บทที่ 85 – เทพเจ้าสีดำและเทพเจ้าสีขาว
เทพเจ้ามีจริงหรือ? พระองค์สถิตอยู่ในใจของผู้ศรัทธาไหม? หรือว่าไม่มีพระองค์อยู่เลย ไม่ว่าสถานการณ์ไหน?
มีทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับเทพเจ้า แต่ตลอด 17 ปีที่ผมใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นยุคใหม่ เทพเจ้าเป็นแค่ภาพลวงตา
อย่างน้อย ผมไม่เคยเชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเทพเจ้า ซึ่งมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่คอยเฝ้าดูโลกทั้งใบจากสวรรค์
ผมไม่ได้ต่อต้านศาสนาอะไรหรอก แต่มันเป็นความจริงที่ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่มีใครบนโลกนี้เคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถทำปาฏิหาริย์ได้แค่ด้วยการจ้องมอง หรือสัมผัส
แต่โลกนี้มันเป็นโลกแฟนตาซีของจริง ที่มีกฎเกณฑ์และหลักการของตัวเอง
ใช่ ในโลกนี้ [เทพเจ้า] มีอยู่จริง
หนึ่งในหลักฐานของเรื่องนี้คือการมีอยู่ของ [พรจากสวรรค์]
พูดง่ายๆ ก็คือ เทพเจ้าประทานพลังให้แก่มนุษย์ และความสามารถที่ได้รับจากเทพเจ้านั้นเรียกว่า [พรจากสวรรค์]
ตัวอย่างเช่น มีพละกำลังมหาศาลโดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์เสริม หรือสามารถใช้เวทมนตร์ที่ไม่เคยเรียนรู้ หรือฝึกฝนมาก่อน เป็นต้น
ผมไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แต่ดูเหมือนว่าเวทมนตร์ดำของผมจะเป็นพรจากสวรรค์ประเภทหนึ่ง
พลังเวทมนตร์สีดำแตกต่างจากพลังเวทมนตร์ทั่วไปที่มีอยู่ในโลกนี้อย่างสิ้นเชิง มันเป็นพลังพิเศษที่มาจากเทพเจ้า
“ในกรณีของคุโรโนะ ฉันคิดว่ามีประตูในจิตวิญญาณของนายที่เชื่อมต่อกับ [เทพเจ้าสีดำ] ที่นายดึงพลังเวทสีดำออกมาจากที่นั่น”
“ลิลี่ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเรื่องนี้เลยนะ……..”
“อา เอ่อ ฉันคิดว่านายรู้อยู่แล้ว หรือจริงๆ แล้วแหล่งพลังเวทที่นายมี มันเป็นสิ่งที่นายควรรู้ได้เองโดยธรรมชาติรึเปล่า?”
“……ผมไม่รู้”
เทพเจ้าสีดำคืออะไรกันแน่? ผมไปเชื่อมต่อกับพวกคลั่งศาสนาพวกนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?
ไม่สิ มันต้องเป็นตอนที่ผมผ่านการทดลองครั้งแรก ที่ทำให้ผมได้รับพลังเวทมนตร์
มันเจ็บปวดจริงๆ เหมือนตกนรก ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงมีคนบอกว่าจิตวิญญาณของผมเชื่อมต่อกับอะไรแบบนั้น
“ฉันไม่คิดว่าคุโรโนะจะไม่รู้เรื่องเทพเจ้าเลยนะ แต่ในเมื่อตอนนี้ใช้เวทมนตร์ได้คล่องแล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับพลังเวทของนายมันหมายความว่ายังไงกันแน่?”
“อืม ก็คงงั้น แต่………[เทพเจ้าสีดำ] เนี่ยนะ………….”
“นั่นเป็นคำที่ใช้เรียกเทพเจ้าทั้งหมดในทวีปแพนโดร่า ถึงขนาดที่หมู่บ้านไอซ์ยังมีศาลเจ้าที่อุทิศให้เทพเจ้าที่ทำให้พืชพรรณงอกงามเลยไม่ใช่เหรอ? เทพเจ้าพวกนี้รวมๆ กันก็เรียกว่าเทพเจ้าสีดำ โดยที่ [ราชินีแฟรี่] ของพวกเราก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“เข้าใจแล้ว งั้นมันก็เหมือนกับ ยาโยโรซู โนะ คามิ (T/N: หมายถึงเทพเจ้าทุกองค์ในศาสนาชินโต)”
เทพเจ้ากระจายอยู่ทั่วทวีป แล้วมอบ [พรจากสวรรค์] ให้กับพื้นที่นั้นๆ แล้วก็ได้รับการเคารพบูชา
มันก็เหมือนกับเทพเจ้าในโลกเดิมของผม ที่ให้การปกป้องคุ้มครองในที่ที่พวกท่านได้รับการบูชา เอาเถอะ นี่อาจจะเป็นเวทมนตร์ประเภทหนึ่งก็ได้
แต่ในกรณีของผม มันแค่ให้พลังเวทมนตร์ แล้วผมก็ไม่ได้เชื่อมต่อกับเทพเจ้าโดยตรง
มันถูกเรียกว่า [พรจากสวรรค์จากเทพเจ้าสีดำ]
แล้วถ้าผมเริ่มบูชาเทพเจ้าเฉพาะเจาะจง จะทำให้ผมได้รับพลังพิเศษอะไรบ้างไหมนะ?
[พรจากสวรรค์] ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็ได้มาง่ายๆ แค่สวดมนต์ ดูเหมือนว่าเทพเจ้าเองก็คำนวณผลประโยชน์อยู่เหมือนกัน หรือจะเรียกว่ามีความคิดที่เป็นรูปธรรมก็คงได้
“ในเมื่อคุณคุโรโนะเข้าใจเรื่องเทพเจ้าแล้ว ฉันจะพูดถึงเรื่อง [อัครสาวก] นะคะ”
“อืม”
ถูกต้อง ผมอยากฟังเรื่องอัครสาวกมาตั้งแต่แรกแล้ว
ดูเหมือนว่าผมจะเข้าใจแนวคิดเรื่องเทพเจ้าในโลกนี้แค่ผิวเผิน พวกเขาเลยต้องอธิบายเรื่องนี้ให้ผมฟังก่อน
“[อัครสาวก] คือสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือมนุษย์ หลังจากได้รับ [พรจากสวรรค์] จาก [เทพเจ้าสีขาว] โดยเฉพาะ ตามความเชื่อของศาสนจักร เทพเจ้าสีขาวคือผู้สร้างสิ่งมีชีวิตทั้งหมด และมนุษย์ถูกสร้างขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิตสุดท้าย เพื่อปกครองโลกใบนี้ หรืออย่างที่พวกเขาสั่งสอนกัน”
ดูเหมือนว่าในทวีปอาร์คจะมีเทพเจ้าในรูปแบบเดียวกับพระเจ้าในคัมภีร์ไบเบิล ที่สร้างโลกภายในหนึ่งสัปดาห์
ชักจะน่าสงสัยขึ้นทุกทีแล้วสิ
“ฉันไม่รู้ว่าเขาได้สร้างโลกจริงรึเปล่า แต่ในทวีปอาร์ค เขาคือเทพเจ้าที่เก่าแก่และมีอิทธิพลมากที่สุด”
“แล้วเทพเจ้าสีขาวที่ละโมบคนนั้นก็อยากจะขยายอาณาเขตของตัวเอง ก็เลยส่งพวกมนุษย์น่ารังเกียจมายังทวีปแพนโดร่าที่ถูกปกครองโดยเทพเจ้าสีดำ”
“อย่างที่คุณฟิโอน่าพูด การบุกทวีปแพนโดร่าเริ่มต้นจาก [โองการ] ที่ส่งมาจากเทพเจ้าสีขาว”
พวกครูเสดในโลกเดิมของผมคือคนที่ทำสงครามในนามของการทวงคืนดินแดนศักดิ์สิทธิ์และอะไรทำนองนั้น แต่ไม่คิดเลยว่าที่นี่เทพเจ้าจะสั่งการเองอย่างชัดเจน
“[เทพเจ้าสีขาว] ต้องการแผ่นดินนี้ ดังนั้นพวกเราจึงมาในนามของ [ครูเสด] เพื่อมอบแผ่นดินนี้ให้กับพระองค์”
นั่นคือสิ่งที่ซาริเอลเคยบอกผมที่เดดาลัส แต่มันกลับกลายเป็นเรื่องจริงที่ลึกซึ้งกว่านั้น
“การขยายดินแดนการปกครอง พวกเขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”
“ศาสนจักรจะสร้างโบสถ์ที่นับถือเฉพาะ [เทพเจ้าสีขาว] เท่านั้น แล้วก็จะกำจัดศาสนาอื่น และคนที่นับถือศาสนาอื่นออกไป ผลที่ตามมาก็คือ วัฒนธรรมและศาสนาทุกประเภทที่มีอยู่ที่นี่จะถูกทำลาย แล้วหายไปอย่างแน่นอน”
โดยพื้นฐานแล้วมันก็เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของผม ซาริเอลบอกว่า [เปลี่ยนศาสนา] แต่ความคิดที่ผมมีในตอนนั้นก็ถูกต้องแล้ว
ถ้าเป็นการเปลี่ยนศาสนาอย่างเดียวก็คงดี แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ไอซ์ พวกเขาคือพวกคลั่งที่ต้องการกำจัดเผ่าพันธุ์อื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ให้หมดสิ้น
พวกเขาจะไม่ยอมรับการยอมจำนนด้วยซ้ำ พวกเขานี่แหละคือปีศาจตัวจริง
“กลับมาที่เรื่องเดิม สรุปว่ามีอัครสาวกกี่คน?”
“มีทั้งหมด 12 คนเสมอค่ะ”
“จำนวนนี้ตายตัวใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ ถึงจะต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่าจะหาคนใหม่มาแทนที่ ในกรณีที่จำนวนลดลง”
อย่างที่คิดไว้ พวกที่ได้รับความโปรดปรานจากเทพเจ้าไม่ได้มีเป็นร้อยเป็นพัน อย่างน้อยพวกมันก็คงไม่ส่งกองทัพที่เต็มไปด้วยอัครสาวกมา โล่งอกไปที
“ถ้าจะต้องเจอพวกนั้น มันก็คงจะเป็นแค่ทีละคน โอกาสที่จะเจอผู้บัญชาการสูงสุด [อัครสาวกหมายเลข 7 ซาริเอล] น่าจะมีมากที่สุดค่ะ”
“……..เราเคยสู้กันแล้ว”
“ใช่ เรื่องนั้นนายคงจำได้ไม่ยากหรอก”
“โอ้ พระเจ้า เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
คุณฟิโอน่าก็ดูตกใจเหมือนกัน ตอนที่มองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่แสดงออกอย่างชัดเจน
“ตอนที่เราไปสำรวจเดดาลัส ผมเจอเธออยู่บนกำแพงปราสาท พอรู้ว่าเธอเป็นผู้บัญชาการสูงสุด ผมก็เลยพยายามจะลอบฆ่า แต่กลับโดนเธออัดซะน่วม”
“อย่างนั้นเหรอ………นายเก่งมากเลยนะที่รอดมาได้”
หรือว่าสายตาที่เธอมองมาที่ผมมันคือความสงสารที่ผมทำพลาดไปกันนะ?
“ใช่ ถ้าไม่ได้ลิลี่ช่วยไว้ ป่านนี้คงตายไปแล้ว”
“ไม่ใช่แบบนั้น ผู้หญิงคนนั้นปล่อยพวกเราไปเองต่างหาก”
ผมสลบไปจนกระทั่งตื่นขึ้นมาในช่องทางแคบๆ ผมเลยไม่รู้ว่าลิลี่ช่วยผมจากซาริเอลได้ยังไง
ถึงเธอจะบอกว่าการหนีเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว แต่การปล่อยให้พวกผมไปหลังจากที่ผมพยายามฆ่าเธอ เธอคิดอะไรอยู่กันแน่? เธอมองผมเป็นขยะที่ไม่คู่ควรกับการฆ่ารึเปล่า?
“พวกอัครสาวกเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในศาสนจักร ไม่มีใครในทวีปอาร์คที่สามารถสู้กับพวกเธอแบบตัวต่อตัวได้หรอกค่ะ คุณโชคดีมากแล้วที่หนีมาได้”
“เธออาจจะปล่อยผมไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ แต่ยังไง ผมจะทำให้เธอเสียใจกับการตัดสินใจครั้งนั้น เธอบอกว่าสู้ตัวต่อตัวไม่ได้ แต่ถ้าเป็นจำนวนมากล่ะ? พวกเขามีจุดอ่อนอะไรไหม? ฆ่าพวกเขาได้รึเปล่า?”
นั่นคือปัญหาหลัก ถ้าพวกมันเป็นอมตะเพราะพลังจากเทพเจ้า ทุกอย่างก็จบเห่
ผมเคยทำร้ายแขนขวาของเธอด้วย [เข็มกระดูกบาซิลิสก์] ดังนั้นผมคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นแบบนั้น แต่ถึงอย่างนั้น…
ถ้าอย่างนั้น พวกมันจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งหลังจากที่ถูกฆ่าด้วยปาฏิหาริย์จากเทพเจ้ารึเปล่า?
“พวกเธอฆ่าได้ค่ะ ไม่ว่าพรจากสวรรค์ที่พวกเธอมีจะแข็งแกร่งแค่ไหน ร่างกายก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ดี ถ้าตัดหัว ทำลายหัวใจ หรือทำให้เสียเลือดมาก ถ้าคุณสามารถโจมตีให้ถึงจุดตายได้จริงๆ พวกเธอก็ต้องตายแน่นอนค่ะ”
ผมคิดว่าร่างกายที่ [อมตะ] สมบูรณ์แบบคงไม่มีอยู่จริง แม้แต่ในโลกแห่งเวทมนตร์
พวกมันจะไม่ฟื้นคืนชีพ ดังนั้นเรื่องนั้นก็ทำให้ผมโล่งใจ
“การที่คุณคุโรโนะดึงพลังเวทมนตร์ดำมาจากเทพเจ้า พวกอัครสาวกก็จะใช้เวทมนตร์ขาวที่ดึงมาจากประตูในจิตวิญญาณของพวกเขาที่เชื่อมต่อกับ [เทพเจ้าสีขาว] เพียงแต่ปริมาณที่พวกเขาสามารถใช้ได้มันมหาศาลมาก ถ้าถามว่ามากแค่ไหน ก็ลองดูสิ ว่าคุณคุโรโนะสามารถใช้เวทมนตร์ดำได้ไม่จำกัดรึเปล่า?”
“ไม่มีทาง แม้แต่ผมก็มีขีดจำกัด”
ผมเคยหมดพลังเวทไปหลายครั้งระหว่างการทดลองพวกนั้น
เมื่อไม่นานมานี้ ผมถึงกับสลบไปตอนที่ขวานต้องสาปวิวัฒนาการกับพระสงฆ์
“พวกอัครสาวกไม่เคยมีอาการที่เรียกว่า [พลังเวทหมด] ในหมู่นักเวท ไม่ว่าจะใช้เวทมนตร์ไปกี่ครั้ง พลังของพวกเขาก็จะเติมเต็มกลับมาทันที แน่นอนว่าปริมาณที่ [เทพเจ้าสีขาว] จัดสรรให้มันไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาจะไม่มีวันหมดพลังเวท”
แต่พลังเวทที่ไม่มีวันหมดก็ยังเป็นแค่ส่วนหนึ่งของพรจากสวรรค์ของพวกมัน ผมเพิ่งรู้ความจริงที่น่ากลัวนี้
“แล้วจะฆ่าพวกมันได้ยังไง? ไม่มีทางอื่นนอกจากต้องเตรียมเวทมนตร์ที่จะฆ่าพวกมันได้ในทีเดียวเหรอ?”
ผมสงสัยว่าจะมีอะไรที่สะดวกสบายขนาดนั้นอยู่จริงรึเปล่า
“วิธีที่ดีที่สุดในการฆ่าอัครสาวกคือการโจมตีพวกเธออย่างต่อเนื่อง ด้วยความตั้งใจที่จะตายไปพร้อมกับพวกเธอ ถึงพวกเธอจะมีพลังเวทไม่มีวันหมด แต่ร่างกายที่เป็นมนุษย์ก็ไม่สามารถทนความเหนื่อยล้าจากการใช้เวทมนตร์อย่างไม่หยุดหย่อนได้ แต่การจะทำให้ร่างกายของอัครสาวกอ่อนล้าถึงขนาดนั้น ต้องใช้ทหารอย่างน้อย 10,000 คน หรืออย่างที่เคยได้ยินมา ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเลขนั้นถูกต้องรึเปล่า แต่ถ้าอัครสาวกหนีไปกลางทาง ร่างกายของพวกเธอก็จะฟื้นฟู แล้วคุณก็ต้องกลับมาเริ่มใหม่ มีโอกาสที่จะต้องสังเวยทหารไป 10,000 คนโดยไม่จำเป็นอีกด้วย”
“สงครามยืดเยื้อไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันไม่สมเหตุสมผลเลยใช่ไหม?”
อัครสาวกน่าจะสามารถรักษาร่างกายตัวเองได้ อย่างน้อยก็คงสู้จนถึงขีดจำกัดของร่างกายได้… อ้อ เข้าใจแล้ว การล้อมพวกมันไว้ไม่ให้หนี ต้องใช้คนถึง 10,000 คนเพื่อรับมือกับพวกมันแค่คนเดียว
“ในทวีปอาร์ค ถ้าเจออัครสาวก พวกเขาจะพยายามหนี หรือไม่ก็พยายามยื้อไว้ แต่ไม่เคยคิดจะฆ่าพวกเธอเลย หรืออย่างที่เคยได้ยินมา ถึงจะมีอัครสาวกถูกฆ่าในการต่อสู้บ้าง แต่พวกเขาก็ต้องสูญเสียทหารไปเยอะมาก”
“แถมมีอยู่ทั้งหมด 12 คน”
โดยพื้นฐานแล้ว พวกมันแค่คนเดียวก็เหมือนกองทัพทั้งกองทัพ แล้วถ้ารวมกับทหารจากกองทัพปกติเข้าไปด้วย… สาธารณรัฐซินเครียอาจจะมีกำลังพลถึง 1,000,000 คนเลยก็ได้
“ไม่มีทางที่ทั้ง 12 คนจะมาที่ทวีปแพนโดร่า สบายใจได้ ยกเว้นอัครสาวกหมายเลข 7 ที่เหลือจะไม่ทิ้งเอลิเซียน แล้วคนอื่นๆ ก็ถูกส่งไปตามชายแดนของสาธารณรัฐ เพื่อจัดการปัญหาต่างๆ และรักษาอำนาจของตัวเอง ยังมีอัครสาวกบางคนที่หายตัวไปด้วย”
“หายตัวไป? หมายความว่ายังไง?”
“ฉันได้ยินมาว่ามีคนหนึ่งที่ปลอมตัวปะปนกับชาวบ้าน แล้ววางแผนปฏิรูปโลกอยู่ลับๆ อีกคนก็กำลังทำวิจัยอะไรบางอย่าง แล้วก็ยังมีข่าวลืออีกมากมายเกี่ยวกับเรื่องที่อัครสาวกไม่ได้มีแค่ 12 คน ฉันก็ไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริง เรื่องไหนไม่จริง มันก็แค่ข่าวลือทั้งนั้นแหละ”
การปฏิรูปโลก? อืม ช่างมันเถอะ ตราบใดที่พวกนั้นยังอยู่ในเขตของสาธารณรัฐ ปล่อยพวกมันไปก็ดีเหมือนกัน ปล่อยให้พวกมันลงโทษคนชั่ว แล้วเชิดชูความยุติธรรมภายใต้ธงกางเขนต่อไป
แบบนั้นมันเป็นประโยชน์กับเรามากกว่า ขอแค่ซาริเอลเป็นอัครสาวกคนเดียวที่อยู่ที่นี่ก็พอ
“การที่จะเป็นอัครสาวก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความศรัทธา สถานะ หรือพลังเวท แต่มันเกิดจากการได้รับ [พรจากสวรรค์] โดยไม่คาดฝัน ดังนั้นถึงจะมีคนที่ทำงานอย่างหนักเพื่อศาสนจักร ก็ต้องมีคนที่ซ่อนตัว แล้วทำอะไรตามใจชอบเหมือนกัน”
“ในเมื่อพวกเขามีพรจากสวรรค์ พวกเขาก็ต้องอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจทางศาสนา แล้วก็แข็งแกร่งมาก ไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม หรือสั่งงานพวกเขาสินะ?”
“ถึงพระสันตะปาปาจะเป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดในบรรดาอัครสาวก แต่เขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรขนาดนั้น แต่หน้าที่ของอัครสาวก ‘คือการล้างแค้นให้ศัตรูของพระเจ้า’ เป็นสิ่งที่พวกเธอมีร่วมกัน ดังนั้นพวกเธอจะไม่มีวันทรยศศาสนจักร ถึงในประวัติศาสตร์จะไม่เคยมีอัครสาวกคนไหนทรยศพระเจ้าเลยก็ตาม”
ถึงพวกเขาจะได้รับอนุญาตให้ทำงานอย่างอิสระ แต่ตราบใดที่พวกเขายังได้รับพลังจากเทพเจ้าสีขาว พวกเขาก็จะยังคงปกป้องผลประโยชน์ของพระองค์
“ช่างเถอะ ถ้าพวกอัครสาวกมันพิเศษขนาดนั้น เราก็คงไม่ได้เจอพวกมันบ่อยๆ หรอก อย่างน้อยพวกมันคงไม่มาโจมตีพวกผู้ลี้ภัยโดยตรงหรอกมั้ง”
อัครสาวกคนเดียวในแพนโดร่าคือซาริเอล แถมเธอยังเป็นผู้บัญชาการสูงสุดอีก ผมสงสัยว่าเธอจะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระแค่ไหน
ดินแดนเดดาลัสมันกว้างใหญ่ พวกนั้นคงไม่สนใจพื้นที่ชนบทห่างไกลแบบนี้โดยไม่มีเหตุผล
“แต่ถึงซาริเอลจะไม่มา พวกหน่วยกวาดล้างของครูเสดก็ต้องมาที่นี่แน่ๆ ปัญหาคือพวกมันจะแข็งแกร่งแค่ไหน แล้วมีจำนวนเท่าไหร่กัน?”
“ถึงฉันจะเป็นอดีตทหารรับจ้าง แต่ฉันก็ไม่รู้รายละเอียดปลีกย่อยของพวกครูเสดขนาดนั้นหรอกค่ะ ถ้ามีอะไรที่พอจะบอกได้ ก็คงมีแค่ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับพวกอัศวินกับทหารเท่านั้น”
“ไม่ ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกมันเลย ดังนั้นแค่นั้นก็พอแล้ว”
ผมพอจะเข้าใจเป้าหมายของพวกครูเสดแล้ว ที่เหลือก็แค่เหตุผลและผลประโยชน์ของกลุ่มมนุษย์ต่างๆ
ผมไม่มีความจำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนั้นทั้งหมด
สิ่งที่ผมต้องรู้ก็คือความสามารถทางการทหารของพวกครูเสด
“ถ้าเป็นไปได้ ขอฉันฟังเรื่องที่คุณคุโรโนะอยากจะพูดก่อนได้ไหมคะ?”
ขณะที่ผมกำลังคิดว่าจะถามอะไรก่อนดี ฟิโอน่าซังก็เอ่ยปากขอขึ้นมา
“อ่า ใช่แล้ว งั้นผมจะบอกสิ่งที่อยากจะพูดก่อนก็แล้วกัน”
จะเริ่มจากตรงไหนดี… ผมรู้สึกประหม่าเหมือนตอนที่บอกเรื่องนี้กับลิลี่เป็นครั้งแรก เอาล่ะ เริ่มจากใจความสำคัญเลยก็แล้วกัน
“จริงๆ แล้ว ผมมาจากโลกอื่น”
Translater : Eidolonwww.nekopost.net/editor/78229
MANGA DISCUSSION