บทที่ 237: เอาล่ะ จะเริ่มชั้นเรียนแล้วนะครับ
พวกเราที่เพิ่งจะเข้าเรียนที่โรงเรียนเทพสปาด้าหลวงได้อย่างราบรื่นนั้น วันนี้เป็นวันแรกที่ชั้นเรียนของหลักสูตรนักผจญภัยจะเริ่มต้นขึ้น
เนื้อหาการเรียนการสอนนั้นมีหลากหลาย ตั้งแต่วิชาความรู้ทั่วไป เวทมนตร์ เพลงดาบ ไปจนถึงวิชาสายเทคนิคอื่นๆ แต่สิ่งที่ผมต้องการ กับชั้นเรียนที่สามารถเข้าเรียนได้ตามระดับความคืบหน้านั้น มันก็มีจำกัดอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
เอาเป็นว่า ผมตัดสินใจลองเข้าเรียนวิชาเกี่ยวกับเวทมนตร์รูปแบบปัจจุบัน [โมเดล] สำหรับนักเวทฝึกหัดดูก่อน
สำหรับลิลี่กับฟิโอน่าแล้ว การที่จะต้องมาเรียนทฤษฎีเวทมนตร์รูปแบบปัจจุบัน [โมเดล] ขั้นพื้นฐานอะไรทำนองนั้นอีกครั้งมันก็ไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงได้ตามมาด้วย
“ถึงจะเป็นต่างโลก แต่ห้องเรียนมันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันเท่าไหร่เลยแฮะ”
“ของเอลิเซียนสวยกว่านี้นะคะ”
“ลิลี่เพิ่งเคยมาครั้งแรก เลยไม่รู้เรื่องเลยยย”
แต่ละคนต่างก็แสดงความคิดเห็นออกมาพลางก้าวเข้าไปในห้องเรียนที่จะมีการเรียนการสอนตามที่ตั้งใจไว้
ถึงแม้จะแตกต่างจากอาคารเรียนที่สร้างด้วยคอนกรีตในยุคปัจจุบันตรงที่ทั้งหมดทำจากไม้ แต่บรรยากาศของห้องเรียนที่มีโต๊ะกับเก้าอี้ตั้งเรียงรายอยู่นั้นก็เหมือนกัน
การที่มีกระดานดำติดตั้งไว้อย่างดีนั้น ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเองตามธรรมชาติในต่างโลกนี้ หรือว่าเป็นสิ่งที่เคานต์เรดวิงเป็นผู้เผยแพร่กันแน่ ไม่ว่าจะอย่างไหนก็ตาม มันก็เข้าใจง่ายดี
เมื่อเทียบกับโรงเรียนมัธยมปลายแล้ว ความกว้างของห้องอาจจะดูแคบไปบ้างเล็กน้อย แต่เมื่อพิจารณาจากอัตราการเข้าเรียนที่แม้จะใกล้เวลาเริ่มเรียนแล้วก็ยังมีนักเรียนนั่งอยู่บนเก้าอี้เพียงแค่เกินครึ่งมานิดหน่อยเท่านั้น หลักสูตรนักผจญภัยก็คงจะมีความกว้างขนาดนี้ก็เพียงพอแล้วกระมัง
จะว่าไปแล้ว ที่นี่ไม่ใช่อาคารเรียนหลักที่ดูเหมือนพระราชวัง แต่เป็นหนึ่งในอาคารเรียนย่อยที่ถึงจะใหญ่แต่ก็สร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายเท่านั้น
แล้วก็ นักเรียนที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่แต่งกายด้วยชุดคลุมราวกับจะบอกว่าเป็นนักผจญภัยสายหลังเสียมากกว่า พวกผมสามคนที่สวมเครื่องแบบนักเรียนครบชุดจึงดูจะแปลกประหลาดกว่าเสียอีก
มีบางคนที่สวมฮู้ดคลุมจนมองไม่เห็นใบหน้าอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกหนุ่มสาวที่อายุพอๆ กับผมหรืออาจจะมากกว่าเล็กน้อย นักผจญภัยผู้ช่ำชองที่ตั้งใจจะมาเรียนแค่วิชาความรู้ทั่วไปคงจะไม่มาเข้าเรียนวิชาสำหรับผู้เริ่มต้นแบบนี้หรอก เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ที่นี่ก็น่าจะเป็นแค่นักผจญภัยหน้าใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นกระมัง
นักเรียนคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ นั้น ต่างก็ส่งสายตาอยากรู้อยากเห็นมาทางพวกผมอยู่เป็นระยะๆ จากระยะไกล
แต่ว่า นี่คงจะไม่ได้เป็นเพราะเครื่องแบบนักเรียนมันแปลกประหลาดอะไรหรอกนะ แต่เป็นเพราะรูปร่างหน้าตาของลิลี่ที่เป็นแฟรี่ในร่างเด็ก กับฟิโอน่าที่เป็นสาวสวยและดูเข้ากับเครื่องแบบนักเรียนอย่างโดดเด่นนั้นมันน่าสนใจมากกว่าสินะ
ส่วนผมนั้น รู้สึกเหมือนจะมีสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาจนแทบจะได้ยินเสียงพูดว่า “ไอ้หมอนี่มันมีดอกไม้สองดอกอยู่ข้างๆ เลยเรอะ” พุ่งตรงมาที่ผมอยู่ตลอดเวลาเลยแฮะ หวังว่าจะเป็นแค่ผมที่คิดมากไปเองก็แล้วกันนะ
ขณะที่กำลังอาบสายตาที่น่าอึดอัดเหล่านั้นอยู่ หลังจากที่นั่งลงบนเก้าอี้ได้ประมาณห้านาที เสียงออดบอกเวลาเริ่มเรียนก็ดังขึ้น
เมื่อครูผู้ชายเผ่าเอลฟ์ที่สวมเสื้อคลุมสีเทาเดินเข้ามาในห้อง
“เอาล่ะครับ สวัสดีตอนเช้าครับทุกคน คาบเรียนนี้คือ—”
อาจจะเป็นเพราะเป็นคาบแรก เขาก็เลยเริ่มอธิบายเนื้อหาการเรียนการสอนง่ายๆ ก่อน
“เวทมนตร์รูปแบบปัจจุบัน [โมเดล] งั้นเหรอ”
จนถึงตอนนี้ผมยังไม่สามารถใช้เวทมนตร์รูปแบบปัจจุบัน [โมเดล] ได้เลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าได้เรียนรู้ตั้งแต่ต้น บางทีผมที่ไม่มีพลังเวทมนตร์อื่นใดนอกจากพลังเวทมนตร์สีดำก็อาจจะสามารถใช้ได้ขึ้นมาก็ได้ และถึงจะไม่เป็นอย่างนั้น ผมก็ได้รับความสามารถในการแปรสภาพธาตุด้วยพรพิทักษ์มาแล้ว ถ้าได้เรียนรู้ความรู้พื้นฐานก็น่าจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการสร้างวงเวทได้บ้างกระมัง
อีกทั้ง จนถึงตอนนี้ผมก็มีเพียงแค่ทฤษฎีมนตร์ดำที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งสร้างขึ้นมาจากสัญชาตญาณและประสบการณ์ล้วนๆ เท่านั้น บางทีอาจจะมีการค้นพบใหม่ๆ ที่ทำให้ตาสว่างขึ้นมาก็ได้ ผมตั้งความหวังไว้สูงมากแล้วก็เข้าเรียน แต่ทว่า…
“ดังนั้น ก่อนอื่นเลย เกี่ยวกับเวทมนตร์พื้นฐาน السحر والسحر (อัส-ซิหร์ วะ อัส-ซิหร์) นะครับ อย่างที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่านี่คือการ توسيع السحر (เตาซีอุล ซิหร์) ด้วย لجراحية السحر (ลิล-ญิรอฮิยะติส ซิหร์) นะครับ ยกตัวอย่างเช่น هجوم السحر المبتدئين (ฮุจูม อัส-ซิหร์ อัล-มุบตะดิอีน) คือ—”
แย่ล่ะสิ ไม่เข้าใจเลยว่ากำลังพูดอะไรอยู่
มันไม่ใช่ปัญหาว่าทฤษฎีมันซับซ้อน หรือว่าคำศัพท์เฉพาะทางมันเป็นยังไง แต่ประเด็นสำคัญในคำอธิบายของครูมันดันได้ยินเป็นเสียงอ่านตามแบบฉบับของต่างโลกนี้ เหมือนกับตอนร่ายคาถาของนักเวทเลยนี่สิ
“เป็นอะไรไปเหรอคะคุณคุโรโนะ? ถ้ามีตรงไหนไม่เข้าใจฉันสอนให้ได้นะคะ”
“ลิลี่จะสอนให้เองงง”
ผมที่กำลังทำหน้าเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามกับการอธิบายที่ถอดรหัสไม่ได้นั้น ก็ได้รับการช่วยเหลืออย่างอ่อนโยนจากทั้งสองคน แต่ว่านี่มันคงจะไม่ใช่เรื่องที่จะมาสอนแล้วจะเข้าใจได้แล้วล่ะมั้ง
“ไม่ล่ะ พอแล้วล่ะ เข้าใจแล้วล่ะ”
ใช่แล้ว เข้าใจได้อย่างสมบูรณ์แบบเลย ว่ายังไงซะผมก็ไม่มีทางที่จะเรียนรู้เวทมนตร์รูปแบบปัจจุบัน [โมเดล] ได้อย่างแน่นอน
คาบเรียนต่อไป ผมตัดสินใจที่จะลองท้าทายวิชาเพลงดาบดู
อันนี้ก็เหมือนกัน เพราะเป็นคาบแรก ดูเหมือนว่าจะเริ่มจากการฝึกฝนเพลงดาบพื้นฐานที่สุดอย่างหนึ่งคือ ‘ผ่าเดียว’ [อิทเซ็น สแลช]
สำหรับผมที่มี ‘ขวานตัดอาลัย [สะบั้นคอ]’ อยู่แล้วนั้น ถึงแม้จะสามารถใช้เพลงดาบได้ถึงสี่อย่างคือ ‘[คลื่นอนธการ]’ ‘[คลื่นอนธการซ้อน]’ ‘[คลื่นโลหิตแดงชาด]’ และ ‘[คลื่นรัตติกาล]’ ก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ผลจากอาวุธเท่านั้น
ตัวผมเองยังไม่เคยเรียนรู้เพลงดาบอย่างเป็นทางการเลยแม้แต่เพลงเดียว เพราะฉะนั้นก็เลยคิดว่าจะถือโอกาสนี้เรียนรู้ดูสักหน่อย
ถ้าฝึกฝนพื้นฐานแล้ว บางที ‘[คลื่นอนธการ]’ ที่เคยใช้มาจนถึงตอนนี้ ก็อาจจะมีความเฉียบคมของท่าเพิ่มมากขึ้นก็ได้
แต่ว่า ถึงแม้จะเรียนจบหลักสูตรนี้ทั้งหมด ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถใช้เพลงดาบได้หลากหลายขึ้นมาเสียหน่อย ดูเหมือนว่าในการต่อสู้จริงก็คงจะใช้ได้แค่ท่า ‘ผ่าเดียว’ [อิทเซ็น สแลช] เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นก็คงจะคาดหวังอะไรมากเกินไปไม่ได้
ไม่สิ ตรงนี้ควรจะพูดว่าการที่จะสามารถเรียนรู้เพลงดาบได้สักเพลงหนึ่งจากเนื้อหาการเรียนการสอนประมาณสามเดือนนั้น ถือเป็นความเร็วในการเติบโตที่ปกติธรรมดาสำหรับการฝึกฝนอย่างถูกต้องแล้วกระมัง
จะว่าไปแล้ว ลิลี่กับฟิโอน่าไม่จำเป็นต้องใช้เพลงดาบ เพราะฉะนั้นก็เลยแยกกันไปทำอย่างอื่นแล้ว
ลิลี่ไปเรียนวิชาอัญเชิญ [ซัมมอน] ส่วนฟิโอน่าก็ดูเหมือนจะไปค้นคว้าหาหนังสือเกี่ยวกับเวทมนตร์อยู่ที่ห้องสมุด
เอาล่ะ ว่าแล้วก็มาถึงสนามกีฬาโคลอสเซียมทรงกลมที่โรงเรียนเทพภาคภูมิใจ—ที่อยู่ข้างๆ สนามกีฬานั่นแหละ
สนามกีฬาที่มีรูปลักษณ์ภายนอกใหญ่โตมโหฬารราวกับโดมเบสบอลนั้น ดูเหมือนว่าจะมีเพียงแค่หลักสูตรผู้บริหารกับหลักสูตรอัศวินเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานได้ สำหรับผมที่เป็นนักเรียนหลักสูตรนักผจญภัยแล้ว มันก็เป็นสถานที่ที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยนั่นเอง
“โอ้ คราวนี้ดูเหมือนจะเป็นพวกนักดาบจริงๆ แฮะ”
ที่มุมหนึ่งของสนามหญ้าที่กว้างกว่าโรงเรียนมัธยมปลายเกินสองเท่า มีกลุ่มคนที่ต่างก็ถือดาบคู่ใจของตนเองรวมตัวกันอยู่
มีบางคนที่สวมเครื่องแบบนักเรียนเหมือนกับผมอยู่บ้างประปราย แต่ส่วนใหญ่จะสวมใส่เกราะเบาอย่างเกราะหนังหรือเกราะโซ่
อันนี้ก็เป็นวิชาสำหรับผู้เริ่มต้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็มีแต่พวกเด็กหนุ่มสาวทั้งนั้น เกราะที่พวกเขาสวมใส่อยู่ก็ดูเหมือนจะยังใหม่เอี่ยมอยู่เลย
“โอ้ว มารวมกันแล้วสินะไอ้พวกเจี๊ยบทั้งหลาย คำอธิบายน่ารำคาญข้ามไปเลยแล้วกัน รีบๆ เริ่มเรียนกันได้แล้วโว้ย”
ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับคำพูดนั้นคือ ครูผู้ชายเผ่าออร์คซึ่งเป็นผู้สอนวิชานี้
ใบหน้าที่น่ากลัวตามแบบฉบับของออร์คจนสามารถเปรียบได้กับยักษ์นั้น ประกอบกับร่างกายที่ใหญ่โตกว่าผมรอบหนึ่ง ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ดูเหมือนนักรบมากกว่าที่จะเป็นครูเสียอีก
ก็ ในเมื่อสอนวิชาเพลงดาบนี่นา การที่จะเป็นระดับนักรบมันก็ไม่ผิดแน่อยู่แล้วล่ะ
“เอาเป็นว่า จะดูหน่อยแล้วกันว่าพวกแกน่ะมีฝีมือกันขนาดไหน ตีเข้ามาสุดกำลังเลยทีละคน”
ดูเหมือนว่าครูออร์คจะใช้ดาบไม้ขนาดเท่าดาบสองมือ [บัสเตอร์ซอร์ด] ที่นำมาด้วย เพื่อประเมินฝีมือของพวกเราก่อนสินะ
ผมยืนรอตาของตัวเองอย่างเงียบๆ พลางมองดูเหล่านักเรียนที่ส่งเสียงร้องว่า “เอ๊ย!” บ้าง “โท่ว!” บ้าง อย่างกระฉับกระเฉงแล้วเหวี่ยงดาบไม้
พวกเผ่าคนครึ่งสัตว์ ลิซาร์ดแมน หรือออร์คนั้น ถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้นปลดปล่อยเพลงดาบออกมาได้ แต่ก็ดูเหมือนจะมีพละกำลังที่เหนือกว่ามนุษย์มากอยู่ดี
ถ้าจะดูแค่คุณสมบัติในฐานะนักรบแล้วล่ะก็ สามารถตระหนักได้อีกครั้งเลยว่าเผ่าพันธุ์ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งนั้นย่อมได้เปรียบอยู่แล้ว
แต่ทว่า การที่จะมีวิธีพลิกสถานการณ์เรื่องพละกำลังได้ถมไปนั้นมันก็เป็นเรื่องที่น่าทึ่งของต่างโลกนี้เหมือนกัน
“เอาล่ะ คนต่อไป!”
ขณะที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่แบบนั้น ไม่นานก็ถึงตาของผมแล้ว
“หืม เจ้าคนนี้น่ะท่าทางดูเข้าทีไม่เลวเลยนี่นา”
ผมลองตั้งท่าดาบไม้ยาวๆ นั่นด้วยความรู้สึกเดียวกับตอนที่ใช้ขวานดู ก็โดนชมเข้าให้
“ขอบคุณครับ”
ผมที่เพิ่งจะเคยโดนชมเรื่องการจับดาบเป็นครั้งแรกก็รู้สึกดีใจขึ้นมาเล็กน้อย เพื่อที่จะตอบสนองความคาดหวังของครูออร์ค ผมก็เริ่มรวบรวมสมาธิเพื่อที่จะตีเข้าไปสุดกำลังกายสุดกำลังใจ
ถึงจะไม่มีขวานอยู่ แต่ความรู้สึกตอนที่จะปล่อยเพลงดาบนั้นผมก็พอจะจำได้อยู่ลางๆ
ถ้าโคจรพลังเวทมนตร์แล้วก็เคลื่อนไหวร่างกายตามแบบนั้นล่ะก็ ถึงจะไม่ถึงกับปลดปล่อยเพลงดาบออกมาได้ ก็น่าจะทำให้แนวดาบมันเฉียบคมขึ้นมาพอสมควรแน่ๆ
ถึงแม้จะอยู่ในสภาพผนึก แต่คมดาบมิธริลก็ยังฟันไอได้เลยนี่นา
“เอาล่ะ เข้ามา!”
“จะเข้าไปแล้วนะครับ—”
ผมก้าวเท้าออกไปสุดกำลัง ดาบของผมถูกเงื้อขึ้นแล้วก็จริง แต่ครูออร์คกลับยังคงตั้งท่าอยู่เฉยๆ ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
อะไรกัน หรือว่าจะมั่นใจขนาดที่ไม่ต้องขยับในจังหวะนี้ก็ยังป้องกันได้งั้นเหรอ ครูคนนี้ต้องเป็นผู้ใช้ดาบที่เก่งกาจมากแน่ๆ
“—[คลื่นอนธการ]!”
ผมตะโกนชื่อเพลงดาบที่คุ้นเคยออกมา แต่ว่า แค่ตะโกนอย่างเดียวมันก็ไม่น่าจะปลดปล่อยออกมาได้นี่นา—แต่ เอ๊ะ อะไรกัน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำให้กลายเป็นสีดำเลยแท้ๆ แต่ดาบไม้กลับถูกห่อหุ้มด้วยออร่าพลังเวทมนตร์สีดำตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้แล้วนี่หว่า
อีกทั้ง ความรู้สึกตอนที่เหวี่ยงดาบมันก็แทบจะไม่แตกต่างจากตอนที่กำขวานอยู่เลย พละกำลังและความเร็วที่มากกว่าแค่แรงแขนธรรมดาๆ ถูกปลดปล่อยออกมา
นี่มัน หรือว่า เพลงดาบ มันถูกปลดปล่อยออกมาแล้วงั้นเหรอ?
ถึงจะมีความสงสัยเช่นนั้นผุดขึ้นมา แต่ก็ไม่มีทางที่จะหยุดดาบที่เหวี่ยงออกไปแล้วได้ ผมปลดปล่อย [คลื่นอนธการ] ออกไปสุดกำลัง มุ่งไปยังครูออร์คที่ยังคงไม่ทันได้ตอบสนอง
แคร่ก!!
ทันทีที่การโจมตีของผมกระแทกเข้ากับร่างใหญ่โตของครูออร์คอย่างแรง ดาบไม้ก็คงจะทนอานุภาพไม่ไหว แตกละเอียดเป็นชิ้นๆ ตั้งแต่ครึ่งหนึ่งลงมา
“…อ๊ะ”
ครูไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาเลยแม้แต่คำเดียว ล้มลงไปกองกับพื้นอย่างแรง
ในตอนนั้นเอง ผมก็เข้าใจสามเรื่องขึ้นมาพร้อมกัน
อย่างแรก ดูเหมือนว่าผมจะสามารถใช้เพลงดาบได้โดยไม่ต้องพึ่งพาขวานแล้วสินะ
อย่างที่สอง ผมไม่จำเป็นต้องเรียนวิชานี้อีกต่อไปแล้วสินะ
และอย่างที่สาม คาบเรียนวันนี้คงจะต้องหยุดลงเพียงเท่านี้แล้วสินะ
ขอโทษนะครับครูออร์ค ผมจะรับผิดชอบแล้วก็พาไปห้องพยาบาลอย่างแน่นอนครับ
Translater : Eidolon
www.nekopost.net/editor/78229
novel.dek-d.com/EidolonPlus/profile/writer/
MANGA DISCUSSION