เล่มที่ 1 บทที่ 4 อัศวินติดหนี้
หากต้องอธิบายสภาพของโม่จ้านในยามนี้ด้วยคำหนึ่งคำ คงจะเป็นคำไหนไปไม่ได้นอกจากคำว่า ‘หมดอาลัยตายอยาก’
ตามหลักแล้วหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนถึงจะเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ถึงแม้ว่าร่างกายราชาปีศาจของตนจะนอนหลับได้ไม่ดีนักในเมื่อคืน กระนั้นกลับไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้าสักเท่าไร เมื่อนับนิ้วดู เวลาได้ผ่านไปกว่าสองชั่วโมงหลังจากชายชรากับเด็กน้อยออกไป ยังเหลือเวลาอีกตั้งมากกว่าอาหารมื้อถัดไปจะมา เวลาในตอนนี้ช่างแสนยาวนานในความรู้สึกของโม่จ้าน หรือเขาจะต้องใช้เวลาทั้งหมดไปกับการใคร่ครวญปัญหาชีวิต?
ทันใดนั้นโม่จ้านพลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา— ตนยากจนและกลัดกลุ้มใจ ‘ทั้งชีวิต’ ในช่วงที่มีเวลาน้อยสุดๆ วันหนึ่งได้นอนแค่สามถึงสี่ชั่วโมง ตารางเวลาแน่นไม่ต่างกับดาราคนดังที่ต้องออกไปพบปะสาธารณชนให้ตรงเวลา หวังเพียงแค่ว่าให้ตนสามารถหาเงินได้มากขึ้นอีกสักหน่อย หลังจากนั้นจึงค่อยพักผ่อนหลายๆ วัน
แล้วตอนนี้เล่า? เวลามีแล้ว แต่กลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
ขณะที่โม่จ้านกำลังคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย ประตูก็ถูกเปิดออกมาอีกครั้งหนึ่ง
เสียงที่ได้ยินตามมายังคงเป็นเสียงกระทบดังกังวานของเสื้อเกราะสีเงินและดาบใหญ่หนักอึ้งบนแผ่นหลัง กระทั่งดวงตายังเป็นสีทองอ่อนมิต่างกัน ด้วยสมองที่มีความรู้อันน้อยนิดของโม่จ้าน สามารถแยกแยะได้เพียงแค่ว่าลวดลายบนแถบผ้านั้นต่างจากอัศวินคนเมื่อวาน โม่จ้านสังเกตเงาบนพื้น เห็นว่าด้านหลังอัศวินผู้นั้นยังมีคนอีกผู้หนึ่งตามมา บุคคลนั้นถูกร่างสูงใหญ่ของอัศวินบดบังเอาไว้เสียจนมิด มองไม่เห็นแม้กระทั่งชายอาภรณ์
“สวัสดียามบ่าย ท่านอัศวิน” โม่จ้านเงยหน้าขึ้น เผยรอยยิ้มที่สวรรค์รู้ว่าเมื่อคนอื่นมองมาจะแลดูอันธพาลเพียงใด “ข้าเดาว่าตาแก่นั้นคงจะนำความผิดปกติของข้าไปรายงาน ‘พระเจ้า’ แล้วเรียบร้อย มิคาดว่าแข้งขาที่แทบจะก้าวไม่ออกกลับรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้”
“เจ้า…” ลู่อี้ที่ถูกเรียกว่าตาแก่ตอกย้ำจนเหลืออด เขาย้ายไปอยู่ด้านข้างของอัศวิน ชี้นิ้วร้องบริภาษโม่จ้านว่า “ท่านเทพแห่งแสงไม่มีทางลดตัวลงมาตัดสินโทษปีศาจที่ก่อกรรมทำชั่วสถานหนักเช่นเจ้าด้วยพระองค์เอง เพียงแค่สันตะสำนักก็สามารถทำให้ร่างของเจ้าแหลกเป็นหมื่นชิ้นได้!”
อัศวินมองพระสังฆราชลู่อี้ที่โมโหจนหอบหายใจหนักอยู่ด้านข้างแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาก้าวลงขั้นบันไดไปหยุดยืนตรงหน้าโม่จ้าน นัยน์ตาสีทองทอประกายเย็นเยียบ ไร้ซึ่งความยำเกรงต่อราชาปีศาจที่อยู่ตรงหน้า
“……อึก แค่ก!”
ทันใดนั้นอัศวินใช้มือหนึ่งบีบคอโม่จ้าน ข้อต่อกระดูกนิ้วหนาใหญ่ค่อยๆ กำเข้าหากันแน่น
โม่จ้านที่ลมหายใจติดขัดขบกรามแน่น มุมปากยังคงหยักยก
“…แค่กๆ…ท่านอัศวินมีใบหน้าดูดีถึงเพียงนี้…คาดไม่ถึงว่าจะยอมถวายหนึ่งชีวิตให้เทพแห่งแสงที่น่ารำคาญอะไรนั่น ช่างน่าเสียดาย…แค่กๆๆ”
อัศวินผู้นี้หน้าตาหล่อเหลามากจริงๆ ใบหน้าคมเข้มไม่ต่างกับใช้มีดแกะสลัก คิ้วโก่งดังคันธนู จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากสีแดงอ่อนบางดูอิ่มเอิบ กอปรกับผิวสีขาวและผมยาวสีน้ำตาลอ่อนเป็นลอน หากเปลี่ยนเป็นอยู่ในโลกของตัวเขา คาดว่าจะต้องเป็นที่หมายตาของผู้หญิงกลุ่มใหญ่เลยทีเดียว
เพียงแต่สายตาที่ดุดันจนเกินไปนั่นช่างไม่เข้ากับนัยน์ตาสีทองบริสุทธิ์เลยสักนิด ทั้งยังมีแผลเป็นลากยาวจากหน้าผากขวาไปจนถึงข้างจมูกซ้ายที่แสนน่ากลัว ยิ่งขับให้กลิ่นอายของท่านอัศวินตรงหน้าแลดูน่าหวาดกลัวยิ่งขึ้นไปอีก มิคล้ายเผู้รับตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา แต่คล้ายมือสังหารที่ปลอมตัวมาเป็นผู้รับตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาเสียมากกว่า
“…อย่ามองข้าเหมือนกับข้าติดหนี้เจ้า สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่ากองอัศวินของพวกเจ้ายากจนถึงขั้นไม่มีกระทั่งเงินให้ลบรอยแผลเป็น…อึก แค่ก!”
โม่จ้านมั่นใจว่าคนตรงหน้าไม่มีทางฆ่าตนก่อนถึงเวลา เขาจึงอดกลั้นความทรมานจากการขาดอากาศหายใจเพื่อยั่วยุอีกฝ่าย ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร กลับกลายเป็นพระสังฆราชลู่อี้ผู้อยู่ด้านข้างที่กระวนกระวายใจขึ้นมาเสียก่อน
“ท่านเจีย…เจียเอ่อลั่ว พิธีตัดสินเจ้าปีศาจคืออีกสี่วันให้หลัง หากท่านสังหารเขาเสียตอนนี้ สันตะสำนักคงไร้ซึ่งคำอธิบายต่อเหล่าประชาชน!”
“หึ” เจียเอ่อลั่วแค่นหัวเราะเสียงเย็นก่อนปล่อยคอของโม่จ้านให้เป็นอิสระ เขาหันกลับไปถามลู่อี้ “เขาเริ่มผิดปกติตั้งแต่เมื่อใด?”
ชายชราแอบหันไปชำเลืองโม่จ้านที่เอาแต่ไอออกมามิหยุดปราดหนึ่ง “…คล้ายจะเป็นเมื่อมิกี่วันก่อนกระมัง? ก่อนหน้านี้ยังเอาแต่อดอาหาร ทว่าเมื่อเช้ากลับกินอาหารที่ส่งมาให้ หลังจากถูกจับมามักมีท่าทีหมดอาลัยตายอยาก มิรู้ว่าจู่ๆ เปลี่ยนมามีกำลังวังชาตั้งแต่เมื่อใดขอรับ”
หัวคิ้วของอัศวินขมวดเป็นปมแน่น ลางสังหรณ์บอกเขาว่ามีบางอย่างมิชอบมาพากล ทว่ามิว่าจะคิดอย่างไรก็คิดมิออกว่าเกิดความผิดพลาดที่ส่วนใด
“มีกำลังวังชานับเป็นเรื่องดี อย่างน้อยก็มิตายง่ายๆ ก่อนจะถึงพิธีตัดสิน” เจียเอ่อลั่วชักกระบี่ออกมา ปลายแหลมคมของกระบี่เย็นเฉียบจ่อบนลำคอของโม่จ้าน “มิว่าเจ้าคิดจะใช้อุบายอะไรก็ไร้ประโยชน์ ผู้ที่จะคลายวงเวทย์สยบปีศาจของสมเด็จพระสันตะปาปาได้มีเพียงตัวเขาเองเท่านั้น จงเฝ้ารอการลงโทษจากเทพแห่งแสงอย่างว่าง่ายเถิด”
โม่จ้านไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย สายตาของเขาแน่วแน่ ลมหายใจผ่อนออกจากจมูกแผ่วเบา มุมปากหยักยกเป็นองศาเย้ยหยัน สายตาไร้ความอ่อนโยนของเจียเอ่อลั่วมองผ่านใบหน้าของราชาปีศาจก่อนจะแค่นหัวเราะเสียงเย็นอีกครั้ง กระบี่แหลมคมถูกเก็บเข้าฟักตามเดิม ก่อนหันไปมองชายชราเป็นเชิงว่าให้ออกไปพร้อมกัน
วางมาดตบตาเหมือนๆ กันหมด ใบหน้าของโม่จ้านฉายแววเหยียดหยามด้วยความไม่พอใจขณะให้คำนิยามทุกคนในกองอัศวินแห่งพระวิหาร
ระหว่างที่มองแผ่นหลัง ‘อัศวินติดหนี้’ หายลับไปหลังบานประตู โม่จ้านก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งหนึ่ง ทันทีที่อีกฝ่ายเข้ามาก็ลงไม้ลงมือ ทำให้ครั้งนี้ตนไม่อาจหลอกถามสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการเอาตัวรอดได้เลยสักนิด
นอกจากนั้นคล้ายอัศวินที่ชื่อเจียเอ่อลั่วจะชี้แนะตาเฒ่าผู้นั้นเอาไว้ ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าตัวเขาจะอดทนจนถึงตอนเย็น ทว่าสุดท้ายกลับเห็นเพียงลู่อี้ที่มาส่งข้าวให้ตนด้วยสีหน้าไม่ยินดีปรีดา แม้ว่าตนจะพยายามยั่วยุเช่นไรก็ไม่เป็นผล โม่จ้านจึงใช้สายตาอันแหลมคมเพ่งมอง ถึงพบว่าอีกฝ่ายใส่จุกอุดหูอย่างคาดไม่ถึง สิ่งนี้นำมาใช้เพื่อปิดกั้นเสียงของตนโดยเฉพาะ อีกทั้งตนเพิ่งจะวางชามที่ถูกกินจนเกลี้ยงลงบนโต๊ะ อีกฝ่ายก็รีบคว้าเอาไว้แล้วใส่ลงในตะกร้าไม้ไผ่ ท่าทางอยากจะเผ่นหนีไม่ต่างกับหนูเห็นแมว
ช่างเถอะๆ สวรรค์อยากให้ตาย แล้วข้าจะดิ้นรนไปเพื่ออันใด โม่จ้านพยายามแยกแยะเสียงระฆังเตือนว่ายามค่ำคืนมาถึงก่อนจมเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้งหนึ่ง
……
โม่จ้านนอนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดพลางเคาะผนังข้างมืออย่างจนปัญญา สัมผัสที่ได้รับยังคงเป็นไม้เนื้อหนาที่คุ้นเคย หรือว่าเขาถูกขังไว้ใน ‘โลงศพ’ ที่ฝันเห็นเมื่อวานอีกแล้ว?
แต่ครั้งนี้โม่จ้านเตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้า เขากลั้นหายใจใช้มือคลำสำรวจผนัง อนุมานความเล็กใหญ่และความกว้างของ ‘โลงศพ’ ด้วยแขนขา คาดว่าน่าจะกว้างกว่าไหล่เล็กน้อย ระดับความสูงแค่พอให้พลิกตัวแต่ไม่อาจยกขา ระดับความยาวก็มากกว่าส่วนสูงแค่ยี่สิบเซนติเมตร เรียกได้ว่าเป็นโรงแรมแคปซูลขนาดเล็ก
อากาศใน ‘โลงศพ’ เหม็นยิ่งนัก กลิ่นทั้งคาวและชื้น ไม่ต่างกับห้องใต้ดินในฤดูฝน ไม่ทันให้โม่จ้านได้ใคร่ครวญว่าขั้นต่อไปจะทำอย่างไร ความรู้สึกแน่นหน้าอกก็ตีรวนขึ้นมา ตามด้วยอาการเวียนศีรษะ ร่างกายเริ่มถูกความเจ็บปวดไม่ต่างกับปอดแตกเข้าจู่โจม ภายใต้ความตื่นตระหนก โม่จ้านออกแรงตบหน้าตัวเองหนึ่งฉาด จึงสามารถปลุกตนเองให้ตื่นจากฝันได้สำเร็จ
“พระเจ้า!” โม่จ้านที่ฟื้นคืนสติขึ้นมาโมโหยิ่งกว่าปกติ เขาร้องตะโกนใส่เพดานห้องสีดำมืดด้วยความขุ่นเคือง “กลางวันมีอัศวินใช้ความรุนแรง ตอนกลางคืนยังมีผีอำ ถูกขังถูกมัดก็ช่างเถอะ ตอนนอนยังจะต้องถูกบังคับให้ฝันอีก? นี่มันหน่วยงานลับที่สอบปากคำด้วยการทรมานชัดๆ กระทั่งนอนหลับดีๆ ก็ยังทำไม่ได้!”
กลางดึกผู้คนเงียบสงัด สิ่งที่ตอบกลับโม่จ้านมีเพียงเสียงกระทบของโซ่เหล็ก โม่จ้านรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก แขนขวาที่มีมัดกล้ามนูนใหญ่ออกแรงดึง โซ่ตรวนส่งเสียงดัง ‘กึก’ ก่อนจะร่วงหล่นลงบนพื้น
“….??!”
โม่จ้านนิ่งงันอยู่ครึ่งค่อนวันกว่าจะได้สติกลับคืนมา ไม่เพียงแต่ตาเฒ่าผู้นั้นมิได้มัดตนให้ดี ทว่าเดิมทีก็เป็นการฝืนพันเอาไว้เท่านั้น ราชาปีศาจโม่ที่กำลังเผยสีหน้าหมดคำจะพูดลองขยับแขนซ้าย จากนั้นใช้แขนข้างขวาดึงสายโซ่ลงด้านล่างเบาๆ แม่กุญแจที่คล้องสายโซ่บนแขนส่งเสียงขานรับก่อนจะปลดออก มิต่างอะไรกับเกราะเหล็กที่ถูกดึงสายมัดให้คลายตัวลง ต่างพากันลงไปกองอยู่บนพื้นทั้งหมดทันที
หลังแขนทั้งสองข้างเป็นอิสระ แน่นอนว่าโม่จ้านย่อมต้องปลดโซ่ตรวนบนกาย หลังจากนั้นเขาจึงเพิ่งค้นพบเรื่องที่ทำให้ตนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก — ช่องว่างระหว่างตัวเขากับโซ่เหล็กใหญ่พอจะให้สอดแขนเข้าไปได้ โม่จ้านจัดการ ‘ถอด’ โซ่เหล็กไม่ต่างกับถอดกางเกง จากนั้นก้าวออกมาจากกองโซ่เหล็กที่สูงประมาณครึ่งขา
ขณะมองแม่กุญแจใหญ่สีเงินไร้ประโยชน์ทั้งสามที่อยู่บนพื้น โม่จ้านก็เข้าสู่โหมดใช้ความคิด “หรือว่าตาเฒ่านั่นจงใจ?”
… ในเมื่อตนสามารถขยับได้แล้ว เช่นนั้นก็ลองลงเดินให้ไกลสักหน่อย
ความจริงเป็นเครื่องพิสูจน์ ไม่ว่าจะคิดมากเกินไปหรือตาเฒ่าจงใจทำ โม่จ้านก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เป็นอิสระอยู่ดี — เพราะไม่ว่าโม่จ้านจะลองเดินไปทิศทางใดแค่ไม่กี่ก้าวก็ล้วนแต่ถูกขวางไว้ด้วยกำแพงอากาศที่ไม่อาจมองเห็น เมื่อออกแรงทุบลงไป ส่วนที่ถูกทุบยังจะเกิดเป็นระลอกคลื่นสะท้อนกลับจนรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งแขน
โม่จ้านผู้สิ้นหวังนั่งลงกับพื้นก่อนจะเริ่มเข้าสู่โหมดใคร่ครวญปัญหาชีวิต
เมื่อปราศจากสิ่งรบกวนมากมายดังในตอนกลางวัน บรรยากาศเงียบสงัดทำให้ประสาทสัมผัสของโม่จ้านว่องไวกว่าปกติ ครั้นราชาปีศาจปิดเปลือกตาลงทำสมาธิ เขารับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสที่อ่อนไหวว่าพลังในร่างกายกำลังค่อยๆ เลือนหายไปอย่างช้าๆ ซึ่งสาเหตุก็มาจากสิ่งที่อยู่บนพื้นใต้ฝ่าเท้าของเขา
แสงเทียนขมุกขมัวจนไม่อาจมองเห็นได้ชัด โม่จ้านทำได้เพียงใช้นิ้วมือลูบคลำอย่างละเอียด สัมผัสได้ถึงรอยแกะสลักนูนเว้าไม่ราบเรียบเป็นจำนวนมาก
หรือนี่จะเป็นวงเวทย์ดูดพลังที่ตาเฒ่าลู่อี้พูดถึง? เช่นนั้นวงเวทย์วิญญาณกับวงเวทย์สยบปีศาจคืออะไร? เหตุใดเขาจึงสัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อย?
โม่จ้านนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ภายในหัวเริ่มคิดวิเคราะห์อัตโนมัติ
หากวงเวทย์วิญญาณที่อยู่ใต้ดินมีไว้เพื่อผนึกพลังวิญญาณของราชาปีศาจ เช่นนั้นเกรงว่าวิธีที่จะหนีออกไปได้คงมีเพียงต้องฝืนใช้พลังวิญญาณทำลายผนึกเพื่อฝ่าออกไป ตัวเขาได้เห็นแล้วว่าวิญญาณของราชาปีศาจอ่อนแออย่างยิ่ง ก็น่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้นั่นเอง
ภายใต้สถานการณ์ที่ภาพเบื้องหน้าเต็มไปด้วยความมืดมิด แม้โม่จ้านจะค้นพบต้นตอของวงเวทย์พวกนี้ ทว่ากลับไม่มีความสามารถพอที่จะทำลายมัน ถึงขั้นที่ว่าทุบให้เป็นเรื่องเล็กๆ ก็ยังมิอาจทำได้ พวกเขาเริ่มต้นด้วยการดูดพลังปีศาจเป็นอันดับแรกแล้วค่อยผนึกวิญญาณ จากนั้นจึงค่อยบั่นทอนการฟื้นฟูพลังไปเรื่อยๆ นับได้ว่าเป็นหมากตายหนึ่งกระดาน มิน่าเล่าอัศวินติดหนี้ถึงได้บอกว่ามีเพียงสมเด็จพระสันตะปาปาเท่านั้นที่จะคลายวงเวทย์ได้ ภายใต้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมเช่นนี้ หากผู้ใดถูกจับเข้ามาขังก็คงมิอาจหลบหนีออกไปได้ทั้งสิ้น…
คิดดูแล้วก็ยังคงไร้หนทางรอด เพียงแต่อย่างน้อยก็ยังได้นอนเอนตัว โม่จ้านหอบโซ่เหล็กมาทำเป็นหมอนหนุน ตามด้วยส่งเสียงกรนอีกครั้งโดยไม่คิดแยแสต่อสิ่งใด
Chapters
Comments
- เล่มที่ 1 บทที่ 10 ยังคงเจ็บและรู้สึกงงงวย กันยายน 14, 2023
- เล่มที่ 1 บทที่ 9 สงครามบนตรอกขี้เถ้า (2) กันยายน 11, 2023
- เล่มที่ 1 บทที่ 8 สงครามบนตรอกขี้เถ้า (1) กันยายน 9, 2023
- เล่มที่ 1 บทที่ 7 นิ้วและมือ กันยายน 6, 2023
- เล่มที่ 1 บทที่ 6 วิกฤตพรหมจรรย์ กันยายน 4, 2023
- เล่มที่ 1 บทที่ 5 ประวัติอัศวิน กันยายน 2, 2023
- เล่มที่ 1 บทที่ 4 อัศวินติดหนี้ สิงหาคม 31, 2023
- เล่มที่ 1 บทที่ 3 พระบุตรศักดิ์สิทธิ์ลำดับสอง สิงหาคม 31, 2023
- เล่มที่ 1 บทที่ 2 น้องชาย สิงหาคม 31, 2023
- เล่มที่ 1 บทที่ 1 จากต้องตายกลับกลายเป็นต้องโทษประหาร สิงหาคม 31, 2023
MANGA DISCUSSION