บทที่ 242: การวิจัยของแต่ละคน
วันที่ 28 เดือนเพลิงแดง เผลอแป๊บเดียวก็ผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วที่เริ่มมาเรียนที่โรงเรียนเทพ
“นี่ๆ คนนั้นไม่ใช่เหรอ ผู้ชายที่ทำร้ายเจ้าหญิงเนลที่โรงอาหารน่ะ”
“น่ากลัวจัง หน้าตาน่ากลัวมากเลย”
หลังจากจบคาบเรียนวิชาเภสัชศาสตร์ที่เรียนเกี่ยวกับการปรุงยาโพชั่นและสมุนไพร พอเดินออกมาที่ทางเดิน ก็ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงที่เดินสวนกันไปคุยกันกระซิบกระซาบ
ต้องขอบคุณการดัดแปลงเสริมพลัง ทำให้หูของผมดีมาก เรื่องที่คุยกันลับๆ ก็เลยได้ยินชัดเจนเลย ไม่สิ หรือว่าพวกเธอไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอะไรอยู่แล้วกันนะ
“กรี๊ด! เขามองมาทางนี้ด้วยล่ะ!”
“อี๋ หนวดสัมผัสนั่นมันอี๋”
ผมมองส่งนักเรียนหญิงสองคนที่กรีดร้องเสียงแหลมแล้ววิ่งหนีไป พลางถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“ฮ่า แย่จริงๆ เลยนะ…”
ดูเหมือนว่าตั้งแต่เกิดเรื่องที่โรงอาหารขึ้น ใบหน้าของผมก็กลายเป็นที่รู้จักไปในทางที่แย่เสียแล้ว
เรื่องที่คุณเนลคนนั้นเป็นเชื้อพระวงศ์แห่งอวาลอนจริงๆ และเด็กสาวผมทวินเทลสีแดงที่พุ่งเข้ามาเตะผมนั้นคือชาร์ล็อต ทริสตัน สปาด้า เจ้าหญิงลำดับที่สามแห่งสปาด้านั้น ผมเพิ่งจะมารู้จากวิลผู้ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเธอในวันรุ่งขึ้นนี่เอง
ยิ่งไปกว่านั้น การที่พวกเขาเป็นสมาชิกปาร์ตี้นักผจญภัยแรงก์ 5 ที่กำลังเป็นข่าวลือในสปาด้าอย่าง ‘วิงโร้ด’ นั้น ก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียง (ในทางที่ไม่ดี) ของผมมันโด่งดังมากขึ้นไปอีก
สถานะเชื้อพระวงศ์ รูปร่างหน้าตาที่โดดเด่น และที่สำคัญที่สุดคือฝีมือที่สามารถไต่เต้าขึ้นไปถึงแรงก์ 5 ได้ทั้งที่ยังเป็นนักเรียน พวกเขาเรียกได้ว่าเป็นเหมือนไอดอลของโรงเรียนเลยก็ว่าได้
การที่ไปก่อเรื่องทะเลาะวิวาทกับบุคคลเช่นนั้น ถึงแม้ต้นเหตุจะเป็นเพียงความเข้าใจผิดเล็กน้อยก็ตามที แต่ชื่อเสียงของผมก็กลายเป็นอย่างที่นักเรียนหญิงพวกนั้นพูดไปเมื่อครู่ คือเลวร้ายที่สุดไปเสียแล้ว
การที่มีผู้เห็นเหตุการณ์จำนวนมากในโรงอาหารตอนพักกลางวันนั้น ก็ยิ่งทำให้ข่าวลือมันแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว บางทีพวกที่เป็นคู่กรณีโดยตรงอาจจะไม่ได้ไปป่าวประกาศอะไรเป็นพิเศษหรอกนะ
ด้วยเหตุนี้ ตอนนี้ผมก็เลยถูกมองว่าเป็นเหมือนพวกอาชญากรทางเพศที่ใช้หนวดสัมผัสอันมืดมิดทำร้ายเด็กสาวไปเสียแล้ว
ถึงจะบอกว่าข่าวลือของคนเรามันอยู่ได้แค่เจ็ดสิบห้าวันก็เถอะนะ… ไม่สิ จริงๆ แล้วมันพูดอะไรไม่ออกเลยนอกจากคำว่าแย่จริงๆ ทุกคนถึงแม้จะคิดว่าเป็นแค่ข่าวลือ แต่พอเห็นหน้าผมเข้าก็พากันทำสีหน้าเหมือนกับว่า “อ้อ อย่างนี้นี่เอง” กันหมดเลย
อะไรกันเล่า หน้าตาผมมันดูเป็นคนร้ายขนาดนั้นเลยรึไง… ไม่สิ มันก็ร้ายจริงๆ นั่นแหละนะ… ให้ตายสิ
ผลก็คือ ถึงจะผ่านมาเกือบหนึ่งอาทิตย์แล้ว แต่ผมก็ยังไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว ไม่ต้องพูดถึงคนรู้จักเลยด้วยซ้ำ
ก็ ไซม่อนกับวิลเชื่อในความบริสุทธิ์ของผมอยู่ล่ะนะ เอาเป็นว่าแค่นั้นก็พอแล้วกัน
ไซม่อนน่ะถึงกับพูดอย่างฉุนเฉียวว่า “เพราะอย่างนี้ไงถึงได้เกลียดไอ้พวกคนใหญ่คนโตแบบนั้นน่ะ!” ส่วนวิลเองก็กล่าวขอโทษแทนว่า “น้องสาวของข้า…”
ดูเหมือนว่าเจ้าหญิงชาร์ล็อตคนนั้นจะมีนิสัยขี้โวยวายอยู่บ้างจริงๆ นั่นแหละนะ เหมือนกับที่เห็นในเหตุการณ์นั้นไม่มีผิด
แล้วก็ เรื่องที่ข่าวลือแย่ๆ ไม่ได้ไปติดอยู่กับลิลี่และฟิโอน่าด้วยก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีกระมัง
แตกต่างจากผม ลิลี่น่ะไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหลักสูตรไหน ทั้งผู้บริหาร อัศวิน ข้าราชการ วิศวกรรมเวทมนตร์ หรือนักผจญภัย ก็มักจะมีคนเข้ามาทักทายอยู่บ่อยๆ แถมยังโดนลูบหัวบ้าง ได้ขนมบ้าง กลายเป็นคนดังของโรงเรียนไปแล้วนิดหน่อย
ตอนนี้ก็คงจะกำลังโปรยรอยยิ้มอันน่ารักน่าเอ็นดูนั้น มอบความสดชื่นเยียวยาให้กับเหล่านักเรียนอยู่ที่ไหนสักแห่งอย่างแน่นอน
ขณะที่กำลังคิดเรื่องนั้นพลางเดินต่อไป ก็มาถึงหอพักเก่าซึ่งก็คือห้องทดลองของไซม่อน ที่เพิ่งจะกลายเป็นฐานที่มั่นของพวกเรา ‘ปรมาจารย์ธาตุ’ [เอเลเมนท์มาสเตอร์] อย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง
อะไรกัน ลิลี่ดูเหมือนจะเป็นคนรู้จักเก่าแก่กับท่านผู้อำนวยการของที่นี่สินะ ถึงได้ช่วยอำนวยความสะดวกให้ได้น่ะ
ถึงจะไม่มีแม่บ้านคอยดูแลเหมือนหอพักทางการอื่นๆ ทำให้ไม่ได้รับการสนับสนุนอะไรเลยก็จริง แต่การที่ไม่ต้องเสียค่าเช่าห้องนี่มันก็ดีมากแล้วล่ะ
ถึงจะเก่าไปบ้างเล็กน้อย แต่พออยู่ไปมันก็ชินเอง ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนักหรอก สำหรับนักผจญภัยที่คุ้นเคยกับการนอนค้างแรมในป่าแล้วล่ะก็ แค่มีหลังคาคุ้มหัวก็ถือว่าดีเลิศประเสริฐศรีแล้ว
ถ้าเกิดมันใกล้จะพังเพราะถึงขีดจำกัดความทนทานเมื่อไหร่ ค่อยใช้การกลายเป็นสีดำเสริมความแข็งแรงเอาก็ได้กระมัง
ผมเดินไปตามทางเดินที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดน่าขนลุกทุกครั้งที่ก้าวเท้า แล้วเปิดประตูเข้าไป ก็พบกับห้องของตัวเองที่ยังคงให้ความรู้สึกสดใหม่อยู่เล็กน้อยแผ่กว้างอยู่ตรงหน้า
โครงสร้างห้องเหมือนกับห้องของไซม่อนไม่มีผิด ต้องขอบคุณที่เดิมทีมันเป็นห้องสำหรับสองคน ความกว้างมันก็เลยมีอยู่พอสมควรเลยทีเดียว
จะว่าไปแล้ว ผมก็นอนค้างอ้างแรมอยู่กับลิลี่นี่นา จะเรียกว่าใช้เป็นห้องสำหรับสองคนอย่างถูกต้องก็ได้กระมัง
ตู้เสื้อผ้ากับเตียงนอนที่ติดตั้งมาให้ตั้งแต่แรก โต๊ะกับเก้าอี้รุ่นเก่าที่ไปขนมาจากห้องเก็บของ เฟอร์นิเจอร์ที่มองเห็นก็มีอยู่ประมาณนี้แหละ
ถึงแม้จะเป็นห้องของตัวเองที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยแม้แต่น้อยแบบนี้ แต่ตอนนี้มันก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่พื้นที่สำหรับใช้ชีวิตธรรมดาๆ เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นห้องเรียนของผมอย่างค่อนข้างจะจริงจังอีกด้วย ไม่สิ ถ้าจะให้พูดให้มันดูเท่ขึ้นมาหน่อยก็คงจะเรียกว่าเป็นโรงฝึกเวทมนตร์ได้เลยกระมัง
“เอาเป็นว่า ‘[อมตนิรันดร์]’ [เอทานิตี้] นี่ต้องรีบเรียนรู้ให้ได้เสียก่อนนะ”
บนโต๊ะตัวเดียวกับที่ใช้ในห้องเรียนนั้น มีกระดาษที่วาดวงเวทที่ยังทำไม่เสร็จวางอยู่ กับกองหนังสือที่สูงท่วมหัว
เมื่อคิดดูแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ใช้ชีวิตอยู่ที่กระท่อมของนักเวทในป่ากับลิลี่ นี่ก็เป็นครั้งแรกเลยกระมังที่ได้มานั่งจดจ่ออยู่กับการวิจัยมนตร์ดำอย่างจริงจังแบบนี้
การที่จะเรียนรู้เวทมนตร์รูปแบบปัจจุบัน [โมเดล] นั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว ผมตระหนักรู้เรื่องนั้นดีตั้งแต่คาบเรียนแรกแล้วก็จริง แต่ถึงจะอย่างนั้น เส้นทางในการวิจัยเวทมนตร์ของผมมันก็ยังไม่ได้ถูกปิดตายไปโดยสิ้นเชิงเสียหน่อย สิ่งที่ทำได้มันยังมีอยู่อีกถมไป
เดิมทีแล้ว ต้องขอบคุณคุณมอสที่ช่วยสอนเรื่องเวทมนตร์รูปแบบปัจจุบัน [โมเดล] สายความมืดต่างๆ ให้ ถึงได้สามารถสร้าง ‘ประตูเงา’ [ชาโดว์เกท] กับ ‘มือหนวดเงา’ [แองเคอร์แฮนด์] จนสำเร็จได้นี่นา ถึงจะไม่ถึงกับเรียนรู้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ถ้าสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับวงเวทได้ลึกซึ้งขึ้นอีกนิด และใช้เป็นตัวช่วยในการสร้างภาพลักษณ์ของเวทมนตร์ได้ล่ะก็ ก็น่าจะคาดหวังผลอะไรบางอย่างได้บ้าง
มนตร์ดำของผมนั้น ยังมีช่องว่างให้ปรับปรุงได้อีกมาก
ที่สำคัญที่สุด ร่างทดลองฮันเดรดนัมเบอร์นั้นมีความสามารถในการร่ายคาถาและใช้เพลงดาบที่ก้าวหน้ากว่าผมอย่างเห็นได้ชัดเลยนี่นา ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกนั้นจะทำได้แล้วผมจะทำไม่ได้หรอก
ในตอนนี้ สิ่งที่ผมกำลังวิจัย (ฝึกฝน) อยู่ก็คือ การเรียนรู้ ‘[อมตนิรันดร์]’ [เอทานิตี้] ซึ่งจำเป็นสำหรับการทำให้กิลด์กลายเป็นสีดำหรือสร้างกระสุนปืน การเสริมพลังมนตร์ดำที่มีอยู่แล้วให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น การพัฒนาเวทมนตร์ใหม่โดยประยุกต์ใช้วงเวทของเวทมนตร์สายอื่นๆ และวิธีการใช้พรพิทักษ์แห่งเพลิง เป็นต้น
จะว่าไปแล้ว เกี่ยวกับเพลงดาบนั้น ดูเหมือนว่าจะมีเพียงแค่ ‘[คลื่นอนธการ]’ เท่านั้นที่สามารถปลดปล่อยออกมาได้ไม่ว่าจะใช้อาวุธอะไรก็ตาม บางที คงจะเป็นเพราะว่าใช้มันในการต่อสู้มาโดยตลอด ร่างกายก็เลยเรียนรู้ไปเองตามธรรมชาติกระมัง
ถ้าเช่นนั้น การที่จะเรียนรู้เพลงดาบที่สถิตอยู่ในอาวุธผ่านการต่อสู้จริงอย่างการทำเควสต์น่าจะดีกว่า อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเรียนรู้ได้เร็วกว่าการไปนั่งเรียนเพลงดาบอย่างถูกต้องตามแบบแผนเป็นแน่
ก็ ‘[คลื่นโลหิตแดงชาด]’ กับ ‘[คลื่นรัตติกาล]’ นั้น นอกจากฝีมือของผู้ใช้เองแล้ว ความสามารถของขวานในฐานะอาวุธเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องในการปลดปล่อยเพลงดาบประเภทนั้นออกมาด้วย เพราะฉะนั้นมันก็เลยกลายเป็นท่าเฉพาะตัวไปโดยปริยายสินะ
ไม่ว่าจะเป็นเวทมนตร์หรือเพลงดาบ สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้ไปมันมีกองพะเนินเทินทึกเลยทีเดียวล่ะ
แต่ถึงจะมานั่งร้อนใจตอนนี้มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ ค่อยๆ จัดการสิ่งที่ตัวเองทำได้ไปทีละอย่าง แล้วก็เสริมสร้างพลังให้แข็งแกร่งขึ้นไปอย่างมั่นคงก็แล้วกัน
อันที่จริงแล้ว เมื่อไหร่กันแน่นะที่จะสามารถตามพวกอัครสาวกทันได้ เรื่องนั้นก็อดที่จะสงสัยอยู่ไม่ได้เหมือนกันนะ…
“คุณคุโรโนะ อยู่ไหมคะ?”
ขณะที่กำลังฝึกวาดวงเวทพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ ก็มีเสียงเคาะประตูพร้อมกับเสียงของฟิโอน่าดังขึ้น
“อยู่สิ เข้ามาเลย”
ขออนุญาตนะคะ พูดพลาง แต่ในมือกลับถือขนมแท่งยาวๆ ที่ดูเหมือนชูโรสอยู่ด้วย
ฟิโอน่าในช่วงนี้ ทุกครั้งที่เห็นหน้าก็มักจะถือของกินที่แตกต่างกันอยู่เสมอ ดูเหมือนว่านอกจากจะทุ่มเทให้กับการวิจัยเวทมนตร์แล้ว เธอยังทุ่มเทให้กับการแสวงหาของอร่อยด้วยสินะ
“ไปเลือกหนังสือเล่มใหม่มาให้แล้วค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ ช่วยได้มากเลยล่ะ”
หนังสือที่ผมใช้เป็นเอกสารอ้างอิงอยู่ที่นี่นั้น ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ฟิโอน่าไปค้นหาแล้วก็เอามาให้ทั้งนั้น
ฟิโอน่ารู้ดีอยู่แล้วว่าผมไม่สามารถถอดรหัสภาษาที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์อย่างการร่ายคาถาได้
ดังนั้น แทนที่จะเป็นตำราเวทมนตร์ที่ลงคาถาไว้โดยตรง เธอก็เลยเลือกหนังสือที่เน้นอธิบายวงเวทหรือประวัติศาสตร์ของเวทมนตร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมพอจะอ่านรู้เรื่องและน่าจะเป็นประโยชน์มาให้
ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ดูเหมือนจะมีของที่กำลังหาอยู่เหมือนกันแท้ๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์มาช่วยผมแบบนี้ ช่างน่าขอบคุณจริงๆ จนไม่รู้จะพูดยังไงเลย
“เป็นอย่างไรบ้างคะ?”
“หนทางสู่การเรียนรู้ ‘[อมตนิรันดร์]’ [เอทานิตี้] ดูจะยังอีกยาวไกลเลยล่ะ”
ผมตอบกลับไปพลางหัวเราะแห้งๆ
“อย่างนั้นเหรอคะ พยายามเข้านะคะ”
หรืออาจจะเป็นการให้กำลังใจในแบบของเธอกระมัง เธอจึงยื่นขนมที่ถืออยู่ในมือมาให้ผม
คงจะหมายถึงให้กินสักคำกระมัง ผมจึงกัดปลายขนมสีเหลืองทองที่อยู่ในมือของฟิโอน่าไปคำหนึ่ง
“โอ้ อร่อยนี่นา”
“ถูกปากก็ดีแล้วค่ะ”
พื้นผิวกรุบกรอบ แต่ข้างในกลับนุ่มฟู พร้อมกับรสหวานอ่อนๆ รู้สึกเหมือนน้ำตาลมันแล่นเข้าหัวแล้วก็ช่วยเติมพลังงานได้ดีเลยแฮะ
“แล้ว วันนี้เอาหนังสืออะไรมาให้เหรอ?”
“เป็นเรื่องการเสริมพลัง [บูสต์] ค่ะ”
เวทมนตร์ที่ถูกเรียกกันติดปากว่าสายสนับสนุนอะไรทำนองนั้น ซึ่งซ่อนเร้นผลในการเสริมพลังความสามารถทางร่างกายหรืออานุภาพของเวทมนตร์ พลังของมันนั้นผมเองก็เคยได้สัมผัสมากับตัวแล้วเหมือนกัน
ไอในสภาพผนึกนั้น เพียงแค่ได้รับการเสริมพลังระดับต่ำจากฟิโอน่าก็สามารถต่อสู้ได้อย่างทัดเทียมหรือเหนือกว่าแล้ว แถมยังสามารถต่อกรกับราสปุนผู้ซึ่งมีพละกำลังและความเร็วอันน่าสะพรึงกลัวได้อย่างไม่เป็นรองเลยแม้แต่น้อย
ถ้าหากจะต่อสู้กับอัครสาวกหรือมอนสเตอร์ระดับ 5 อย่างซึ่งๆ หน้าแล้วล่ะก็ คุณประโยชน์ของเวทมนตร์เสริมพลังนั้นขาดไปไม่ได้เลย
“แต่ว่า ผมจะใช้เวทมนตร์เสริมพลังได้งั้นเหรอ?”
วิชาเสริมพลังที่คล้ายกับเพลงดาบ ซึ่งเป็นการส่งพลังเวทมนตร์เข้าไปในร่างกายแล้วโคจรมันเพื่อเพิ่มพูนความสามารถทางร่างกายในชั่วขณะนั้น ผมก็เคยเรียนรู้มาตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่ในสถานทดลองแล้ว
แต่ว่า ถ้าจะให้พูดอีกอย่างก็คือ ผมยังไม่สามารถเรียนรู้อะไรที่มากกว่านั้นได้เลยนี่สิ แถมตอนนี้ก็อยู่ในสภาพที่เสริมพลังด้วยพลังเวทมนตร์สีดำอยู่แล้วด้วย ภาพลักษณ์ของการเสริมพลังแบบใหม่มันก็เลยยังนึกไม่ค่อยออกเท่าไหร่
“มนตร์ดำเองมันก็เป็นของที่หายากอยู่แล้วนี่คะ คงจะหาวงเวทของเวทมนตร์เสริมพลังที่เข้ากันได้ง่ายๆ ไม่ได้หรอกค่ะ แต่ทว่า ตอนนี้คุณคุโรโนะถึงแม้จะเป็นเพียงการจำลองขึ้นมา แต่ก็สามารถใช้คุณสมบัติธาตุไฟได้แล้วนี่คะ”
จะทำได้ดีหรือไม่นั้น ถ้าไม่ได้ลองทำจริงๆ ก็คงจะไม่รู้หรอกนะ พูดเกริ่นนำไว้ก่อนเช่นนั้นแล้ว ฟิโอน่าก็พูดอย่างหนักแน่น
“‘เสริมพลังแขน’ [ฟอร์ซบูสต์] สายนั้นมีพื้นฐานมาจากพลังเวทมนตร์ดั้งเดิมของธาตุไฟค่ะ ถ้าเป็นเปลวเพลิงจากพลังเวทมนตร์สีดำแล้วล่ะก็ บางทีอาจจะสามารถใช้ได้เหมือนกันก็ได้นะคะ”
ณ ห้องทดลองของไซม่อนนั้น บัดนี้กลับมีสภาพที่ข้าวของเครื่องใช้และวัตถุดิบต่างๆ กระจัดกระจายเกลื่อนกลาด ราวกับเป็นห้องเก็บของในหมู่บ้านอัลซัสที่คุโรโนะเคยเห็นไม่มีผิด ไม่สิ หรืออาจจะยิ่งกว่านั้นเสียอีก มันเป็นภาพของความโกลาหลโดยแท้
โดยปกติแล้ว นอกจากไซม่อนผู้เป็นเจ้าของแล้ว ก็ไม่มีใครเข้ามาในห้องนี้อีก แต่ตอนนี้กลับมีบุคคลที่ไม่คาดคิดมาอยู่ร่วมด้วย
“เอ่อ มีธุระอะไรรึเปล่าครับคุณลิลี่?”
ตรงหน้าไซม่อนที่ตัวแข็งทื่อด้วยความประหม่านั้น ลิลี่ในสภาพร่างกายเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ แต่สมองเป็นผู้ใหญ่ กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้โดยเอาขาที่สั้นกุดของเธอพาดกันไว้
ถึงแม้จะเริ่มอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันมาได้หลายวันแล้ว แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น ดูเหมือนว่าความรู้สึกไม่ถูกชะตากับลิลี่ที่ไซม่อนมีอยู่ ก็ยังไม่สามารถจะปัดเป่าออกไปได้เลย
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกนะ แต่พอดีมีของที่อยากจะให้เธอดูหน่อยน่ะ”
ลิลี่ใช้นิ้วชี้วาดวงเวทเรืองแสงขึ้นกลางอากาศอย่างแผ่วเบา มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเป็นเวทมิติ [ดิเมนชั่น]
สิ่งที่เธอหยิบออกมาจากตรงนั้นคือ วงแหวนสีขาวที่มีรูปร่างเรียบง่ายจนไม่อาจจะเรียกเป็นอย่างอื่นได้เลย
“อะไรเหรอครับนั่น?”
ทันทีที่ไซม่อนยื่นหน้าเข้าไปมองวงแหวนนั้นอย่างสนใจใคร่รู้ เข็มเจ็ดเล่มก็พุ่งพรวดออกมาจากด้านในของวงแหวนพร้อมกับเสียง ดัง แฉ่ก
“ว๊าก!?”
ลิลี่มองดูปฏิกิริยาของไซม่อนที่รีบหงายหลังหนีอย่างตกใจด้วยสีหน้าที่ยังคงเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย แล้วก็เริ่มอธิบาย
“นี่คือเครื่องรางเวทมนตร์ [เมจิกไอเทม] ที่พวกที่ถูกเรียกว่าร่างทดลองเหมือนกับคุโรโนะเคยสวมไว้ที่หัวน่ะ ถ้าได้ยินชื่อว่า ‘อุปกรณ์ควบคุมความคิด’ [แองเจิลริง] แล้วล่ะก็ น่าจะพอเดาผลของมันออกแล้วใช่ไหมล่ะ?”
“ควบคุมความคิดงั้นเหรอ… หรือว่า!?”
ไซม่อนผู้ซึ่งถึงแม้จะใช้เวทมนตร์ไม่ได้แต่ก็มีความรู้เป็นเลิศ เมื่อได้เห็นชื่อและรูปร่างของไอเทมนี้แล้ว ก็เข้าใจได้ในทันที
ว่านี่คืออุปกรณ์ล้างสมองที่ใช้เข็มทั้งเจ็ดเล่มที่พุ่งออกมานี้แทงเข้าไปในสมองโดยตรงเพื่อควบคุมผู้ที่สวมใส่นั่นเอง
“นี่มันไม่ใช่แค่วิชามารธรรมดาๆ แล้วไม่ใช่เรอะ!”
วิชาที่ใช้เวทมนตร์ควบคุมหรือล้างสมองผู้อื่นนั้น แม้แต่ในทวีปแพนโดร่าแห่งนี้ก็ยังถูกควบคุมอย่างเข้มงวด
เวทมนตร์ที่มีผลบิดเบือนเจตจำนงของมนุษย์ เช่น ทำให้สับสน [พานิคอส] ทำให้คลุ้มคลั่ง [เบอร์เซิร์ก] หรือทำให้หลงใหล [ชาร์ม] นั้นมีอยู่มากมายก็จริง แต่ส่วนใหญ่จะถูกมองว่าเป็นเพียงหนึ่งในสถานะผิดปกติ [แบดสเตตัส] เท่านั้น การเรียนรู้จึงไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เวทมนตร์ประเภทที่ทำให้ต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้ร่ายอย่างเด็ดขาดและต่อเนื่องนั้นถือเป็นวิชาต้องห้าม
ตราบใดที่สังคมซึ่งมีโครงสร้างเป็นรัฐชาติที่ต้องมีการบัญญัติกฎหมายยังคงดำรงอยู่ วิชาล้างสมองที่ทรงพลังนั้นถือเป็นตัวตนที่อันตรายมากเกินไป
“แต่ว่า ของจริงมันก็อยู่ตรงนี้แล้วนี่นา เธอก็เคยเห็นคนที่สวมเจ้านี่แล้วต่อสู้มาแล้วด้วยนี่ เพราะฉะนั้นเรื่องผลของมันคงจะไม่ต้องอธิบายแล้วสินะ”
ไซม่อนเคยต่อสู้เคียงข้างนักผจญภัย รับมือกับกองกำลังผสมที่ประกอบไปด้วยไลท์โกเลมในร่างอัศวินเกราะหนักกับพวกร่างทดลอง
ร่างทดลองที่สวมเสื้อคลุมสีเทาและใช้มนตร์ดำเหมือนกับคุโรโนะนั้น ถึงแม้จะถูกโจมตีก็ยังไม่ส่งเสียงร้องออกมาเลยแม้แต่แอะเดียว ท่าทางที่ดูน่าขนลุกนั้นยังคงติดอยู่ในความทรงจำของเขา
นึกว่าคงจะเป็นเพราะเสริมพลังด้วยเวทมนตร์หรือยาอะไรทำนองนั้นเสียอีก แต่ไม่นึกเลยว่าจะอยู่ในสภาพที่ถูกล้างสมองโดยสมบูรณ์แบบนั้น
“ไม่คิดว่ามันเป็นผลที่สุดยอดมากเลยเหรอ เจ้านี่น่ะ”
“นั่นมัน…อืม ถึงจะกำลังสู้กันอยู่ แต่ก็ไม่เห็นว่าการล้างสมองมันจะคลายลงเลยแม้แต่น้อยเลยนี่นา…”
ถึงจะเรียกว่าล้างสมอง แต่มันก็ไม่ได้มีผลครอบจักรวาลขนาดที่ว่าถ้าใช้ครั้งหนึ่งแล้วจะมีผลต่อเนื่องไปตลอดกาลเสียหน่อย
โดยพื้นฐานแล้ว รูปแบบที่สติจะกลับคืนมาเมื่อได้รับการกระตุ้นจากภายนอกนั้นมีอยู่มาก และถึงจะไม่มีอะไรเลย จู่ๆ ก็กลับมาได้สติเองก็มีอยู่เหมือนกัน การล้างสมองนั้นถือเป็นเวทมนตร์ที่ละเอียดอ่อนมากทีเดียว
“จะว่าไปแล้ว มันยังมีฟังก์ชันที่สามารถสื่อสารกันด้วยกระแสจิต [เทเลพาธี] ติดอยู่ด้วยนะ”
“เอ๊ะ สุดยอด! แต่ว่า อย่างนี้นี่เอง ถึงได้ประสานงานโจมตีกันได้เก่งขนาดนั้นสินะ”
การเคลื่อนไหวที่แม่นยำของเหล้าร่างทดลองราวกับมีตาอยู่ด้านหลังนั้น ถึงแม้จะเป็นไซม่อนนักผจญภัยแรงก์ 1 ก็ยังมองออกได้ชัดเจน
อย่างนี้นี่เอง ถ้าเชื่อมต่อกันด้วยกระแสจิต [เทเลพาธี] แล้วล่ะก็ การที่จะประสานงานกันได้โดยไม่ต้องใช้เสียงหรือสัญญาณใดๆ ก็คงจะเป็นไปได้สินะ เขายอมรับได้ในทันที
“จะว่าไปแล้วนะ ฉันน่ะ พอเริ่มมาเรียนที่โรงเรียนนี้แล้วก็ได้ไปเข้าเรียนวิชาอัญเชิญ [ซัมมอน] มาด้วยล่ะ”
“เอ๊ะ ครับ อย่างนั้นเหรอครับ”
ไซม่อนได้แต่ตอบรับอย่างคลุมเครือกับการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหันนั้น
อะไรกันจู่ๆ ไซม่อนที่กำลังงุนงงอยู่นั้น ลิลี่ก็ยังคงพูดต่อไปด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับกำลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ
“นักอัญเชิญ [ซัมมอนเนอร์] ที่ควบคุมมอนสเตอร์น่ะก็มีประโยชน์ตอนอยู่ที่อัลซัสเหมือนกันนี่นา วิชาที่ควบคุมผู้อื่นแบบนั้นน่ะ ฉันก็เลยสนใจอยู่หน่อยๆ น่ะ เพราะฉะนั้นก็เลยเคยไปเข้าเรียนวิชาภูตผี [เนโครแมนซี] มาด้วยเหมือนกันนะ”
“เห…เหรอครับ เก่งจังเลยนะครับ”
“ไม่ได้เก่งอะไรหรอกน่า พอไปเข้าเรียนดูก็รู้แล้วว่าวิชาอัญเชิญ [ซัมมอน] น่ะ นอกจากเวทมนตร์แล้วยังต้องมีเทคนิคในการฝึกฝนมอนสเตอร์ต่างหากด้วย ส่วนวิชาภูตผี [เนโครแมนซี] นี่ถ้าใช้คุณสมบัติธาตุมืดไม่ได้ล่ะก็ แม้แต่ซอมบี้ตัวเดียวก็ยังควบคุมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ สำหรับฉันที่มีคุณสมบัติตรงกันข้ามคือถนัดธาตุแสงแล้วล่ะก็ ไม่มีทางที่จะเรียนรู้ได้หรอก”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ลิลี่ก็ไม่ได้ทำสีหน้าเสียดายอะไรเป็นพิเศษเลยแม้แต่น้อย หรือจะพูดให้ถูกก็คือเธอยังคงยิ้มอยู่ด้วยซ้ำ
รอยยิ้มอันน่ารักของลิลี่ที่สามารถคว้าหัวใจของเหล่านักเรียนในโรงเรียนได้ภายในหนึ่งสัปดาห์นี้ แต่ไซม่อนเมื่อได้เห็นแล้ว กลับรู้สึกเย็นสันหลังวาบขึ้นมาเท่านั้น
“แต่ว่า ถ้าเป็นฉันคนนี้แล้วมีแหวนวงวิเศษนี่อยู่ล่ะก็—”
เมื่อลิลี่ใช้นิ้วลูบไปบนพื้นผิวสีขาวของมันอีกครั้ง มันก็ส่งเสียงดังขึ้น แล้วคราวนี้เข็มที่เคยพุ่งออกมาก็หดกลับเข้าไปข้างในแทน
“—ก็สามารถควบคุมทาสรับใช้ [ชิโมเบะ] ได้ยังไงล่ะ”
“เอ๊ะ หรือว่าคุณลิลี่!?”
“แล้วเรื่องที่จะปรึกษาในวันนี้น่ะนะ นี่ไซม่อน ‘อุปกรณ์ควบคุมความคิด’ [แองเจิลริง] นี่น่ะ พอจะผลิตจำนวนมากได้ไหมนะ?”
Translater : Eidolon
www.nekopost.net/editor/78229
novel.dek-d.com/EidolonPlus/profile/writer/
MANGA DISCUSSION