความมืด ความศักดิ์สิทธิ์ ความชั่วร้าย ความดี ความชั่ว ถ้าเป็นสิ่งที่จำและใช้ได้ ผมก็ใช้ได้ทั้งหมด
“แล้วอะไรที่ถนัดที่สุดในบรรดานั้นล่ะ?”
“บาเรียครับ — เพราะฉะนั้นผมเลยจำได้ทั้งหมด”
เพราะมันจำเป็น ผมจึงจำได้ทั้งหมด
เพื่อที่จะมีชีวิตรอดในดินแดนเบรฟ เพื่อที่จะต่อต้านโชคชะตา
ขาดไปแม้แต่อย่างเดียวก็ไม่ได้
เมื่อผมตอบอย่างซื่อตรง วอลเซียก็ลูบหนวดเคราเล็กน้อย ทำท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง แล้วกล่าวว่า
“ถ้าอย่างนั้น การสอบข้อเขียนก็ยกเว้นให้ได้สินะ”
“ได้เหรอครับ?”
“หากคำพูดนั้นไม่มีการโกหก เจ้าก็ไม่อาจถูกวัดด้วยไม้บรรทัดของคนโง่ได้”
คนโง่ที่ว่าคือกรรมการคุมสอบที่ตาเหลือกอยู่ หรือคนโง่เง่าที่มองเห็นแต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้า หรือพวกเน่าเฟะที่เอาแต่นั่งอยู่บนอำนาจกันนะ?
คำพูดของวอลเซียดูเหมือนจะมีความหมายแฝงอยู่หลายอย่าง
“สำหรับสายเลือดของเจ้าแล้ว ชั้นเรียนทั่วไปกับชั้นเรียนพิเศษก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก”
“ครับ”
“ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากเข้าชั้นเรียนพิเศษงั้นหรือ?”
จริงๆ แล้วผมไม่ได้อยากเข้าเลย
แม้จะไม่ถึงขั้นเดียวกับครูผู้คุมสอบคนนี้ แต่ตระกูลเบรฟก็เป็นเป้าหมายของการเลือกปฏิบัติ เหมือนกับพวกมือสังหารที่ถูกส่งมาจากเมืองหลวง
เรื่องยุ่งยากก็น้อยลงถ้าอยู่ชั้นเรียนทั่วไป ผมก็แค่อยากใช้ชีวิตในโรงเรียนอย่างเรียบง่ายเหมือนนักเรียนคนอื่นๆ เท่านั้น
ตอนแรกตั้งใจจะก้มหัวและขอความเมตตา แต่ตอนนี้คงพูดแบบนั้นไม่ได้แล้ว
“เพราะมีคนที่ผมต้องปกป้องอยู่ที่นั่นครับ”
คู่หมั้นของผมที่ถูกโชคชะตาเล่นงาน
“ปีนี้โรงเรียนจะวุ่นวายแน่นอน ชะตากรรมมากมายจะมาบรรจบกันและเกี่ยวพันกันอย่างซับซ้อน บางครั้งก็บ้าคลั่ง”
หลังจากพูดเช่นนั้น วอลเซียก็ถามผมอีกครั้ง
“ถึงอย่างนั้นก็ยังจะก้าวเข้าสู่ชั้นเรียนพิเศษงั้นหรือ?”
“ผมไม่คิดจะหนีครับ”
“ดีแล้ว”
วอลเซียจ้องมองตาผมเขม็ง ก่อนจะคลายบรรยากาศลงเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า
“ด้วยอำนาจของอาจารย์ใหญ่ ฉันอนุญาตให้เจ้าเข้าชั้นเรียนพิเศษ”
“ท ท่านอาจารย์ใหญ่!”
กรรมการคุมสอบที่เพิ่งได้สติพอดี เมื่อได้ยินคำพูดของวอลเซียก็รีบร้อนลนลาน
“เขาเกิดในดินแดนที่ถูกทอดทิ้งนะครับ! แถมคู่หมั้นของเขาที่เป็นอดีตคุณหนูดยุกก็ก่อเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาด้วย!
ถ้าอนุญาตให้เข้าโรงเรียน ไม่สิ ให้เข้าชั้นเรียนพิเศษด้วยแล้ว จะต้องทำให้ความสงบสุขของโรงเรียนปั่นป่วนแน่นอนครับ!!”
“แกมันโง่!”
เสียงตวาดก้อง
พร้อมกับเสียงที่วอลเซียตะโกนออกไป พลังเวทก็ไหลทะลักออกจากร่างกายราวกับน้ำตก
“อึก”
วอลเซียกล่าวกับกรรมการคุมสอบที่หน้าถอดสีและหวาดกลัวต่อแรงกดดัน
“ในบริเวณโรงเรียนนี้ เจ้าเป็นใคร? ถ้าเป็นขุนนางก็ออกไปเดี๋ยวนี้”
“…ครูครับ”
กรรมการคุมสอบก้มหน้าลง เหงื่อหยดติ๋งๆ จากใบหน้า
เป็นแรงกดดันที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็จงทำตัวให้สมกับเป็นครูซะ ถ้าคิดว่าจะเกิดปัญหา ก็จงชี้ทางเพื่อไม่ให้ปัญหานั้นเกิดขึ้น
จงชี้ทางเพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง”
“ค ครับ…ขออภัยครับ…”
“งั้นก็รีบจัดการซ่อมกำแพงซะ”
“ครับ…”
กรรมการคุมสอบรีบเดินออกจากโรงยิมไปราวกับจะหนี
เมื่อเห็นแผ่นหลังของเขา ผมก็ก้มหัวให้วอลเซียอีกครั้ง
“ขอบคุณครับ”
“ในนามของปราชญ์ ข้าไม่เห็นด้วยกับการเลือกปฏิบัติที่เกิดจากชนชั้นฐานะของนักเรียน
แต่ข้าจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาที่เกิดจากปัจจัยอื่น การที่เจ้าเข้าใจผิดในพฤติกรรมของตัวเองและถูกรังเกียจนั้น
เป็นความรับผิดชอบของตัวเจ้าเอง”
พูดอะไรยากๆ จังเลยนะ แต่คงหมายถึงว่าส่วนที่เขาทำตัวแย่ๆ จนถูกเกลียดก็ให้ปรับปรุงตัวเองสินะ
แต่คำพูดนี้ คงมีคนเข้าใจผิดเยอะแยะแน่เลย…?
น่าจะพูดให้เข้าใจง่ายกว่านี้ไหมนะ?
เช่น “จงทำตัวโดยคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น” อะไรทำนองนั้น
“ผมเข้าใจครับ ที่ดินแดนเบรฟนั้น พวกที่เอาแต่นั่งอยู่บนอำนาจจะต้องตายก่อน…
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกว่าควรจะแสดงอำนาจออกมา หรือเมื่อไหร่ที่ผมคิดว่าควรจะต่อสู้ ผมก็จะไม่ยั้งมือครับ”
นั่นแหละคือตระกูลเบรฟ
“…แล้วแต่เจ้าเถอะ”
พูดแค่นั้นแล้ววอลเซียก็ออกจากโรงยิมไป
นี่มันหมายความว่าไง?
ถ้ามีอะไรที่ทำให้ผมหมดความอดทน ก็ทำได้เต็มที่เลยใช่ไหม?
ก็ไม่ได้ตั้งใจจะอาละวาดอะไรหรอก
แค่หวังว่าจะได้ใช้ชีวิตในโรงเรียนอย่างมีความสุขกับอลิเซียก็พอแล้ว
“แรกน่า เวล เบรฟ มีเรื่องที่ข้าลืมบอกไป”
อาจารย์ใหญ่เดินกลับมาอย่างรวดเร็ว
อุตส่าห์เดินออกไปอย่างเท่ๆ แล้วแท้ๆ
“แม้ว่าข้าจะอนุญาตให้พวกเจ้าใช้บ้านหลังนั้นเป็นกรณีพิเศษโดยคำนึงถึงสถานการณ์ที่เผชิญอยู่
แต่พวกเจ้าก็ยังคงเป็นนักเรียน จงพยายามคบหากันอย่างถูกต้องเหมาะสม”
“อ๊ะ ครับ”
คำพูดที่ออกมาจากน้ำเสียงทุ้มต่ำและสายตาที่คมกริบคือเรื่องนั้นเองสินะ
เข้าใจแล้วครับท่านอาจารย์ใหญ่
ผมไม่คิดจะเป็นสัตว์ร้ายของตระกูลเบรฟหรอกครับ
TL/N
แปลแบบระบายอารมไปเยอะเกินเลยขก ขอโทษด้วยนะ
MANGA DISCUSSION