“การที่ตัดสินใจเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วอีกสิ่งหนึ่งจะหายไปเป็นเรื่องธรรมดา ต่อให้แก้แค้นได้ สิ่งที่หายไปแล้วก็ไม่อาจกลับคืนมาได้หรอกนะ เพราะมันคือผลลัพธ์ของการเลือก”
คำตอบของเขาเหมือนจะมองทะลุความตั้งใจที่แท้จริงในคำถามของฉัน
เขา—แรกน่า—อาจจะรู้
เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับการถูกถอนหมั้น
“…เป็นเรื่องเมื่อไม่นานมานี้เอง”
ขณะที่ฉันกำลังรอคอยว่าเขาจะพูดอะไร เขาก็พึมพำออกมาเบาๆ
ต่างจากที่ผ่านมาที่เขาเล่าเรื่องความเป็นความตายของคนอื่นราวกับเป็นเรื่องตลก เช่น เรื่องที่พ่อเขาถูกพนันว่าต้องตาย หรือที่นี่มีแต่คนตายง่าย ครั้งนี้เขาเล่าเรื่องการเสียชีวิตของครอบครัวในการรบอย่างจริงจัง
เขาเล่าว่าเขาได้ไล่ตามและสังหารทหารศัตรูที่สังหารพ่อของเขา
การเสียชีวิตในการรบดูเหมือนจะเป็นเกียรติในดินแดนเบรฟ
เขาถูกสอนมาตลอดว่าไม่ควรต่อสู้ด้วยความแค้นส่วนตัว และการต่อสู้คือเพื่อปกป้องประเทศ แต่เขาก็หยุดตัวเองไม่ได้
ไม่ว่าสถานการณ์จะเสียเปรียบแค่ไหน ไม่ว่าใครจะห้ามเท่าไหร่ หรือต้องแลกมาด้วยการเสียสละเท่าไหร่ เขาก็ยังคงไล่ตามทหารศัตรูที่สังหารครอบครัวที่เขาใช้ชีวิตร่วมกันมาตลอด และตัดหัวแม่ทัพมาได้
เขาสมเพชตัวเองว่าสถานการณ์การขาดแคลนคนในตระกูลเบรฟเป็นผลมาจากการกระทำที่ไร้เหตุผลและทำให้เกิดความเสียหายเช่นนั้น
“—ไม่ว่าจะถูกสอนมาว่ามันเป็นเรื่องปกติแค่ไหน คนเราก็ยังเสียใจนั่นแหละ แต่ฉันรู้สึกขอบคุณคนที่รักและเลี้ยงดูฉันมาจนทำให้ผมคิดแบบนั้นได้ และตอนนั้นเอง ฉันก็ตระหนักว่ายังมีคนอื่นๆ เหลืออยู่”
เขามองไปยังดินแดนเบรฟที่ทอดตัวอยู่เบื้องล่าง แล้วพูดต่อ
“ไม่ใช่ว่าทุกอย่างหายไปหมด ยังมีอะไรเหลืออยู่อีกมาก ดังนั้นฉันถึงพยายามเป็นขุนนางที่ไม่ต้องการเป็น และตั้งใจจะไปโรงเรียนที่ไม่อยากไปนั่นแหละ”
ยังมีอะไรเหลืออยู่อีกมาก…งั้นเหรอ
ฉันตั้งใจฟังคำพูดของเขา และคิดว่าฉันเองก็มีอะไรเหลืออยู่บ้างไหม แต่ก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเลย
ก็แน่ล่ะ เพราะสิ่งที่ฉันเคยมองเห็นไม่ใช่องค์รัชทายาทเอง แต่เป็นเพียงภาพของตัวเองที่ยืนอยู่เคียงข้างองค์รัชทายาทที่จะเป็นกษัตริย์ในอนาคตเท่านั้น
“…ถ้าไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยล่ะคะ? ถ้าสิ่งที่สอนมาตั้งแต่เกิดว่าควรจะเป็น กลับไม่สามารถทำได้อีกต่อไปแล้ว คุณจะทำยังไงคะ?”
“ถ้ายังไม่ตายก็ยังมีเหลืออยู่สิ”
“ไม่เหลือแล้วค่ะ!”
ฉันเผลอขึ้นเสียง
“ตัวฉันในอดีตตายไปแล้ว…ตัวฉันในฐานะคุณหนูดยุกน่ะ…นั่นถึงได้มาที่ดินแดนที่ถูกทอดทิ้งแห่งนี้…ขอโทษค่ะ ฉันพูดไม่คิด”
ฉันน่าจะเรียนรู้ด้วยตัวเองแล้วว่าการกระทำที่ตามอารมณ์นั้นมีแต่จะนำไปสู่ความล้มเหลว แต่ฉันกลับทำตัวน่าสมเพชเหมือนเด็กอีกแล้ว
รอยแผลเป็นที่ตาซ้ายยังคงปวดหนึบๆ
หัวใจเจ็บแปลบขึ้นมา
ไม่ว่าจะพยายามลืมเท่าไหร่ ก็ไม่มีวันลืมได้เลย
มันรู้สึกเหมือนมีหนองน้ำที่ไม่มีก้นบึ้งอยู่ใต้เท้า ยิ่งดิ้นรนเท่าไหร่ก็ยิ่งจมดิ่งลงไปในความมืดมิดนั้น
อย่างที่แรกน่าบอก ต่อให้แก้แค้นได้ ก็คงไม่มีอะไรเติมเต็มได้หรอก เพราะคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็คงไม่ใช่ฉันอีกต่อไปแล้ว
…ถ้าอย่างนั้น
การทิ้งตัวลงจากหน้าผานี้จะง่ายกว่ามากแค่ไหนกันนะ?
โอ้ ช่างเป็นฉันที่ไร้สาระที่ต้องมานั่งกังวลกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ทิวทัศน์อันยิ่งใหญ่ที่มองเห็นจากหน้าผานี้ก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากวิวธรรมดาๆ หากดวงตาของฉันมืดบอดและมองไม่เห็นแม้แต่เส้นทางใดๆ
นั่นคือตอนที่สายตาของฉันพร่ามัวและรู้สึกเหมือนหมดแรงไปทั้งตัว
“อลิเซีย ฉันจะปกป้องเธอตลอดจากนี้ไป”
จู่ๆ คำพูดนั้นก็ดังขึ้นในหูของฉัน
สายตาที่พร่ามัวกลับมาชัดเจนอีกครั้ง สะท้อนภาพของแรกน่าที่ยืนอยู่ด้วยสีหน้าจริงจัง
“…หา?”
เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ?
ถ้าฉันไม่ได้ฟังผิด เขาบอกว่าจะปกป้องฉันตลอดไปงั้นเหรอ?
เขาก็พูดต่อกับฉันที่กำลังสับสน
“ถ้าคุณหนูดยุกในอดีตตายไปแล้ว งั้นเธอที่อยู่ตรงหน้าฉันตอนนี้ก็คืออลิเซียที่แต่งงานเข้ามาในตระกูลเบรฟสินะ”
แล้วเขาก็ยื่นนิ้วก้อยออกมา
“ถ้าอย่างนั้น ฉันสัญญาได้แค่อย่างเดียวว่าจะปกป้องเธอแน่นอน”
คำตอบของเขาไม่ได้เป็นคำตอบสำหรับคำถามของฉันเลยแม้แต่น้อย
แต่ถ้าถูกถามว่าฉันจะตอบคำถามแบบนั้นได้ไหม มันก็ยากมากจนฉันคงพูดได้แค่คำสวยหรูอย่าง “เวลาจะช่วยแก้ปัญหาเอง” เท่านั้น
เป็นคำถามที่ยากจริงๆ
หลังจากคิดแล้วคิดอีก คำตอบที่เขาให้ก็คือการเกี่ยวสัญญานิ้วก้อยว่าจะปกป้อง
“ฉันคิดมาตั้งแต่เช้าแล้วว่าคุณมีการกระทำที่แปลกประหลาดมากจริงๆ นะคะ”
“ไม่หรอก…”
เมื่อฉันพูดอย่างนั้น เขาก็เกาหัวด้วยท่าทางเขินอาย
“ฉันพยายามหาคำพูดที่คิดว่าอ่อนโยนแล้วนะ แต่ผู้ชายตระกูลเบรฟไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้ ก็เลยพูดได้แค่สิ่งที่คิดเท่านั้นเอง”
“…ฟุฟุ”
ฉันอดหัวเราะไม่ได้กับท่าทางของเขา
รอยยิ้มที่ใสซื่อบริสุทธิ์และคำพูดที่ตรงไปตรงมานั้นสะท้อนถึงวิถีชีวิตของชาวดินแดนเบรฟที่ภาคภูมิใจในการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
ไม่มีสิ่งสกปรกอย่างความหลอกลวงหรือการเสแสร้งที่เป็นเอกลักษณ์ของสังคมชนชั้นสูง
ภาพของเขาที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันในตอนนี้โดยไม่เสแสร้งใดๆ ช่างดูเท่ และทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เหมือนได้ระลึกถึงสิ่งที่หลงลืมไป
“ฉันพูดแปลกไปงั้นเหรอ? ไม่เคยพูดคำพูดแบบนี้เลยนี่นา…เพราะพ่อกับพี่ชายเป็นคนประเภทที่ใช้การกระทำมากกว่าคำพูดน่ะ…”
ฉันบอกแรกน่าที่กำลังร้อนรน
“จริงๆ แล้ว ฉันเองก็เพิ่งเคยได้ยินคำพูดแบบนี้เป็นครั้งแรกค่ะ”
คำพูดที่มองตรงเข้าไปในส่วนลึกของฉัน
“เอ๋ ฉันคิดว่าคุณหนูดยุกน่าจะเคยได้ยินจากคนเยอะแยะแล้วนะ”
“คนประเภทที่พูดจาแปลกๆ แบบนั้นมักจะถูกมองว่าเป็นตัวน่ารำคาญนะคะ?”
“บ้าเอ๊ย…การฝึกซ้อมที่ฉันแอบทำไว้เพราะคิดว่าเซบาสคงจะบ่นเรื่องหาภรรยาดีๆ เมื่อฉันไปโรงเรียนในอนาคต คงจะไร้ประโยชน์ไปหมดแล้วสินะ…”
“นั่นมันการฝึกอะไรกันคะ ไร้สาระจริงๆ”
ฉันแทบจะเอือมระอามากกว่าจะหัวเราะกับการกระทำที่แปลกแยกเช่นนั้น นั่นคือการฝึกจีบสาวในขณะที่ใช้ชีวิตในดินแดนที่เต็มไปด้วยสงครามและการนองเลือด
เขาช่างเป็นคนที่แปลกประหลาดจริงๆ แต่ว่า
“ฉันไม่เกลียดหรอกค่ะ มันเข้าใจง่ายดี”
บางที ฉันในวัยเด็กอาจจะคิดว่ามันเชย
แต่ตอนนี้ หลังจากที่ใช้ชีวิตในสังคมชนชั้นสูง ผ่านความล้มเหลว และถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยคำพูดขององค์รัชทายาท คำพูดที่ซื่อตรงของเขากลับเข้าถึงหัวใจของฉันได้อย่างลึกซึ้ง
ขุนนางชั้นสูงจะถูกมองที่ฐานะมากกว่าตัวตน
องค์รัชทายาทก็คงเป็นแบบเดียวกัน
ในสังคมขุนนางที่ยึดติดกับขนบธรรมเนียม เขาคงเบื่อหน่ายกับสถานการณ์ที่ไม่ได้รับความเข้าใจหรือไม่ถูกมองเห็นในแบบที่เขาเป็น
ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าการถูกถอนหมั้นก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
เมื่อมองลงไปที่ดินแดนเบรฟ ฉันเห็นแม่น้ำ ป่าไม้ เมือง และทุ่งนา รวมถึงขอบฟ้าที่ทอดยาวไปไม่รู้จบ
“เล็กน้อย…เล็กน้อยจริงๆ นะคะ การยึดติดอยู่กับอดีตที่หายไป และจมปลักอยู่แบบนั้นตลอดไป…”
“ก็คนเรามันก็เป็นแบบนี้แหละ”
“แต่ในตระกูลเบรฟ เรื่องแบบนั้นน่าจะเป็นข้อห้ามไม่ใช่เหรอคะ?”
“อืม ครั้งแรกน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ครั้งต่อไปต้องปรับเปลี่ยนไปข้างหน้า นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง”
ตัวฉันในอดีตได้ตายไปแล้ว ตอนนี้ฉันคืออลิเซียแห่งตระกูลเบรฟ…งั้นเหรอ
ฉันรู้สึกเหมือนช่องว่างในใจที่ว่างเปล่าได้ถูกเติมเต็มอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์นี้ไม่ใช่การลงโทษ
ฉันตัดสินใจที่จะเปลี่ยนความคิด และถือว่านี่คือการเริ่มต้นใหม่
เพราะตระกูลเบรฟเป็นแบบนั้น
“ถ้าฉันกลับไปโรงเรียนพร้อมกับคุณหลังจากนี้ คุณก็คงจะได้รับสายตามากมายเช่นกันนะคะ พูดตามตรงคือคงไม่มีที่ให้คุณอยู่ และคงมีความเป็นปรปักษ์หรือเจตนาร้ายมากมาย…แต่คุณก็จะปกป้องฉันใช่ไหมคะ?”
เมื่อฉันพูดพลางยื่นนิ้วก้อยให้แรกน่า เขาก็เกี่ยวสัญญากับฉันอย่างมั่นคง
“เรื่องแบบนั้นถนัดเลยล่ะ วางใจได้เลย”
จากมุมมองภายนอก นี่คือบทสนทนาโรแมนติกราวกับในหนังสือนิทานเรื่องวีรบุรุษกับเจ้าหญิงที่ฉันเคยอ่านตอนเด็กๆ แต่การที่ทั้งสองคนมีรอยแผลเป็นบนใบหน้ากลับทำให้ฉันอดขำไม่ได้
คุณหนูที่ถูกถอนหมั้นกับชายผู้ใช้ชีวิตในดินแดนที่ถูกทอดทิ้ง
แม้จะแตกต่างจากตัวละครในนิทานราวฟ้ากับเหว แต่ตอนนี้มันช่างเหมาะสมและรู้สึกสบายใจสำหรับฉัน
เหมือนกับว่าที่ผ่านมาคือเล่มแรก และจากนี้ไปคือเล่มที่สอง…แบบนั้นหรือ?
“อลิเซีย รอแปบนะ ฉันอยากจะทำพิธีสาบานเมื่อกี้ใหม่”
“…หา?”
จู่ๆ ฉันก็รู้สึกเหมือนถูกดึงกลับสู่ความเป็นจริง
ไม่สิ อลิเซีย เธอก็รู้สึกมาตลอดไม่ใช่เหรอว่าเขาเป็นชายผู้เสียมารยาทที่ไม่มีส่วนเสี้ยวของความโรแมนติกเลยน่ะ ฉันพยายามปลอบตัวเอง
ฉันไม่ควรคาดหวังอะไรแบบนั้นจากแรกน่าตั้งแต่แรกแล้ว
“แปบนะ ฉันจะเรียกมาเดี๋ยวนี้”
แรกน่าตะโกน
“—โอนิกซ์!”
ในวินาทีนั้น มังกรดำร่างมหึมาก็ลงมาอยู่ตรงหน้าเราจากฟากฟ้า
ไม่สิ มันคือมังกรจริงๆ เหรอ?
ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลยไม่รู้ แต่รูปร่างของมันเหมือนกับที่เคยเห็นในหนังสือนิทานและสารานุกรมเมื่อตอนเด็กๆ และสัญชาตญาณของฉันก็บอกว่ามันคือมังกร
แถมยังเป็นมังกรดำด้วย
มังกรดำที่ถูกบรรยายว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายในเรื่องราวของวีรบุรุษและเจ้าหญิง กำลังจ้องมองมาที่ฉันด้วยดวงตาที่ดุดัน
ในวินาทีนั้น ฉันก็หมดสติไป
TL/N
ชอบการใช้คำแบบไหนมากกว่ากัน แนะนำได้นะ จะได้แก้ไขให้
MANGA DISCUSSION