บทที่ 233: บาปทั้งเจ็ด
ไม่นึกเลยว่าผู้หญิงที่ถูกทำร้ายคนนั้นจะเป็นคุณเอริน่าพนักงานต้อนรับ… โลกนี้มันแคบอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ สินะ
ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด แต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่รู้จักก็ถือเป็นผลลัพธ์ที่ไม่มีอะไรจะติได้แล้ว
แต่ว่า เมื่อเทียบกับเรื่องนั้นแล้ว ปฏิกิริยาของฟิโอน่ากลับไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่แฮะ รู้สึกเหมือนว่าตอนที่ผมกำลังเล่าเรื่องอย่างดีใจ เธอกลับส่งสายตาเย็นชามาให้เสียอย่างนั้น
หรือว่านี่มันจะเป็นแบบนั้นนะ ความหมายทำนองว่าคนที่ล้มคนร้ายได้คือฟิโอน่าต่างหาก ผมอย่ามาทำหน้าใหญ่ทำนองนั้นรึเปล่า
อืมม แต่ถ้าจะว่าอย่างนั้น ลิลี่ที่ฟังอยู่ด้วยกันก็มีปฏิกิริยาเย็นชาเหมือนกันนี่นา อะไรกันแน่หว่า… ไม่สิ บางทีเรื่องปฏิกิริยาเย็นชาอะไรนั่นอาจจะเป็นแค่ผมที่คิดมากไปเองก็ได้นะ
สำหรับทั้งสองคนแล้ว การช่วยเหลือผู้คนในโลกต่างมิติที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์เดินเพ่นพ่านแบบนี้ อาจจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ไม่ได้แปลกใหม่อะไรเลยกระมัง มีแต่ผมคนเดียวที่ตื่นเต้นเป็นบ้าอยู่คนเดียวสินะ
เอาเรื่องนั้นไว้ก่อนแล้วกัน ผมมาที่ห้องสมุดเฉพาะสำหรับแรงก์ 3 ขึ้นไปเพื่อหาข้อมูลมอนสเตอร์ใหม่ที่เพิ่งจะถูกเปิดเผยตามที่คุณเอริน่าบอกเมื่อครู่นี้
จะว่าไปแล้ว ทั้งชั้นสี่ทั้งชั้นถูกใช้เป็นห้องสมุดเลยนี่นา หรือควรจะเรียกว่าห้องสมุดจะถูกต้องกว่า เพราะมันมีจำนวนหนังสือมากมายมหาศาลจริงๆ
นี่ไม่ได้มีแค่ข้อมูลมอนสเตอร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักผจญภัยด้วย เช่น อาวุธหรือเวทมนตร์ อันที่จริงแล้วห้องต่างๆ ก็ถูกแบ่งออกตามประเภทของข้อมูลเหล่านั้นด้วย
ดังนั้น ผมจึงรับผิดชอบข้อมูลมอนสเตอร์ ส่วนลิลี่กับฟิโอน่าก็ให้ไปรวบรวมข้อมูลอื่นๆ แทน
ผมที่ยังคงไม่ค่อยเข้าใจสามัญสำนึกของโลกนี้เท่าไหร่ การที่จะทำความเข้าใจเนื้อหาในหนังสือที่มีทั้งชื่อเฉพาะที่ไม่คุ้นเคยหรือสำนวนการพูดที่เป็นเอกลักษณ์นั้นมันค่อนข้างจะลำบาก
ข้อมูลมอนสเตอร์น่ะ แค่รู้เรื่องระบบนิเวศหรือถิ่นที่อยู่อาศัยของมันก็โอเคแล้ว แต่เอกสารที่ต้องใช้ความสามารถในการอ่านทำความเข้าใจล้วนๆ โดยเฉพาะหนังสือเกี่ยวกับเวทมนตร์นั้น ส่วนใหญ่แล้วผมมักจะจนปัญญา
ด้วยเหตุนี้แหละ ถึงได้แบ่งงานกันแบบนี้
ก็ สำหรับฟิโอน่าที่เคยเรียนอยู่ที่สถาบันเวทมนตร์เอลิเซียนซึ่งเป็นโรงเรียนเฉพาะทางด้านเวทมนตร์แล้ว โอกาสที่จะได้เจอหนังสือเวทมนตร์ที่แปลกใหม่สำหรับเธอขนาดนั้นก็คงจะต่ำกระมัง
“เอาล่ะ เรื่องที่จำเป็นมิอาจะบอกให้รู้รึเปล่านะ”
ผมก้าวเข้าไปในห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือข้อมูลมอนสเตอร์อัดแน่นอยู่เต็มชั้นหนังสือ แล้วหลับตาขวาลงก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ
“…เจอแล้วสินะ”
สันปกของหนังสือรายชื่อมอนสเตอร์สองสามเล่มที่ทางกิลด์น่าจะมีการใช้งานบ่อยที่สุด ส่องแสงสีแดงออกมาแสดงตัวตนของมัน
เมื่อลองหลับตาซ้ายแล้วมองด้วยตาขวาเพียงข้างเดียว แสงสีแดงนั้นก็หายไป กลับไปเป็นหนังสือธรรมดาๆ เหมือนเดิม
ถึงแม้จะเป็นเวทมนตร์ แต่โครงสร้างของลูกตาบ้านี่มันช่างไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย ก็เอาเถอะ มันสะดวกดีก็แล้วกัน
ผมนำรายชื่อที่แสงนั้นชี้บอกไปกองไว้บนโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ แล้วเปิดเล่มแรกออกพลางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้
ดูเหมือนว่าตอนนี้จะมีแค่ผมคนเดียวที่ใช้ห้องสมุดนี้อยู่ มันจึงเงียบสงบมากจริงๆ
ภายในห้องที่มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษของผมดังอยู่เท่านั้น มันชวนให้นึกถึงห้องชมรมวรรณศิลป์สมัยมัธยมปลายขึ้นมาอย่างประหลาด
ผมจมอยู่ในความรู้สึกซาบซึ้งเช่นนั้น พลางจรดปากกาลงบนกระดาษเปล่าเพื่อจดบันทึกข้อมูลที่เขียนอยู่ในเอกสารเหล่านั้น
ข้อมูลนั้นก็คือ เรื่องของมอนสเตอร์ที่เป็นบททดสอบใหม่ต่อจากราสปุนนั่นเอง
ใช้เวลาไปไม่น้อย ค่อยๆ ไล่รายชื่อมอนสเตอร์ที่ดวงตาซ้ายแสดงเป็นสีแดงออกมา
“เหลืออีกหกตัว สินะ”
บนกระดาษมีชื่อเขียนอยู่หกชื่อ
กรีดกอร์
สลอธกิล
ไพรด์เจม
กลัตโทนี่ออคท์
ลาสท์โรส
เอนวี่เรย์
“เหมือนกับบาปทั้งเจ็ดประการเลยแฮะ”
“ถูกต้องแล้ว อสูรที่แบกรับนามแห่งบาปนั่นแหละ คือสิ่งที่คู่ควรแก่การเป็นเครื่องสังเวยเพื่อรับพรพิทักษ์จากจอมมาร”
คำพูดที่เผลอพึมพำออกมาลอยๆ นั้น กลับมีเสียงตอบที่ไม่คาดคิดดังกลับมา
เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นมิอายืนอยู่ตรงนั้นในชุดเครื่องแบบนักเรียนเทพเหมือนกับตอนที่เจอกันที่ลานกว้างคราวก่อน
“จะว่าไปแล้ว ก็ดูเก๊กไปหน่อยรึเปล่านะ”
อะฮะฮะ มิอาพูดพลางยิ้มเขินๆ ถ้าจะอายแล้วจะพูดทำไมกันเล่า
แต่ว่า การที่จะไปชี้จุดนั้นมันก็คงจะน่าสงสารเกินไปกระมัง
“ยังคงปรากฏตัวออกมาแบบกะทันหันเหมือนเดิมเลยนะ”
“เอเฮะเฮะ ดูเหมือนพระเจ้าดีใช่ไหมล่ะ?”
อย่างนั้นเหรอ? ผมคิดในใจ แต่เมื่อมองดูมิอาที่ดูจะภูมิใจอยู่หน่อยๆ ก็อดที่จะยอมตามใจเธอไปไม่ได้
แต่ว่า ในตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนกำลังคุยอยู่กับเด็กที่ชื่อมิอาจัง มากกว่าที่จะเป็นพระเจ้าเสียอีกนะ
“บททดสอบที่เหลืออยู่ คือการปราบมอนสเตอร์หกตัวนี้ทั้งหมดเลยอย่างนั้นสินะ?”
“อื้ม แต่ดูเหมือนจะไม่ต้องบอกเหตุผลก็เข้าใจแล้วสินะ”
หลังจากที่โค่นราสปุนผู้ซึ่งมีพลังแห่งเพลิงลงได้ ผมก็ได้รับความสามารถในการเปลี่ยนพลังเวทมนตร์สีดำให้กลายเป็นเปลวไฟ
และมอนสเตอร์หกตัวที่เพิ่งจะตรวจสอบไปเมื่อครู่นี้ ก็มีระบุไว้ว่าแต่ละตัวนั้นมีความสามารถที่เชี่ยวชาญในคุณสมบัติธาตุเพียงอย่างเดียว
ไฟ น้ำแข็ง ดิน สายฟ้า ลม แสง ความมืด ทั้งแปดอย่างนี้คือคุณสมบัติธาตุในทางเวทมนตร์ และถ้าหากสามารถใช้ได้ทั้งแปดอย่างแล้วล่ะก็ ก็จะสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นปรมาจารย์ธาตุ [เอเลเมนท์มาสเตอร์] ได้อย่างแท้จริง
มอนสเตอร์หกตัวที่เหลืออยู่เป็นบททดสอบของผมนั้น มีครบทุกคุณสมบัติธาตุยกเว้นไฟกับความมืด
“การแปรสภาพพลังเวทมนตร์สีดำให้เป็นทุกคุณสมบัติธาตุ นั่นคือพลังของพรพิทักษ์สินะ”
“ใช่แล้วล่ะ อย่างน้อยที่สุดก็จะได้พลังขนาดนั้นมาแน่ๆ”
มิอานั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับผม แล้วหยิบกล่องอาหารกลางวันขนาดใหญ่ออกมาจากไหนก็ไม่รู้ วางลงบนโต๊ะ
กำลังจะทานอาหารกลางวันงั้นเหรอ ผมสนใจคำพูดที่ดูจะมีความหมายแฝงอยู่ของมิอามากกว่าธุระส่วนตัวของเธอเสียอีก
“อย่างน้อยที่สุดงั้นเหรอ แสดงว่ามีอะไรมากกว่านั้นอีกอย่างนั้นสินะ?”
“จะใช้พลังอย่างไรนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับเธอเองนั่นแหละนะ ใช้ให้มันดีๆ ล่ะ แค่นั้นเอง
อ๊ะ แต่ว่าถ้าเคลียร์บททดสอบได้ทั้งหมดล่ะก็ จะมีอะไรที่มากกว่านั้นอีกนะ!”
เพราะฉะนั้นพยายามเข้าล่ะ มิอากล่าวให้กำลังใจพร้อมกับหยิบแซนด์วิชชิ้นใหญ่เบิ้มที่อยู่ในกล่องอาหารกลางวันที่เปิดออกมากินอย่างเอร็ดอร่อย
กลิ่นเนื้อหอมๆ ที่กระตุ้นความอยากอาหารลอยออกมาจากเบคอนชิ้นหนาที่สอดไส้อยู่ในขนมปังขาวนุ่มๆ ดูน่ากินชะมัดเลยแฮะ น่ารำคาญจริง
เอาเรื่องนั้นไว้ก่อนแล้วกัน ที่ว่าขึ้นอยู่กับวิธีใช้น่ะ คงจะไม่ได้หมายถึงจุดประสงค์ แต่หมายถึงว่าจะประยุกต์ใช้ความสามารถอย่างไรสินะ
ในเควสต์ปราบมอลจูร่า แค่การปล่อยเปลวเพลิงสีดำผ่านมีดมาเชเต้แห่งเพลิง ‘แขนขวาราสปุน’ [ราสปุนโนะอูเดะ] ที่เสริมพลังมาจาก ‘นิ้วโป้งอิฟรีท’ [อิฟรีทธัมบ์] ออกไปตรงๆ ก็ยังได้พลังการเผาไหม้ที่สูงพอสมควรแล้วนี่นา
ไม่สิ จริงๆ แล้วสเปกของ ‘แขนขวาราสปุน’ [ราสปุนโนะอูเดะ] มันก็สูงกว่าที่จินตนาการไว้มากอยู่แล้วด้วย โรงตีเหล็กสตราโตสทำงานได้ยอดเยี่ยมจริงๆ ต่อจากนี้ไปคงต้องอุดหนุนบ่อยๆ แล้วล่ะ
เอาเป็นว่า ต่อจากนี้ไปถ้าคุ้นเคยกับการใช้พลังมากขึ้นแล้วล่ะก็ ก็น่าจะสามารถประยุกต์ใช้ได้หลากหลายขึ้น เช่น การทำให้แค่คมดาบร้อนขึ้น เป็นต้น อา ถ้าได้เรียนรู้การแปรสภาพเป็นธาตุอื่นๆ ด้วยล่ะก็ การนำมาผสมผสานกันก็น่าจะน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่ว่า ในตอนนี้มันก็เป็นแค่การวาดวิมานในอากาศเท่านั้นเอง
แต่ว่า นอกจากเรื่องนั้นแล้ว ‘อะไรที่มากกว่านั้น’ ที่จะได้รับเมื่อเคลียร์บททดสอบทั้งหมดได้นั้น บางทีอาจจะเป็น…
“พรพิทักษ์ที่ต้องเอ่ยพระนามของเทพเจ้าเพื่อปลุกพลังขึ้นมา อะไรทำนองนั้นรึเปล่า?”
ปิ๊ก ทั้งมือเล็กๆ และปากที่กำลังเคี้ยวหยุดชะงัก
“โธ่ ทำไมถึงรู้ล่ะเนี่ย?”
“ทำไมงั้นเหรอ ก็เห็นทุกคนเขาเอ่ยพระนามของเทพเจ้าแล้วก็ใช้พรพิทักษ์กันทั้งนั้นนี่นา”
ลิลี่ก็ ‘ราชินีแฟรี่ไอริส’ [โยเซย์โจวโอ ไอริส] วัลแคนก็ ‘หมาป่าเดียวดายวูล์ฟกัง’ [โคโร่ว์ วูล์ฟกัง] คุณซูก็ ‘เงาพเนจรฮันโซม่า’ [คาเงะวาตาริ ฮันโซม่า] ผมเห็นกับตาตัวเองชัดๆ เลยว่าแต่ละคนเอ่ยพระนามแล้วก็ปลดปล่อยพลังของพรพิทักษ์ออกมา
เห็นแบบนั้นแล้วจะไม่รู้ได้ยังไงกันเล่า
“เอ๋ อย่างนั้นเหรอ รู้แล้วเหรอเนี่ย”
มิอาทำสีหน้าเสียดายอย่างเห็นได้ชัด แล้วก็เริ่มทานอาหารต่อ
อะไรกันเล่า อยากจะเก็บเป็นความลับงั้นเหรอ… ไม่สิ แต่ถ้าไม่รู้สิน่าแปลกกว่านะ
“อา แต่ว่านะ จะต้องร่ายคาถาแบบไหนกันนะ ตั้งตารอคอยเลยล่ะน่า”
ผมกำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ มาเอาใจพระเจ้าอะไรกันเนี่ย ผมคิดในใจ แต่เมื่อเห็นมิอากำลังทานแซนด์วิชด้วยสีหน้าหงอยๆ แล้วมันก็อดที่จะพูดแบบนี้ออกไปไม่ได้จริงๆ
“เอ๊ะ จริงเหรอ? มุฟุฟุ— แต่ไม่ได้นะ ยังเป็นความลับอยู่!”
แต่ดูเหมือนจะได้ผลดีเกินคาด คราวนี้มิอากลับมายิ้มแย้มแจ่มใสในทันที
อะไรกันเนี่ย ดูยังไงก็ไม่เหมือนพระเจ้าเลย เหมือนเด็กที่สมกับรูปร่างหน้าตาจริงๆ แฮะ
ก็เอาเถอะ น่ารักดีก็แล้วกัน
“จะว่าไปแล้ว มิอา”
แต่ทว่า ในเมื่อพระเจ้ายังมีกฎเกณฑ์ โลกมนุษย์เองก็ย่อมต้องมีกฎเกณฑ์เช่นกัน มีเรื่องหนึ่งที่ผมคงจะต้องเตือนเด็กคนนี้เอาไว้
“เอ๊ะ อะไรเหรอ?”
เมื่อรู้สึกตัวอีกที มิอาก็กินแซนด์วิชเบคอนชิ้นใหญ่เบิ้มชิ้นแรกหมดไปแล้ว และกำลังจะหยิบแซนด์วิชไข่ชิ้นต่อไป ผมจึงเตือนเธอด้วยความรู้สึกเหมือนกับเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดอย่างไรอย่างนั้น
“ห้ามกินอาหารในห้องสมุดนะ”
Translater : Eidolon
www.nekopost.net/editor/78229
novel.dek-d.com/EidolonPlus/profile/writer/
MANGA DISCUSSION