บทที่ 236: แนะนำห้องสมุดใหญ่
“อา น่ารำคาญชะมัด”
เนโร ยูลิอุส เอลโร้ด เจ้าชายลำดับที่หนึ่งแห่งอวาลอนและหัวหน้าปาร์ตี้แรงก์ 5 ‘วิงโร้ด’ เอ่ยคำพูดที่ฟังดูเกียจคร้านเช่นนั้นพลางเดินอยู่ในบริเวณโรงเรียน
จุดหมายปลายทางคือห้องสมุดที่โรงเรียนเทพสปาด้าหลวงภาคภูมิใจ ไม่สิ จะพูดว่าประเทศสปาด้าภาคภูมิใจเลยก็คงจะไม่ใช่เรื่องเกินจริง ห้องสมุดแห่งนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีจำนวนหนังสือที่นับได้ว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งของบรรดาประเทศต่างๆ
ถึงแม้จะถูกจัดว่าเป็นเพียงห้องสมุดของโรงเรียนแห่งหนึ่ง แต่ทุกคนต่างก็เรียกขานด้วยความเคารพว่าห้องสมุดใหญ่
“ให้ตายสิ ไอ้ซาฟีนั่น งานหาข้อมูลแค่นี้ทำคนเดียวก็ได้ไม่ใช่เรอะ…”
เหตุผลที่ทำให้เนโรต้องบ่นอุบอิบพลางเดินมายังห้องสมุดใหญ่อันเก่าแก่และมีเกียรติแห่งนี้อย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ก็เพราะถูกซาฟีร์ มายา ไฮดรา หนึ่งในสมาชิกปาร์ตี้ขอให้มาช่วยงานนั่นเอง
งานที่น่าเบื่อหน่ายแบบนี้มันเหมาะกับน้องสาวผู้เคร่งครัดของเขามากกว่า แต่เนลดันไปเข้าเรียนพร้อมกับชาร์ล็อตเสียแล้ว เวลานี้จึงไม่สามารถปลีกตัวมาได้
แน่นอนว่า ไคผู้ซึ่งในหัวมีแต่เรื่องการเหวี่ยงดาบนั้น ไม่นับเป็นกำลังรบในเรื่องนี้อยู่แล้ว
ผลก็คือ คนที่พอจะพึ่งพาได้ก็เหลือแต่เนโรผู้ซึ่งถ้าไม่นับนิสัยขี้รำคาญแล้วก็ถือว่ามีสมองที่เฉียบแหลม การที่งานนี้จะตกมาถึงเขาก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะแน่นอนอยู่แล้ว
“อะไรกันเล่า ‘ยังไงซะนายก็ว่างอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ’ งั้นเรอะ ทางนี้ก็กำลังเพลิดเพลินกับเวลาอิสระของตัวเองอยู่เหมือนกันนะเฟ้ย”
คนทั่วไปเขาเรียกอาการแบบนั้นว่าว่างต่างหาก แต่ดูเหมือนว่าเนโรจะยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจเรื่องนั้นได้
อย่างไรก็ตาม เนโรผู้ซึ่งถึงแม้จะบ่นอุบอิบแต่ก็ยังคงมุ่งหน้าไปช่วยงานซาฟีนั้น บางทีในส่วนลึกของหัวใจเขาก็คงจะรู้สึกเบื่อหน่ายจนทนไม่ไหวอยู่เหมือนกันกระมัง
ถึงแม้จะปรารถนาชีวิตประจำวันที่สงบสุข แต่ความรู้สึกขัดแย้งในใจที่รังเกียจความเบื่อหน่ายนั้น ก็คอยมารบกวนจิตใจของเขาเป็นครั้งคราวในฐานะปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่นึกขึ้นมาได้เป็นพักๆ
แต่ว่า ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในอารมณ์ซาบซึ้งอะไรทำนองนั้นเท่าไหร่
“ฮ่า งานขุดหาหนังสือที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนจากไอ้ที่ใหญ่โตมโหฬารนี่งั้นเรอะ”
น่าหดหู่ชะมัด เนโรพึมพำเช่นนั้นพลางเหม่อมองห้องสมุดใหญ่มหึมาที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
รูปลักษณ์ภายนอกของห้องสมุดใหญ่ที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมของสปาด้านั้น ดูราวกับเป็นวิหารเทพเจ้าไม่มีผิด
เมื่อเดินผ่านทางเดินที่มีเสากลมสีขาวบริสุทธิ์แบบเอนตาซิสตั้งเรียงรายอยู่ ก็มาถึงประตูหน้าซึ่งเป็นบานประตูขนาดใหญ่เปิดออกสองข้าง ก็ในตอนนั้นเอง
“หืม เด็กคนนั้นมัน…”
ดวงตาสีแดงทั้งสองข้างของเนโรจับจ้องไปยังเงาร่างของใครบางคนที่ดูคุ้นตา
จากทิศทางตรงกันข้ามกับตนเอง เด็กสาวคนหนึ่งกำลังเดินตรงมายังประตูหน้านี้
รูปร่างที่สวมใส่เครื่องแบบนักเรียนหญิงนั้นเป็นภาพที่เห็นได้ทั่วไปในโรงเรียนเทพแห่งนี้ แต่ผมสั้นสีฟ้าอ่อนซีดๆ ที่ปลิวไสวไปตามลม กับดวงตาสีทองทั้งสองข้างที่ส่องประกายราวกับดวงอาทิตย์ที่ยังคงเจิดจ้าอยู่บนฟากฟ้านั้น กลับแฝงไว้ด้วยเสน่ห์อันลึกลับน่าค้นหา
เด็กสาวผู้ซึ่งมีใบหน้างดงามหมดจดราวกับตุ๊กตานั้น เนโรจำได้อย่างชัดเจนว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“โย่เธอ เป็นนักเรียนที่นี่เหมือนกันสินะ”
เนโรเอ่ยทักเด็กสาวที่กำลังจะเดินผ่านข้างๆ เขาไปแล้วเอื้อมมือไปจับประตู
“…ใครคะ?”
คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเด็กสาวคือคำถามว่าใคร แต่เนโรที่หันไปมองใบหน้าของเธอตรงๆ อีกครั้ง ก็มั่นใจแล้วว่าไม่ได้จำคนผิดอย่างแน่นอน
เมื่อประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อน เด็กสาวคนนี้คือคนที่ถูกไอ้หนุ่มนักเรียนเตรียมเข้าเป็นผู้บริหารสองคนจีบอยู่ที่หน้าลานกว้าง และเขาก็ได้เข้าไปช่วยไว้ในจังหวะที่คับขันพอดี
“จะว่าไปแล้ว ตอนนั้นก็ไม่ได้บอกชื่อสินะ นึกว่ารู้จักกันแล้วเสียอีก—”
การที่จะมีคนในสปาด้าไม่รู้จักชื่อของเขามันก็น่าประหลาดใจอยู่หรอกนะ แต่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ การที่อุตส่าห์เข้าไปช่วยในจังหวะที่คับขันพอดีแล้วยังจำหน้ากันไม่ได้อีกเนี่ยสิ
เนโรเคยช่วยผู้หญิงที่ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันแบบนั้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่หลังจากนั้นก็มีแต่ความทรงจำที่ถูกตามตื๊ออย่างหนักจนน่ารำคาญเท่านั้น
ถึงขนาดที่ว่ายังไม่ได้บอกชื่อเลยแท้ๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์สืบหาตัวตนจนบุกมาถึงปราสาทหลวงอวาลอนก็เคยมีมาแล้ว
“หรือว่า จะจำไม่ได้จริงๆ งั้นเหรอ?”
“ค่ะ”
แววตาของเด็กสาวที่พูดอย่างหนักแน่นเช่นนั้น ไม่ได้แสดงความดีใจที่ถูกผู้ชายหน้าตาดีเข้ามาทักทาย แต่กลับให้บรรยากาศเหมือนกำลังระแวดระวังคนแปลกหน้าที่เข้ามาตีสนิทเสียมากกว่า
ถ้าทำอะไรไม่เข้าท่าไป อาจจะโดนไม้เท้าสั้น [วอนด์] ของเธอฟาดเอาเหมือนกับไอ้พวกขุนนางนักจีบพวกนั้นก็ได้นะ เนโรคิดเช่นนั้นแล้วจึงเลือกใช้คำพูดอย่างระมัดระวังมากขึ้นเล็กน้อย
“เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน ที่ลานกว้างน่ะ โดนนักเรียนของฉันสองคนจีบอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
ถ้าหากว่าเหตุการณ์นั้นมันถูกลืมเลือนไปจนหมดสิ้นแล้วล่ะก็ ต่อให้เป็นเนโรก็คงจะต้องยอมถอยแต่โดยดี
แต่ทว่า…
“อ๊ะ”
มีแววแล้ว ดูเหมือนว่าเทพเจ้าสีดำแห่งแพนโดร่าจะยิ้มให้เนโรเสียแล้วกระมัง
“นึกออกแล้วเหรอ?”
“คุณคือหนึ่งในสองคนที่เข้ามาจีบในตอนนั้นสินะคะ”
“ไม่สิ ไม่ใช่ทางนั้นเฟ้ย!”
นึกว่าจะยิ้มให้เสียอีก ที่ไหนได้ กลับกลายเป็นแค่การเล่นตลกของเหล่าทวยเทพไปเสียนี่
คำตอบของเด็กสาวนั้นมันเหนือความคาดหมายไปไกลเลยทีเดียว ไม่นึกเลยว่าจะถูกเหมารวมไปกับไอ้พวกนักจีบนั่นด้วย ช่างน่าเจ็บใจเสียจริง
“ช่วยนึกให้ออกดีๆ หน่อยสิ ตอนที่เธอกำลังมีเรื่องกับไอ้พวกนั้นเพราะเอาไม้เท้าไปฟาดพวกมัน ฉันเป็นคนเข้าไปช่วยไม่ใช่รึไง?”
“เอ ใช่สิคะ จะว่าไปแล้วก็มีผู้ชายคนที่สามที่เข้ามาจีบ—”
“ไม่สิ ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้เข้าไปจีบ แต่เข้าไปช่วยต่างหากเล่า เพราะฉันเข้าไปขวางไง ไอ้สองคนนั้นมันถึงได้ยอมถอยไปง่ายๆ น่ะ โอเค๊?”
“ค่ะ”
เด็กสาวทำสีหน้าเหมือนยังไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่ เนโรถอนหายใจยาวอยู่ในใจ
ถึงจะจำได้ก็เถอะ แต่ไม่นึกเลยว่าจะถูกจำได้แบบส่งๆ ขนาดนี้ มันเหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิง
“แต่ว่า เธอนี่มันน่าสนใจจริงๆ แฮะ ชื่ออะไรล่ะ?”
“ไม่ใช่คนที่จะต้องมาบอกชื่อให้ทราบหรอกค่ะ”
ยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่ เนโรเผลอยิ้มออกมากับปฏิกิริยาที่ดูเฉยเมยของเด็กสาว
เมื่อคิดดูแล้ว นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้คุยกับเพศตรงข้ามรุ่นราวคราวเดียวกันแล้วโดนทำท่าทีเฉยเมยใส่ขนาดนี้
ทั้งสถานะ รูปร่างหน้าตา และฝีมือของเนโร ล้วนแต่เป็นคุณสมบัติที่สูงส่งจนคนอื่นไม่อาจจะเพิกเฉยได้ ไม่ว่าจะในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม ไม่มีใครที่สามารถจะทำเป็นไม่สนใจเขาได้ อย่างน้อยที่สุดก็จนถึงเมื่อครู่นี้
ด้วยเหตุนี้เอง เด็กสาวผู้ซึ่งแสดงท่าทีไม่สนใจใยดีจากใจจริงคนนี้ จึงทำให้เนโรเริ่มจะรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย
“โทษที การที่จะแนะนำตัวน่ะต้องเริ่มจากตัวเองก่อนถึงจะถูกมารยาทสินะ ฉันชื่อเนโร เนโร ยูลิอุส เอลโร้ด”
“…ฟิโอน่า โซเรย์ค่ะ”
เด็กสาวแนะนำตัวเองเช่นนั้น
ดูเหมือนว่าถึงจะไม่สนใจใยดี แต่ก็ไม่ได้ไร้มารยาทเสียทีเดียว ปฏิกิริยานั้นทำให้เนโรรู้สึกพอใจอย่างเห็นได้ชัด
แถมยังอุตส่าห์บอกชื่อสกุลมาด้วย หรือก็คือแสดงตัวตนว่าเป็นถึงเชื้อพระวงศ์แห่งอวาลอนอย่างชัดเจนแล้วแท้ๆ แต่เด็กสาวก็ยังคงทำหน้าไร้อารมณ์ไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกชอบใจมากขึ้นไปอีก
“แล้วฟิโอน่า มาทำอะไรที่ห้องสมุดใหญ่นี่ล่ะ? ถ้ามีของที่กำลังหาอยู่ล่ะก็ ฉันช่วยได้นะ?”
ถึงจะเป็นการช่วยเหมือนกัน แต่การที่จะได้เป็นกำลังให้กับฟิโอน่าที่เพิ่งจะเจอกันคนนี้ มันก็ยังดีกว่าที่จะต้องมาโดนซาฟีใช้งานเป็นไหนๆ
แต่ว่า จากปฏิกิริยาที่ดูเฉยเมยของเธอแล้ว ก็ไม่คิดว่าเธอจะยอมรับข้อเสนอโดยง่ายดายหรอกนะ แต่ก็ลองถามดูเผื่อจะฟลุค
“มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะถามค่ะ”
แต่ทว่า คำพูดที่ออกมาจากปากของฟิโอน่ากลับเป็นไปในเชิงรุกอย่างไม่คาดคิด
“อะไรล่ะ?”
ถ้าไม่ใช่เรื่องความลับของประเทศอวาลอนล่ะก็ ไม่ว่าอะไรก็จะตอบให้หมด เนโรจ้องมองตรงไปยังดวงตาทั้งสองข้างของฟิโอน่าด้วยท่าทีเช่นนั้น
ดวงตาสีทองที่จ้องมองตอบกลับมานั้นก็ยังคงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย หรือควรจะพูดว่า รู้สึกเหมือนกำลังถูกมองทะลุปรุโปร่งอยู่เสียอีก
“ในห้องสมุดนี้ น่าจะมีส่วนที่ผนึกหนังสือต้องห้ามอยู่ใช่ไหมคะ พอจะทราบไหมคะว่าอยู่ที่ไหน?”
คำถามที่ไม่คาดคิดหลุดออกมาจากปากของเธอ ทำเอาเนโรถึงกับตกใจอยู่ในใจ ถึงแม้จะไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าก็ตาม
แต่ทว่า เขาก็มีลางสังหรณ์ที่มั่นใจอยู่แล้วว่าเด็กสาวผู้ซึ่งมีใบหน้าไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลาคนนี้ จะต้องพูดอะไรที่ไม่ธรรมดาออกมาอย่างหน้าตาเฉยแน่ๆ
โดยปกติแล้ว หนังสือต้องห้าม หรือก็คือหนังสือที่อันตรายในทุกๆ ความหมายจนต้องถูกห้ามไม่ให้อ่านและถูกผนึกไว้นั้น นักเรียนไม่ควรจะมีธุระอะไรด้วย และการที่จะเข้าไปในบริเวณนั้นก็เป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเป็นทางการ
เดิมทีแล้ว ข้อมูลเกี่ยวกับส่วนลึกของห้องสมุดใหญ่อย่างที่ตั้งของเขตผนึกหนังสือต้องห้ามนั้น ไม่ใช่สิ่งที่นักเรียนธรรมดาๆ คนหนึ่งจะสามารถรับรู้ได้เลย
ท่าทางของฟิโอน่า ถึงแม้จะยังคงทำหน้าไร้อารมณ์จนอ่านความรู้สึกไม่ออกเหมือนเดิม แต่ถึงอย่างนั้น ก็ดูเหมือนจะไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบสำหรับคำถามนี้เท่าไหร่นัก
ทั้งๆ ที่เป็นอย่างนั้น แต่เนื้อหาของคำถามเองก็ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ความอยากรู้อยากเห็นธรรมดาๆ
ตรงนี้การตอบว่า “ไม่รู้” น่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง และถึงแม้จะรู้ก็ไม่ควรจะบอกให้เธอทราบ
แต่ทว่า เนโรกลับสะบัดผ้าคลุมสีแดงอันเป็นสัญลักษณ์ของนักเรียนเตรียมเข้าเป็นผู้บริหาร แล้วเอื้อมมือไปจับประตูห้องสมุดใหญ่ พลางประกาศออกมาอย่างองอาจ
“ได้สิ ฉันจะนำทางให้เอง ตามมา”
เมื่อเสียงระฆังบอกเวลาเที่ยงวันดังก้องกังวาน การนำชมห้องสมุดใหญ่ ‘ฉบับลับ’ ของเนโรก็จบลงอย่างราบรื่น ทั้งสองคนกลับมาถึงโถงทางเข้า
“—ก็ ประมาณนี้แหละ พอใจรึยังล่ะคุณหนู?”
“ค่ะ เป็นประโยชน์มากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ”
เนโรใช้ทักษะในการตรวจจับกลิ่นอายอันเฉียบคมหลบหลีกสายตาผู้คน พลางเดินวนรอบส่วนลึกของห้องสมุดใหญ่ซึ่งเป็นเขตหวงห้ามสำหรับนักเรียน
ถึงแม้จะไม่ได้เข้าไปถึงข้างในเขตผนึก แต่เขาก็นำทางไปจนถึงหน้าประตูแล้ว คำถามของฟิโอน่าคือการขอให้บอกสถานที่ ดังนั้นก็น่าจะเรียกได้ว่าทำหน้าที่สำเร็จลุล่วงแล้วกระมัง
แต่ว่า ถ้าจะบุกเข้าไปข้างในล่ะก็ ต่อให้เป็นเนโรก็คงจะต้องเตรียมตัวพอสมควรเหมือนกัน
มันไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นหนังสือต้องห้ามแล้วถูกผนึกไว้เล่นๆ เสียหน่อย อาคมกั้นเขตแดนสำหรับตรวจจับหรือขัดขวางผู้บุกรุกนั้นถูกวางซ้อนกันไว้เป็นสิบๆ ชั้น
โชคดีหรือไม่อย่างไรก็ไม่ทราบ การลาดตระเวนของพนักงานรักษาความปลอดภัยนั้นไม่ค่อยจะเข้มงวดเท่าไหร่ การที่จะบุกเข้าไปโดยไม่มีใครรู้ตัวจึงไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้
แต่ว่า การที่จะทำเช่นนั้นได้ จำเป็นต้องมีเครื่องรางเวทมนตร์ [เมจิกไอเทม] สำหรับปลดอาคม และผู้ใช้เองก็ต้องมีฝีมือทางด้านเวทมนตร์ที่สูงส่งพอสมควรด้วย
ผู้ที่สามารถทำเช่นนั้นได้ในหมู่นักเรียน คงจะมีเพียงไม่กี่คนรวมถึงเนโรผู้ซึ่งเป็นผู้มีฝีมือในโรงเรียนเทพแห่งนี้ อย่างน้อยที่สุด สำหรับฟิโอน่าที่ยังคงใช้ไม้เท้าสั้น [วอนด์] สำหรับผู้เริ่มต้นอยู่แล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่มีทางบุกเข้าไปได้อย่างแน่นอน
“จะว่าไปแล้ว อย่าคิดจะบุกเข้าไปในนั้นล่ะ แค่โดนจับได้อย่างเดียวมันก็ยังดี แต่ถ้าไปโดนอาคมกั้นเขตแดนแบบอันตรายๆ เข้าล่ะก็ มันจะไม่ใช่แค่เจ็บตัวแล้วจะจบนะ”
แต่ว่า ก็คิดว่าควรจะเตือนเอาไว้ก่อนจะดีกว่า
“เอ๊ะ? ค่ะ ใช่แล้วค่ะ ไม่ได้คิดจะเข้าไปเลยแม้แต่น้อยค่ะ”
คำเตือนอาจจะไร้ประโยชน์ก็ได้นะ เขารู้สึกเช่นนั้นอยู่ลางๆ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรจะพูดได้มากกว่านี้แล้ว
ก็เอาเถอะ ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ ตอนนั้นค่อยหาทางจัดการเองก็แล้วกัน เขาตัดสินใจอย่างมองโลกในแง่ดีแบบปัดความรับผิดชอบไป
“จะว่าไปแล้ว นี่ก็เที่ยงแล้ว ไปโรงอาหารกันไหม? ฉันเลี้ยงเอง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ”
ฟิโอน่าปฏิเสธกลับมาในทันที เมื่อคิดดูแล้ว นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เนโรถูกปฏิเสธคำชวนไปทานอาหาร
แทนที่จะรู้สึกช็อก เขากลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเสียมากกว่า แล้วก็ยิ่งตระหนักได้อีกครั้งว่าเด็กสาวที่ชื่อฟิโอน่าคนนี้ช่างแตกต่างจากนักเรียนหญิงคนอื่นๆ ตรงที่ไม่ได้มีท่าทีประจบสอพลอเขาเลยแม้แต่น้อย นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกพึงพอใจเสียอีก
“อย่างนั้นรึ น่าเสียดายจังนะ”
“ถ้างั้น ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”
แล้วฟิโอน่าก็เดินจากไปอย่างองอาจโดยไม่แสดงท่าทีอาลัยอาวรณ์เลยแม้แต่น้อย รีบออกจากห้องสมุดใหญ่ไปในทันที
เนโรมองส่งแผ่นหลังของฟิโอน่าผู้ซึ่งยังคงรักษาท่าทีเยือกเย็นเฉยเมยอยู่ตลอดเวลาไม่เปลี่ยนแปลงนั้น พลางยิ้มแห้งๆ ออกมาเล็กน้อย
“โดนเทซะแล้วสินะ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง
“ซาฟีรึ”
เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นซาฟีร์ผู้ซึ่งเป็นคู่สัญญานัดหมายเดิมของเขายืนอยู่ตรงนั้น สวมแว่นตาที่ส่องประกายแวววับ
“เพิ่งจะเคยเห็นนายโดนผู้หญิงทิ้งเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย”
“ก็อาจจะนะ”
เมื่อถูกชี้ความจริง เนโรก็เผลอหัวเราะแห้งๆ ออกมา
“แต่ว่า เป็นผู้หญิงที่ดีเลยใช่ไหมล่ะ?”
“ไม่รู้สิยะ”
ซาฟีเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างไม่สนใจใยดี เนโรจึงพูดต่อว่า “ก็คงจะอย่างนั้นแหละนะ”
“แล้ว เรื่องที่นายผิดนัดฉันแล้วไปเที่ยวเล่นอยู่กับผู้หญิงคนอื่นน่ะ มีอะไรจะแก้ตัวไหม ถ้ามีก็จะรับฟังอยู่หรอกนะ?”
“…อ๊ะ”
ปฏิกิริยาของเนโรที่ดูเหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้ สิ่งที่เขาลืมไปนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาช่วยงานซาฟี แต่เป็นเรื่องที่ว่าถ้าทำให้เธออารมณ์เสียขึ้นมาแล้วจะเกิดเรื่องน่าสะพรึงกลัวอะไรขึ้นต่างหาก
“นั่นมันก็คือว่า แบบว่า…”
“ว่ายังไงยะ?”
“อยู่กับฟิโอน่าน่าจะสนุกกว่าน่ะสิ”
พอดีนึกคำแก้ตัวดีๆ ไม่ออก ก็เลยลองสารภาพไปตามตรงดู
“อย่างนั้นเหรอ คำพูดของนายฉันเข้าใจดีแล้วล่ะ—”
ซาฟียิ้มเช่นนั้น พลางค่อยๆ เอื้อมมือไปจับแว่นตาของตน
แว่นตาซึ่งทำหน้าที่ผนึก ‘พลัง’ ที่สถิตอยู่ในดวงตาสีม่วงอันส่องประกายอย่างน่าขนลุกนั้น
“‘เนตรมาร’ [มากัน] ปลดปล่อย”
ถูกถอดออก
“ขอโทษคร้าบบบบบ!!”
คราวหน้าจะพยายามหาคำแก้ตัวให้มันดีกว่านี้หน่อยแล้วกัน เนโรตะโกนคำขอโทษซาฟีออกมาสุดเสียง ขณะที่กำลังนึกเสียใจอยู่เงียบๆ
Translater : Eidolon
www.nekopost.net/editor/78229
novel.dek-d.com/EidolonPlus/profile/writer/
MANGA DISCUSSION