บทที่ 240: สี่ยุคสมัย
“โอ๊ะโอ๋ นั่นมัน ‘นักรบคลั่งแห่งฝันร้ายทมิฬ’ [ไนท์แมร์เบอร์เซิร์กเกอร์] คุโรโนะ กับเหล่าสหายผู้ถูกชักนำด้วยสายใยแห่งโชคชะตา สมาชิกปาร์ตี้อย่างคุณลิลี่กับคุณโซเรย์นี่นา! ช่างเป็นความบังเอิญอะไรเช่นนี้ ไม่สิ การพบกันครั้งนี้ก็เป็นหนึ่งในพรหมลิขิตที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ยุคสมัยแห่งทวยเทพอันไกลโพ้น—”
“โย่ว วิล”
“โย่ว—!”
“สวัสดีค่ะ เจ้าชายวิลฮาร์ท”
เมื่อวานนี้ เกิดเรื่องวุ่นวายต่างๆ นานาที่โรงอาหารจนไม่ได้ทานอาหารกลางวันเลย ดังนั้นพวกเราสามคน ปรมาจารย์ธาตุ [เอเลเมนท์มาสเตอร์] จึงได้มาเยือนโรงอาหารอีกครั้งในเวลาหลังเลิกเรียนของวันนี้เพื่อลิ้มลองรสชาติอาหาร แต่จะเรียกว่าบังเอิญหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ได้มาพบกับวิลเข้าพอดี
อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นช่วงเวลาหลังจากที่คาบเรียนสุดท้ายของแต่ละหลักสูตรจบลงแล้วกระมัง โรงอาหารที่เคยคึกคักอย่างมากในช่วงพักกลางวัน บัดนี้กลับดูเงียบเหงาไปถนัดตา
ได้ยินมาว่าพวกนักเรียนนั้น นอกจากชั่วโมงเรียนแล้วก็ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายที่ต้องทำ เช่น กิจกรรมชมรม หรือการเตรียมตัวสำหรับเควสต์ เป็นต้น
ดังนั้น เจ้าชายวิลฮาร์ทผู้ซึ่งกำลังใช้เวลาว่างในช่วงหลังเลิกเรียนของวันนี้ไปกับการจิบชาอย่างสง่างามในเวลานี้ โดยมีเมดคอยยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ นั้น ดูเหมือนจะไม่ได้มีกำหนดการอะไรเลยแม้แต่น้อย
ก็ สำหรับทางนี้แล้วถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พูดคุยด้วย แถมยังไม่เห็นเงาร่างของเนโร ยูลิอุส เอลโร้ด ซึ่งเป็นนักเรียนเชื้อพระวงศ์อีกคนหนึ่งอยู่ด้วย ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
ผมที่เพิ่งจะก่อเรื่องวุ่นวายไปเมื่อวานนี้ จะเอาหน้าไหนไปเผชิญหน้ากับเจ้าชายผู้กำลังโกรธเกรี้ยวคนนั้นได้กันเล่า ถ้าหากว่าเขาปรากฏตัวขึ้นในโรงอาหารล่ะก็ ผมก็ตั้งใจว่าจะรีบใช้ความสามารถในการลบกลิ่นอายระดับเดียวกับคุณซูแล้วเผ่นหนีไปในทันทีเลยล่ะ
เอาล่ะ ด้วยเหตุนี้ เพื่อที่จะได้เพลิดเพลินกับช่วงเวลาหลังเลิกเรียนอันแสนสนุกกับเพื่อนฝูง ก็เลย… เอาเป็นว่า เพื่อเป็นหนึ่งในหัวข้อสนทนา ผมจึงตัดสินใจลองหยิบยกเรื่องที่ตั้งใจจะถามมาตั้งนานแล้วขึ้นมาพูดดู
นั่นก็คือ อยากจะให้ช่วยเล่าเรื่องตำนานของจอมมารมิอา เอลโร้ดในอดีตกาลให้ฟังหน่อยนั่นเอง
“อะไรกันนะ! จะให้ข้าผู้นี้เล่าขานประวัติศาสตร์อันมืดมิดที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต ทว่ากลับสูงส่งและน่าเกรงขามราวกับเทพเจ้าเช่นนั้นรึ—”
“อา พอดีเห็นว่าวิลดูจะรอบรู้เรื่องต่างๆ มากมายเลยนี่นา ก็น่าจะรู้เรื่องละเอียดอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“ฟ่าห์ๆๆๆๆ! การที่เจ้ามาพึ่งพามันสมองสีเทาอันรอบรู้ทุกสรรพสิ่งของข้าผู้นี้น่ะ ช่างเป็นการตัดสินใจที่หลักแหลมยิ่งนักนะคุโรโนะเอ๋ย!
เอาล่ะ ในเมื่อเป็นคำขอของเจ้าผู้ซึ่งไม่ใช่ใครอื่น ข้า วิลฮาร์ท ทริสตัน สปาด้า ผู้นี้ จะเล่าขานให้ฟังอย่างละเอียดลออ ทั้งตำนานอันรุ่งโรจน์ที่ถูกแต่งแต้มด้วยเกียรติยศ และประวัติศาสตร์แห่งเงาที่จมดิ่งอยู่ในห้วงลึกอันยิ่งใหญ่ให้เอง!!”
วิลดูเหมือนจะหลงคารมคำเยินยอของผมไปเสียแล้ว แต่ผมรู้ดีอยู่แล้วว่าความรู้ของเขานั้นมากมายมหาศาลจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่นเลยนะ
จะว่าไปแล้ว แม้แต่ไซม่อนเองก็ยังเคยทึ่งกับความรอบรู้ของวิลเลยนี่นา
ไซม่อนนักเล่นแร่แปรธาตุนั้นเป็นอัจฉริยะสายวิทย์ ส่วนเจ้าชายวิลฮาร์ทก็เป็นอัจฉริยะสายศิลป์ อะไรทำนองนั้นกระมัง
เมื่อคิดเช่นนั้น แว่นตาขาเดียว [โมโนเคิล] ที่วิลสวมอยู่ที่ตาขวาก็ดูเหมือนจะส่องประกายแห่งความเฉลียวฉลาดขึ้นมาเลยทีเดียว
ก็ การประเมินของผมแบบนั้น ลิลี่กับฟิโอน่าคงจะไม่รู้เรื่องด้วยหรอกนะ ทั้งสองคนดูจะอึ้งๆ กับลีลาการพูดของวิลโดยสิ้นเชิงเลยล่ะ
ในวันแรกที่เข้าโรงเรียนซึ่งเป็นการพบกันครั้งแรกกับวิลนั้น ทั้งสองคนก็ส่งสายตาที่ผสมปนเปกันระหว่างความงุนงงกับความเย็นชามาให้เขาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นดูเหมือนว่าภาพลักษณ์ของเขาในใจของทั้งสองคนจะยังคงเป็น ‘เจ้าชายประหลาด’ ไม่เปลี่ยนแปลงเลยสินะ
จะว่าไปแล้ว เซเลีย เมดที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านหลังวิลโดยลบกลิ่นอายของตนเองนั้น ก็ยังคงส่งสายตาเย็นชามายังเจ้านายที่กำลังพูดจาอย่างอารมณ์ดีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
ก็ เธอเองก็คงจะลำบากใจอยู่หลายเรื่องเหมือนกันล่ะนะ เอาเป็นว่าไม่ต้องไปใส่ใจก็แล้วกัน
“เอาเป็นว่า ผมเพิ่งจะมา ‘ทางนี้’ ได้ไม่นานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นถ้าช่วยสอนตั้งแต่เรื่องพื้นฐานให้ก็จะดีมากเลย”
“อืม แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเช่นนั้น ก่อนอื่นก็คงจะต้องเริ่มจากภาพรวมการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์กันก่อนสินะ
มันคือจุดเริ่มต้นแห่งโชคชะตาทั้งปวงที่เหล่าทวยเทพสีดำเป็นผู้ถักทอ ทัศนียภาพแรกเริ่ม โลกนั้นเคยเต็มเปี่ยมไปด้วยแสงสว่าง—”
เอ๊ะ จะเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนสร้างโลกเลยเรอะ
ถึงแม้จะเริ่มต้นด้วยบทนำที่ยิ่งใหญ่อลังการจนจินตนาการตามแทบไม่ถูก แต่สมกับที่เป็นวิลจริงๆ ส่วนที่เป็นประเด็นสำคัญนั้นเขาก็ยังคงจับใจความไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
เมื่อทำความเข้าใจตามนั้นแล้ว การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ที่เล่าขานกันในต่างโลกนี้ หรือก็คือทวีปแพนโดร่าแห่งนี้ ก็พอจะเข้าใจได้แล้ว
นั่นก็คือ ยุคเทพเจ้า, ยุคโบราณ, ยุคมืด, และยุคปัจจุบันที่เชื่อมต่อมาถึงตอนนี้ รวมเป็นสี่ยุคสมัยด้วยกัน
อย่างแรกเลยคือ ‘ยุคเทพเจ้า’ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโลก
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นยุคสมัยที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเหล่าทวยเทพที่สร้างโลกนี้ขึ้นมา และได้อาศัยอยู่จริงๆ เนื้อหานั้นตรงตามที่ควรจะเรียกว่าเป็นตำนานเทพปกรณัมไม่มีผิด
แน่นอนว่า เรื่องราวเกี่ยวกับยุคสมัยนี้ยังไม่มีอะไรถูกเปิดเผยออกมาเลยแม้แต่น้อย
การมีอยู่ของยุคเทพเจ้านั้น ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่สามารถคาดเดาได้จากเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่หลงเหลืออยู่ในยุคโบราณซึ่งเป็นยุคถัดมา
ถ้าจะให้พูดอีกอย่างก็คือ มันคงจะอยู่ในตำแหน่งเดียวกับยุคโบราณในโลกปัจจุบันกระมัง หรือก็คือ ในยุคโบราณนั้น ซากโบราณสถานและเวทมนตร์ของยุคเทพเจ้าได้หลงเหลืออยู่ในฐานะตำนานนั่นเอง
ต่อไปคือ ‘ยุคโบราณ’
นี่คือยุคสมัยที่ ‘ทวยเทพสีดำ’ แห่งแพนโดร่า ซึ่งรวมถึงจอมมารมิอา เอลโร้ด และเหล่าผู้ที่มอบพรพิทักษ์ให้แก่พวกเราที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ได้เคยอาศัยอยู่จริงๆ ในโลกนี้
แต่ทว่า ดูเหมือนว่ายุคสมัยนี้เองจะเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องของแพนโดร่า
ถ้าจะให้พูดอีกอย่างก็คือ ยุคของเทพเจ้าสิ้นสุดลง และยุคของมนุษย์ก็ได้เริ่มต้นขึ้น หรือก็คือ ถ้าเทียบกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นแล้วล่ะก็ คงจะเริ่มตั้งแต่ยุคโจมงเป็นต้นมา ผ่านพ้นสงครามนับไม่ถ้วน ความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม การพัฒนาทางเทคโนโลยี จนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่สามารถสร้างอารยธรรมเวทมนตร์ที่ยิ่งใหญ่กว่าแพนโดร่าในปัจจุบันหรือแม้แต่ญี่ปุ่นยุคใหม่ได้เสียอีก ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในยุคโบราณทั้งสิ้น
จะว่าไปแล้ว มิอาจังก็เกิดในช่วงต้นของยุคโบราณที่อารยธรรมเวทมนตร์กำลังพัฒนาเฟื่องฟูนั่นเอง
และแล้วจักรวรรดิเอลโร้ดผู้ซึ่งรวมทวีปแพนโดร่าเป็นหนึ่งเดียวก็ได้ถือกำเนิดขึ้น หลังจากนั้น ไม่ทราบแน่ชัดว่าจักรวรรดิคงอยู่ยาวนานเท่าใด แต่เมื่อจักรวรรดิล่มสลายลง ‘ยุคโบราณ’ ก็ได้มาถึงจุดจบอย่างสมบูรณ์
ยุคถัดมาคือ ‘ยุคมืด’ ตามชื่อของมันเลย มันเป็นยุคสมัยแห่งความว่างเปล่าที่ไม่ทราบแน่ชัดเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
สิ่งเดียวที่ทราบแน่ชัดก็คือ อารยธรรมเวทมนตร์ที่เคยเจริญรุ่งเรืองนั้นได้สูญหายไปโดยสิ้นเชิงเมื่อผ่านพ้นยุคสมัยนี้ไป
ยุคมืดนี้ก็เช่นกัน ไม่ทราบแน่ชัดว่ามันกินเวลานานเท่าใด แต่ถึงกระนั้น ตราบใดที่มนุษย์ยังมีชีวิตอยู่ ประเทศต่างๆ ก็ย่อมถือกำเนิดขึ้น และอารยธรรมก็ย่อมพัฒนาต่อไปกระมัง
แล้วยุคสมัยก็เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ ‘ยุคปัจจุบัน’ ที่เชื่อมต่อมาถึงตอนนี้
ยุคปัจจุบันนี้ ถ้าจะพูดแบบนั้นมันก็ดูจะขัดๆ อยู่บ้าง แต่เอาเป็นว่า จุดเริ่มต้นของยุคสมัยนี้คือการถือกำเนิดขึ้นของประเทศต่างๆ ที่สามารถหลุดพ้นจากยุคมืด และเริ่มพัฒนาจนสามารถหลงเหลือร่องรอยทางอารยธรรมเอาไว้ได้
ประเทศเหล่านั้น ในช่วงเวลาราวหนึ่งพันปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ก็ได้ผ่านพ้นวัฏจักรของสงคราม ความเสื่อมโทรม และการฟื้นฟูซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนกับในอดีต
หลายประเทศได้ล่มสลายไป แต่ในจำนวนนั้น ก็มีบางประเทศที่ยังคงหลงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบันเช่นกัน
หนึ่งในนั้นก็คือสปาด้า และประเทศเพื่อนบ้านอย่างอวาลอนก็เช่นกัน
แม้แต่ในประวัติศาสตร์ยุคปัจจุบันนี้ ก็ยังมีบุคคลในตำนานบางส่วนที่สามารถเข้าร่วมเป็นหนึ่งใน ‘ทวยเทพสีดำ’ ได้อยู่บ้างเล็กน้อย
หนึ่งในนั้น ก็คือปฐมกษัตริย์ผู้ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งประเทศสปาด้านั่นเอง ว่ากันอย่างนั้นนะ
“—อ๊ะโอ๋ อย่ามัวแต่เล่าเรื่องประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ของสปาด้าฝ่ายเดียวเลยจะดีกว่าสินะ กลับไปที่เรื่องตำนานจอมมารกันต่อดีกว่ากระมัง”
และแล้ว ในที่สุดก็มาถึงเรื่องราวเกี่ยวกับจอมมารมิอา เอลโร้ดเสียที
“การที่อารยธรรมเวทมนตร์ในยุคโบราณนั้นเจริญรุ่งเรืองอย่างสูงส่ง แค่มองดูดันเจี้ยนประเภทซากโบราณสถานที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันนี้ก็พอจะเข้าใจได้แล้ว แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ ดูเหมือนว่าจะมีหลายส่วนที่ไม่ได้แตกต่างจากในปัจจุบันเท่าไหร่นักด้วยนะ”
“หมายความว่ายังไงเหรอ?”
“ยกตัวอย่างเช่น อืม นั่นสินะ คุโรโนะเอ๋ย จอมมารมิอา เอลโร้ดในวัยเยาว์นั้นเคยประกอบอาชีพอย่างหนึ่งอยู่ด้วย เจ้าพอจะทายได้ไหมว่าคืออะไร?”
โดนถามกลับมาในจุดที่ไม่คาดคิดเลยแฮะ
แต่ว่า มิอาจังในวัยเยาว์งั้นเหรอ ก็ตอนนี้ก็ยังดูเด็กอยู่มากเลยนี่นา… เอ๊ะ อะไรกันแน่นะ?
“นักเวทมนตร์ดำ?”
“แน่นอนว่า ดูเหมือนจะสามารถใช้มนตร์ดำได้ตั้งแต่ยังเยาว์วัยก็จริง แต่ก็ไม่ได้ประกอบอาชีพนั้นเหมือนกับนักผจญภัยเสียหน่อยนะ”
ใช้มนตร์ดำได้ด้วยงั้นเหรอ มิอาจัง เด็กที่น่ากลัวจริงๆ! ไม่สิ ในเมื่อเป็นจอมมารในภายหลังแล้ว การที่จะทำได้ขนาดนั้นมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วกระมัง
“ถ้าไม่ใช่นักเวทมนตร์ดำแล้วล่ะก็ นึกไม่ออกแล้วแฮะ อะไรกันล่ะ?”
“คนเลี้ยงแกะน่ะสิ”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ภาพของมิอาจังที่สวมใส่เสื้อผ้าขนแกะปุกปุย ร้องเม๊ๆๆๆๆ แล้วก็กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในทุ่งเลี้ยงแกะก็ผุดขึ้นมาในหัว
ไม่สิ ผิดแล้วล่ะ ไม่ใช่มิอาจังที่เป็นแกะเสียหน่อย แต่เป็นมิอาจังที่เลี้ยงแกะต่างหาก
คราวนี้เป็นภาพที่โดนฝูงแกะรุมทับจนปุยฟูแล้วก็ตาลาย…
“เอ่อ ดูเหมือนจะเคยทำงานที่ดูจะสงบสุขแบบบ้านๆ น่าดูเลยนะ”
“อืม แต่ทว่า ตำนานของจอมมารมิอา เอลโร้ดนั้น มันเริ่มต้นขึ้นจากทุ่งเลี้ยงแกะเล็กๆ ที่เคยตั้งอยู่ในเทือกเขาแอสเบลนั่นเอง”
ถ้าจะว่าไปแล้ว มันก็ดูเหมือนกับการไต่เต้าขึ้นมาของตัวเอกเกม RPG ที่เริ่มต้นจากบ้านเกิดในชนบทเล็กๆ เลยแฮะ
ไม่สิ แต่ในเมื่อก็มีตัวอย่างจริงของโทโยโทมิ ฮิเดโยชิที่ไต่เต้าจากชาวนาจนกลายเป็นผู้ครองแผ่นดินได้อยู่แล้วนี่นา นั่นก็หมายความว่าไม่ว่าจะเริ่มต้นจากชนชั้นไหน มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิงนั่นเอง
“ที่มักจะเข้าใจผิดกันก็คือ จักรวรรดิเอลโร้ดนั้นเป็นประเทศที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่สมัยที่มิอา เอลโร้ดยังคงเป็นเพียงแค่คนเลี้ยงแกะธรรมดาๆ คนหนึ่งแล้วต่างหากล่ะ”
“เอ๊ะ ถ้างั้นมิอาจัง—เอ๊ย มิอาเองไม่ได้เป็นคนก่อตั้งประเทศขึ้นมาเองหรอกเรอะ?”
อันตราย เกือบจะหลุดปากเรียกจังออกมาแล้วสิ เพราะช่วงนี้มันติดปากผมไปเสียแล้วจริงๆ
เผลอๆ อาจจะหลุดปากพูดออกไปต่อหน้าเจ้าตัวเข้าสักวันก็ได้ ต้องระวังหน่อยแล้วล่ะ
“อืม มิอาผู้เป็นคนเลี้ยงแกะนั้น โดยปกติแล้วก็คงจะจบชีวิตลงในฐานะชาวบ้านคนหนึ่งไปตามปกติธรรมดานั่นแหละ แต่ในจักรวรรดิเอลโร้ดสมัยนั้น การต่อสู้แย่งชิงราชสมบัติมันกำลังดุเดือดอย่างหนักเลยทีเดียว”
“แล้วมันไปเกี่ยวข้องอะไรกับคนเลี้ยงแกะธรรมดาๆ คนหนึ่งด้วยล่ะ?”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นลูกนอกสมรสของจักรพรรดิเอลโร้ดน่ะสิ”
อู้ววว แล้วก็เลยถูกดึงเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวบนเวทีประวัติศาสตร์สินะ
“อันที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะมีเจตนาหรือความเป็นมาอย่างไรกันแน่ เนื่องจากเป็นเรื่องราวก่อนที่จะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิเอลโร้ด จึงไม่มีเอกสารโดยละเอียดหลงเหลืออยู่เลยทำให้ไม่ทราบแน่ชัด
แต่ว่า มิอาที่ถูกผลักดันออกมานั้น ได้เข้าเรียนในสถาบันอัศวิน ใช่แล้วล่ะ คงจะคล้ายๆ กับหลักสูตรผู้บริหารของโรงเรียนเทพสปาด้าหลวงแห่งนี้แหละนะ การที่ได้เข้าเรียนในโรงเรียนแบบนั้นมันก็ไม่ผิดแน่
บางที อาจจะเป็นเพราะต้องการจะปั้นมิอาให้เป็นนายพลเชื้อพระวงศ์ที่สะดวกต่อการใช้งาน สามารถส่งไปแนวหน้าในสนามรบได้โดยไม่ต้องเสียดายกระมัง
ปัญหาเรื่องการสืบทอดราชสมบัติก็ส่วนหนึ่ง แต่ในสมัยนั้นมันยิ่งกว่านั้นเสียอีก เพราะเป็นยุคสงครามที่การทะเลาะเบาะแว้งกับประเทศอื่นไม่มีที่สิ้นสุด เป็นยุคที่แคว้นต่างๆ รบพุ่งกันเองอยู่ตลอดเวลานี่นา”
เรื่องยุคสงครามแบบนี้น่ะ ถึงจะเป็นผมก็ยังเคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน
ก็เพราะว่าเป็นยุคสมัยที่สงครามสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาแบบนี้แหละ ถึงได้มีช่องว่างให้จอมมารถือกำเนิดขึ้นมาได้สินะ
“แต่ทว่า การที่ได้เข้าเรียนในสถาบันแห่งนี้ทำให้มิอาเริ่มฉายแววออกมา และยังได้พบกับเหล่าอัศวินในตำนานผู้ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นกำลังหลักของกองทัพจักรวรรดิเอลโร้ดอีกด้วย ช่างเป็นโชคชะตาจริงๆ นะ!”
โอ้ อะไรกัน มิอาจังเองก็เคยพยายามอย่างหนักตอนสมัยเรียนเหมือนกันสินะ
แต่ว่า ภาพของมิอาจังในวัยเรียนมันดันผุดขึ้นมาทั้งชุดกักคุรันทั้งชุดเซเลอร์เลยแฮะ ในหัวมันสับสนไปหมดแล้ว
“ใช่ๆ แล้ว อัศวินคนแรกและแข็งแกร่งที่สุดผู้รับใช้จอมมารมิอาผู้โด่งดังนั้น ‘อัศวินทมิฬฟรีเซีย’ ก็ได้พบกันในช่วงสมัยเรียนนี้นี่แหละ ว่ากันว่าจุดเริ่มต้นคือการที่ถูกลากเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์วุ่นวายเกี่ยวกับเจ้าปุยขาวที่กำลังอาละวาดอยู่ในเมืองในวันปฐมนิเทศเลยนะ จากเอกสารที่ขุดค้นพบซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นบันทึกความทรงจำน่ะนะ”
มีหลายจุดที่น่าตกใจอยู่ก็จริง แต่สิ่งที่น่าตกใจที่สุดก็คือการที่เจ้าปุยขาวมันมีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ยุคโบราณเลยนี่สิ
ถึงจะไม่ได้แปลกประหลาดอะไรนักที่จะมีอยู่ก็เถอะ แต่ไม่นึกเลยว่าจะมาเกี่ยวข้องกับตำนานจอมมารในรูปแบบนี้…
“นอกจากนั้นแล้ว ยังได้พบกับสมาชิกคนสำคัญๆ ที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นทวยเทพสีดำแห่งแพนโดร่าอีกด้วยนะ ทั้ง ‘อัศวินอัสนีสีคราม อัลเทน่า’ ทั้ง ‘นักดาบยมโลก โยมิ’ น่ะ”
อัลเทน่า งั้นเหรอ ‘โล่วงแหวนเทพธิดาสงครามอัลเทน่าการ์ดริง’ [เซ็นเมงามิโนะเอ็นคันจุน อัลเทน่าการ์ดริง] นั่นสินะ ไม่นึกเลยว่าจะมาได้ยินชื่อในที่แบบนี้ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เป็นเทพเจ้าที่โด่งดังจนได้ยินชื่อบ่อยๆ อย่างนั้นสินะ
ชื่อของโยมิไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่จากชื่อแล้วก็น่าจะมอบพรพิทักษ์ให้กับนักดาบกระมัง
ชื่อมันฟังดูจะออกแนวญี่ปุ่นอยู่หน่อยๆ หรือว่าบางทีอาจจะจำกัดอยู่แค่ดาบคาตานะก็ได้นะ
“แล้วทั้งสามคนก็ยังกลายเป็นมเหสีของจอมมารอีกด้วย ช่างเป็นชีวิตนักเรียนที่เข้มข้นจริงๆ นะ”
“แต่งงานด้วยงั้นเรอะ!?”
“อืม ส่วนอีกสี่คนที่เหลือดูเหมือนจะไปพบกันหลังจากที่สงครามมันเริ่มขึ้นอย่างเต็มตัวแล้วน่ะนะ”
“อีกสี่คนงั้นเรอะ แสดงว่ามีทั้งหมดเจ็ดคนเลยงั้นเรอะ!”
“เรื่องราวของมเหสีของจอมมาร เทพธิดาสงครามทั้งเจ็ดน่ะมันโด่งดังมากเลยนะ ที่ผนังตรงนั้นก็มีภาพวาดที่เป็นหัวข้อเกี่ยวกับพวกเธอแขวนอยู่ไม่ใช่รึไง”
ปลายทางที่วิลชี้มือไปอย่างมั่นอกมั่นใจจนแทบจะได้ยินเสียงประกอบว่า “บิชิ!” นั้น มีภาพวาดขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า ‘เทพธิดาสงครามทั้งเจ็ด’ แขวนประดับอยู่จริงๆ ด้วย
เมื่อวานตอนที่เห็นก็คิดว่าเป็นแค่ศิลปวัตถุธรรมดาๆ เท่านั้นเอง แต่พอมาคิดว่าเหล่าสาวงามที่ถูกวาดอยู่ในนั้นเป็นภรรยาของมิอาจังแล้ว มันก็มีความรู้สึกซับซ้อนแปลกๆ ผุดขึ้นมาในใจเลยแฮะ
แล้วมิอาจังตอนที่เข้าพิธีแต่งงานกับพวกเธอน่ะ จะใส่ชุดทักซิโด้สีขาว หรือว่าเป็นชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์กันแน่นะ… ไม่สิ เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าคู่กรณีเป็นผู้หญิงแล้วล่ะก็ คำตอบมันก็ต้องมีอยู่แล้วไม่ใช่รึไง
“มเหสี งั้นก็แสดงว่ามิอาเป็นผู้ชาย… สินะ?”
“หืม การที่มาสงสัยเรื่องเพศของจอมมารเนี่ย ดูเหมือนจะเคยได้ยินแต่ทฤษฎีที่มันไม่ค่อยจะแพร่หลายเท่าไหร่มาสินะ”
เอ๊ะ ทฤษฎีที่ไม่ค่อยจะแพร่หลายงั้นเหรอ มันหมายความว่ายังไงกันนะ
“ขึ้นอยู่กับเอกสารอ้างอิง จอมมารมิอา เอลโร้ดนั้นถูกบันทึกไว้ด้วยรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันอย่างมากเลยทีเดียวล่ะนะ
บ้างก็ว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามหาที่เปรียบมิได้ บ้างก็ว่าเป็นร่างในชุดเกราะขนาดมหึมา หรือบางทีก็ว่าดูเหมือนเด็กเล็กๆ หรือไม่ก็มีรูปร่างเป็นเด็กสาวที่น่ารักก็มีเหมือนกัน”
“เห…เหรอ อย่างนั้นเองเหรอ…”
ไม่ได้การแล้ว นี่มันยิ่งทำให้ความสับสนเรื่องเพศของมิอาจังมันหนักข้อขึ้นไปอีกเลยนี่หว่า
ไม่น่าไปถามเลยจริงๆ ให้ตายสิ…
“ก็ ถ้าเป็นเชื้อพระวงศ์อวาลอนในปัจจุบันซึ่งเป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงแล้วล่ะก็ บางทีอาจจะล่วงรู้ถึงรูปลักษณ์ที่แท้จริงของจอมมารก็ได้นะ แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ดูเหมือนจะเป็นความลับที่แม้แต่ข้าผู้นี้ก็ยังไม่สามารถไขปริศนาได้อยู่ดีนั่นแหละนะ”
เอาเป็นว่า ดูจากบรรยากาศแล้วคงจะไปถามเจ้าชายเนโรไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้ามีโอกาสได้คุยกับคุณเนลในอนาคตอีกครั้งค่อยลองถามดูแล้วกันนะ
หวังว่าคราวนี้ปริศนาจะคลี่คลายลงเสียทีเถอะ
“อืม ว่าแต่คุโรโนะเอ๋ย ถ้าพูดถึงเชื้อพระวงศ์อวาลอนแล้ว เมื่อวันก่อน ดูเหมือนจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นที่โรงอาหารแห่งนี้อยู่ไม่ใช่รึ—”
“อ๊ะ”
แล้วผมก็ตัวแข็งทื่อไปเลย
“คุโรโนะ?”
“คุณคุโรโนะ?”
จนถึงเมื่อครู่นี้ ลิลี่กับฟิโอน่าที่มัวแต่สนใจรสชาติของชาที่เมดเซเลียชงให้มากกว่าเรื่องที่วิลเล่าเสียอีก แต่ทันทีที่เรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อวานนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูด ดวงตาทั้งสองคู่ก็ฉายแววแห่งความโกรธแค้นอันเงียบสงบ ทว่ากลับน่าสะพรึงกลัวจับจ้องมาที่ผมในทันที
แน่นอนว่า ทั้งสองคนไม่ได้โกรธผมหรอกนะ นี่มันเป็นแบบนั้นไงล่ะ การสบตาสื่อความหมายเพื่อรอ ‘คำสั่งให้โจมตี’ จากผมผู้เป็นหัวหน้า ในระหว่างการต่อสู้ในเควสต์น่ะ
การที่ฟิโอน่าผู้ซึ่งยังคงนั่งจิบชาด้วยท่าทีสง่างามส่งสายตาแบบนั้นมาให้มันก็น่ากลัวอยู่แล้วก็จริง แต่การที่ลิลี่ซึ่งเมื่อครู่ยังคงสนุกสนานกับการถูกเซเลียลูบหัวอยู่เลย กลับส่งสายตาเย็นชามาให้ทั้งที่ยังอยู่ในท่าเดิมนั้นมันยิ่งน่ากลัวกว่าเสียอีก
“ไม่ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริงๆ นะ เรื่องเมื่อวานน่ะไม่ได้ใส่ใจแล้วล่ะน่า”
“มู่วว—”
“อย่างนั้นเหรอคะ”
เอาเป็นว่า ถึงแม้จะดูเหมือนไม่ค่อยเต็มใจอยู่บ้าง แต่ก็ช่วยสงบสติอารมณ์ลงได้อย่างรวดเร็ว ช่วยได้มากเลยจริงๆ
“…นะ…อะไรกัน หรือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะไปถามเข้าซะแล้วงั้นเหรอ?”
หรืออาจจะเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากลกระมัง วิลเอ่ยถามด้วยท่าทีที่ดูจะถอยห่างไปเล็กน้อย
“ไม่หรอกน่า วิลน่ะอยากจะให้ช่วยฟังหน่อย”
เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ดูเหมือนจะเชื่อคำให้การของผม
“อืม อย่างนั้นรึ ถ้าเช่นนั้นก็จงตั้งใจฟังให้ดีเถิด!”
แล้วห้านาทีต่อมา วิลก็พูดว่า “ต้องขอโทษด้วยที่น้องสาวของข้าสร้างความเดือดร้อนให้” ออกมา
Translater : Eidolon
www.nekopost.net/editor/78229
novel.dek-d.com/EidolonPlus/profile/writer/
MANGA DISCUSSION