ได้เวลาที่รถม้าของคุณหนูดยุกจะมาถึงหน้าคฤหาสน์แล้ว
ผมซึ่งมีศักดิ์ต่ำกว่า จำเป็นต้องออกไปต้อนรับ
ถ้าเมื่อไหร่ที่เธอเอ่ยคำพูดอย่าง “บ้านเล็กๆ เหมือนพวกสามัญชน” หรือ
“ทำไมฉันซึ่งเป็นคุณหนูจากตระกูลดยุกต้องมาอยู่ในดินแดนห่างไกลแบบนี้ด้วย”
ทันทีที่คำนั้นหลุดจากปาก ผมจะใช้หมัดเหล็กตัดสินเลย!
เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม ที่นี่มีกฎของตระกูลเบรฟ
“คุณชายขอรับ ไม่ได้นะขอรับ ห้ามแสดงเจตนาฆ่าออกมาขอรับ แม้แต่ในโรงเรียนก็เช่นกันขอรับ”
“…ครับ”
เมื่อเซบาสพูดเช่นนั้น ผมก็ระงับอารมณ์ลงอย่างว่าง่าย
พูดให้ถูกคือมันไม่มีกฎแบบนั้นหรอก แต่ผมตั้งใจไว้แบบนั้น
คติพจน์ของบ้านเราก็คงมีแค่ “จงฆ่าพวกศัตรูจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างไร้ความปรานี” กระมัง?
ส่วนอีกอย่างก็คือ “ถ้าเจอก็อบลินหนึ่งตัว จงตามหาแหล่งที่อยู่ของมันให้เจอเสมอ”
พวกมันแพร่พันธุ์และสร้างอาณาเขตได้เร็วเหมือนแมลงสาบเลยนะ?
ถ้าไม่กำจัดทิ้งตั้งแต่ยังไม่โตเต็มที่ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ
“เอาล่ะขอรับ กำลังจะมาถึงแล้วนะขอรับ ยืนตัวตรงๆ เข้าไว้ขอรับ”
“ครับ!”
ผมยืดหลังตรง
รถม้าที่คุณหนูดยุกโดยสารมานั้นเล็กกว่าที่ผมจินตนาการไว้เสียอีก
ถึงจะโดนมาแบบนั้นแต่ก็ยังเป็นคุณหนูอยู่ ผมคิดว่าเธอจะพาคนรับใช้มามากมาย
ผมอุตส่าห์ทำความสะอาดห้องสำหรับคนรับใช้อย่างเต็มที่ แต่กลับเป็นการเสียแรงเปล่า
อย่าดูถูกคฤหาสน์หลังเล็กๆ แห่งนี้เลยเชียว เพราะในสงครามครั้งก่อน คนรับใช้ก็เสียชีวิตไปมากจนเกือบจะว่างเปล่าอยู่แล้ว
แม่ของผมก็ช็อกจนพาน้องสาวกลับบ้านเกิดไปแล้วด้วยสิ
บางทีพวกเธออาจจะรู้สึกโล่งใจที่หลุดพ้นจากพันธนาการของตระกูลเบรฟไปได้ แต่ผมจะไม่คิดถึงเรื่องนั้นมากนักจะดีกว่า…
“คุณผู้หญิงครับ เรามาถึงจุดหมายแล้วครับ!”
รถม้าหยุดลงหน้าคฤหาสน์ ชายคนขับลงจากที่นั่งแล้วเปิดประตูรถม้าออก
คนที่ก้าวออกมาคือหญิงงามผู้มีผมสีเงินโปร่งแสงที่รวบมวยอยู่ด้านหลังอย่างแน่นอน
คุณหนูดยุก อลิเซีย แกรน โอลด์วูด
“โอ้โห”
ทันทีที่เห็นเธอ ผมก็เผลออุทานออกมา
เซบาสไม่รอช้าฟาดเข้าที่ท้ายทอยของผมทันที
“คุณชาย!! …กระแอมๆ ยินดีต้อนรับคุณหนูอลิเซียขอรับ กระผมคือพ่อบ้านเซบาสของคฤหาสน์แห่งนี้ขอรับ
ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะขอรับ”
“…คุณก็เป็นแบบนี้เหมือนกันสินะ”
อลิเซียจ้องมาที่ผมแล้วพึมพำออกมา
เมื่อมองหน้ากันชัดๆ อีกครั้ง ผมเห็นรอยแผลเป็นไหม้ขนาดใหญ่ใกล้กับตาซ้ายของเธอ
มันกินพื้นที่ประมาณหนึ่งในสี่ของใบหน้าเธอเลยทีเดียว
“รอยแผลนั่น… ไปโดนอะไรมาเหรอครับ?”
“อึก…”
เมื่อผมลองถามดู อลิเซียก็ก้มหน้าลงอย่างเจ็บปวด
สมกับเป็นคุณหนูดยุก แม้จะมีบาดแผล เธอก็ยังคงเป็นหญิงงามมากทีเดียว
หญิงงามที่ดูอาภัพแบบนี้ มันช่างทำให้รู้สึกอยากปกป้องเหลือเกินนะ
“ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรครับ”
ผมรีบแก้ไขคำพูดทันที เพราะไม่อยากถามอะไรผิดไปจนทำให้เธอโกรธ
อลิเซียมาที่นี่ก็เพราะเรื่องท้าดวลและการยกเลิกการหมั้น ดังนั้นการมีบาดแผลหลังการต่อสู้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ยิ่งไปกว่านั้น…
“ในดินแดนเบรฟ เรื่องแค่นี้ถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วครับ”
ผมปั้นหน้ายิ้มแย้มเพื่อกลบเกลื่อน
ใช่แล้ว มันเป็นเรื่องปกติ
นักผจญภัยที่ออกรบนั้นเต็มไปด้วยบาดแผล และผู้หญิงก็เช่นกัน
เป็นเรื่องธรรมดามากที่ทหารหรือนักผจญภัยที่เกษียณแล้วจะไม่มีนิ้ว ไม่ใช่แค่นั้น บางคนก็อาจจะไม่มีแขนหรือขาเลยด้วยซ้ำ
รอยแผลไหม้หนึ่งในสี่ของใบหน้าเนี่ยนะ… มันไม่ได้น่าตกใจอะไรเลย…
อนึ่ง ถ้าผมถอดเสื้อผ้าก็จะเห็นว่ามีบาดแผลเต็มตัวไปหมด และมีแผลเป็นขนาดใหญ่ที่หน้าผากที่ถูกผมหน้าม้าปิดบังไว้
ถ้าเซบาสถอดเสื้อผ้า เขาก็จะเป็นผู้ชายที่น่าทึ่งเลยล่ะ
แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น
“งั้นผมขอตัวนะก่อนนะครับ”
“อ๊ะ ค่ะ”
ชายคนขับรถม้าก็วางกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบไว้หน้าประตู แล้วก็ขับรถม้าจากไปทันที
มันเกิดขึ้นเร็วมากจนผมไม่มีเวลาจะพูดอะไรเลย
เดี๋ยวก่อน นี่มันเรื่องจริงเหรอที่ไม่มีคนรับใช้เลยน่ะ
บ้าไปแล้วหรือไงกันที่ส่งลูกสาวตัวเองมาตัวคนเดียวแบบนี้
ถึงจะยังไงก็เป็นลูกสาวที่อยู่ในวัยออกเรือนแล้วนะ…?
อย่างน้อยก็ควรมีคนคุ้นเคยสักคนอยู่ข้างๆ เธอบ้างสิ ผมคิดอย่างนั้น
อีกอย่างคือ การให้คนของเราไปดูแลคุณหนูดยุกเนี่ย มันจะไปรบกวนงานประจำของเรานะสิ…?
“เอาล่ะขอรับ คุณหนูอลิเซีย เชิญทางนี้เลยขอรับ”
“ค่ะ”
ขณะที่ผมยืนมองรถม้าจากไปด้วยความงุนงง เซบาสก็ยิ้มให้แขกอย่างเป็นมิตรพลางนำอลิเซียเข้าไปข้างในคฤหาสน์
อลิเซียไม่ได้มองรถม้าที่พาเธอมาเลย
ผมคิดว่าเธอคงจะมองด้วยสายตาอาฆาตแค้น แต่ตรงกันข้ามกับที่คาดไว้ เธอกลับสงบนิ่งราวกับยอมรับชะตากรรมของตัวเองอย่างเคร่งขรึม
ดินแดนเบรฟนั้นถูกขุนนางคนอื่นเรียกว่าเป็นดินแดนที่ถูกทอดทิ้งและหวาดกลัว ดังนั้นผมจึงคิดว่าคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีเช่นเธอคงจะสิ้นหวังมากกว่านี้ และภรรยาของพี่ชายที่เสียชีวิตไปก็มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวเช่นนั้นมาโดยตลอด
สีหน้าของเธอที่ดูเหมือนยอมแพ้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้ผมนึกถึงทหารศัตรูที่ถูกจับเป็นเชลย
มนุษย์ที่มีสีหน้าแบบนั้น ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะไปขัดขวางตัวเอกในอนาคตและทำสัญญากับมอนสเตอร์ได้ ทำให้ผมรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เธอขาวโพลนเหมือนเถ้าถ่านที่มอดไหม้
การที่จะถูกมอนสเตอร์ชักจูงนั้นต้องมีด้านมืดในจิตใจ แต่ตอนนี้เธอกลับไม่มีแม้แต่ความเคียดแค้นชั่วร้ายที่ผมเคยเห็นในเกม…
เธอขาวโพลนไปหมด
“อ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะครับ”
ผมเรียกอลิเซียและเซบาสที่กำลังเดินเข้าไปในคฤหาสน์ แล้วปัดสิ่งที่อยู่บนไหล่เธอออก
“…มีฝุ่นติดเหรอ? ขอโทษด้วยนะ มันเป็นเสื้อผ้าเก่าๆ น่ะ”
“เปล่าครับ ที่บ้านเราฝุ่นเยอะกว่านี้อีก นี่ถือว่าดีมากแล้วนะครับ”
“…”
อลิเซียทำสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยกับคำพูดของผม แต่กลับดูมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย
อืม แปลกจริงที่คุยกับเธอได้ง่ายขนาดนี้?
ถึงแม้เราจะด้อยกว่า แต่ก็คุยกันรู้เรื่อง
ท่าทางแบบนี้เกิดขึ้นเพราะเธอพ่ายแพ้ให้กับสามัญชน ถูกองค์รัชทายาทถอนหมั้น และศักดิ์ศรีที่สั่งสมมาทั้งหมดพังทลายลงในตอนนี้เท่านั้นใช่ไหม?
หลังจากนี้ จะมีการกลับมาล้างแค้นอีกครั้งหรือเปล่านะ?
เพื่อหลีกเลี่ยงความพินาศของผม ผมอยากให้เธอเก็บตัวเงียบๆ ไปตลอด
แต่ถ้าหากตอนไปโรงเรียน เกิดความแค้นปะทุขึ้นมาอีกครั้งเมื่อไหร่ก็คงจะรับมือไม่ไหว
ดังนั้น สิ่งสำคัญคือต้องพยายามเปลี่ยนแปลงความคิดของเธอเสียตั้งแต่ตอนนี้
ส่วนวิธีการจะค่อยคิดทีหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องทำก่อนคือ
“คุณหนูอลิเซีย ยินดีต้อนรับสู่ตระกูลเบรฟขอรับ คุณหนูคงจะเหนื่อยมากแล้ว ขอเชิญพักผ่อนในห้องที่ไม่ใหญ่มากนักได้เลยนะขอรับ”
“…”
เธอเดินเข้าไปในคฤหาสน์โดยไม่สนใจคำพูดของผม
ผมมองส่งอลิเซียด้วยรอยยิ้ม แล้วมองไปที่สิ่งที่อยู่ในมือขวาของผม
“กี่ กี่ กี่…”
ในมือขวาของผมมีแมลงสีดำตัวเล็กๆ กำลังแสดงสีหน้าเจ็บปวดอยู่
นี่คือสาเหตุที่ทำให้ผมเผลออุทานว่า “โอ้โห” เมื่อเห็นอลิเซีย
ที่ตระกูลเบรฟ เราเรียกมันว่า แมลงมาร ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายมอนสเตอร์ตัวเล็กๆ
แมลงมารนำพาคำสาป และจะเกาะติดผู้คนเพื่อสร้างความเสียหาย
ไม่ว่าจะเป็นพิษ อัมพาต ความบิดเบือนทางจิตใจ หรือแม้กระทั่งโรคที่รักษาไม่หาย มันก็คือสิ่งเหล่านั้น
คนที่ถูกสิ่งนี้เกาะติด จะไม่มีชีวิตที่ดีได้เลย
แมลงมารที่น่ากลัวเหล่านั้นเกาะติดอยู่กับอลิเซียเต็มไปหมด
ถ้าจะนับก็ประมาณ 100 ตัวได้
“เฮ้อ… เอาเถอะ ถูกเกลียดเข้าให้แล้วสินะ?”
บางทีมันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในเมื่อเธอทำเรื่องขนาดนั้นไปแล้ว
แต่ถึงแม้จะถูกแมลงมารจำนวนมากเกาะติดขนาดนี้ คนปกติก็แทบจะคิดอะไรไม่ถูกแล้ว แต่เธอกลับสงบ ไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยอะไรเลย
หรือว่าแมลงมารกำลังทำให้เธอสงบอยู่กันแน่?
ไม่สิ ผมส่ายหน้า ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย
คนที่ถูกแมลงมารเกาะติด มักจะหลงเชื่อบางสิ่งบางอย่างอย่างบ้าคลั่ง
เหมือนกับในช่วงท้ายของเรื่องราว ที่เธอแสดงท่าทางราวกับถูกมอนสเตอร์เข้าสิง…
“อ่า… ฉันคงต้องเปลี่ยนความคิดเสียหน่อยแล้วสินะ”
ผมก็เข้าใจขึ้นมานิดหน่อยตรงนั้น
คุณหนูดยุกที่ได้รับการศึกษาขั้นสูงเพื่อแต่งงานกับองค์รัชทายาทของประเทศและขึ้นเป็นราชินีในอนาคต
จะก่อเรื่องท้าดวลกับสามัญชนได้อย่างไรกัน?
คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเราที่ให้ความสำคัญกับขนบธรรมเนียม จะไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นได้
และปกติแล้วคงจะต้องเข้าข้างคุณหนูดยุกใช่ไหมล่ะ?
ผมอยู่ที่โลกนี้มา 15 ปีแล้ว ผมไม่คิดว่าตัวเองจะโง่ขนาดนั้นจนไม่เข้าใจเรื่องนี้
และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่ชอบการรับช่วงต่อตำแหน่งเจ้าครองแคว้น
ผมคิดว่ามันช่างเป็นเรื่องที่ “สะดวกสบาย” เกินไปจริงๆ
“…โลกของเกมจีบหนุ่มก็เป็นแบบนี้เสมอมาสินะ”
การดำเนินเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ ถูกคิดมาอย่างดีโดยผู้สร้างเกม เพื่อให้พวกเราผู้ซื้อเกมได้สนุก
แต่พอมาเจอในโลกแห่งความเป็นจริงแบบนี้ มันช่างบิดเบี้ยวเหลือเกิน
แถมชีวิตของผมยังตกอยู่ในอันตรายอีกด้วย มันแย่ที่สุดเลย
“หลังจากนี้จะทำยังไงดีนะ… ไม่สิ จะทำยังไงก็ต้องทำแล้ว ตอนนี้คือต้องรับเธอมาเป็นภรรยา แล้วเดือนหน้าก็จะถูกบังคับให้ไปโรงเรียนนี่สิ…?”
ชีวิตในโรงเรียนกับผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย ความเป็นศัตรู และเจตนาร้ายขนาดนั้นเนี่ยนะ
สิ้นหวังเลยล่ะ
ถึงขั้นนี้แล้วก็เหมือนให้ไปตายชัดๆ
ให้ตายเถอะ ในเกมเธอก็รอดมาได้เรื่อยๆ แล้วก็คอยขัดขวางตัวเอกอยู่ตลอด
แต่ก็มีใครบางคนคอยบงการอยู่เบื้องหลัง
ส่วนผมที่เป็นตัวขัดขวาง ก็คงจะถูกฆ่าตายไปอย่างเหมาะสมที่ไหนสักแห่ง
“อันตรายเกินไปแล้ว!”
เพื่อไม่ให้เป็นเช่นนั้น ผมต้องพยายามเปลี่ยนความคิดของเธอให้ได้
ดูเหมือนว่าทางรอดเดียวคือต้องทำให้เธอตัดใจจากอดีตคู่หมั้น แล้วกลับมาเป็นปกติให้ได้
ถ้าเป็นแบบนั้น เธอก็เหมือนเป้าหมายที่ผมต้องพิชิตเลยสินะ
“ใช่แล้ว! เราได้หมั้นหมายกันอย่างเป็นทางการแล้วนี่นา คงต้องพยายามทำให้เธอหันมาสนใจฉันให้ได้!”
ตอนแรกผมคิดว่าให้เธอตายไปซะคงง่ายที่สุด แต่เมื่อเห็นเธอถูกชะตากรรมเล่นงานแบบนี้ ความคิดนั้นก็หายไปโดยไม่รู้ตัว
“ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ก็จงก้าวไปข้างหน้า”
พ่อที่เสียชีวิตไปแล้วเคยบอกไว้
เดิมทีผมคิดว่าจะออกจากประเทศและใช้ชีวิตโดยไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ชอบตระกูลเบรฟเลยแม้แต่น้อย
ในเมื่อผมรอดชีวิตมาได้แล้ว ก็เป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องสืบทอดตำแหน่งของครอบครัวที่เสียสละอย่างกล้าหาญในสงคราม
การมีลูกและสืบทอดตระกูลเบรฟต่อไปคือสิ่งที่จะมอบให้แก่พวกเขา
“เอาล่ะ จะพยายามก็แล้วกัน!”
ผมบีบแมลงมารในมือจนแหลกละเอียดพร้อมกับความมุ่งมั่นนั้น
หือ?
ทำไมถึงบีบแมลงมารให้แหลกได้น่ะเหรอ?
ก็เพราะผมเป็นคนของตระกูลเบรฟไงล่ะ!
เซบาสเองก็รู้เรื่องนี้ดี
TL/N
การแปลฝั่ง Novel จะเป็นการแปลใหม่ทั้งหมดนะ
การใช้คำก็ด้วย อาจจะมีอะไรแปลกๆ ไปบ้างก็ขอโทษด้วยนะ
แล้วก็ ลงวันละตอนนะ แปลได้เท่านี้จริงๆ
MANGA DISCUSSION