บทที่ 229: สองป้อมปราการ
บทที่ 229: สองป้อมปราการ
วันที่ 16 เดือนเพลิงแดง นับจากวันที่ 6 เดือนแรกแห่งเพลิงที่กองทัพครูเสดเข้ายึดครองหมู่บ้านอัลซัส เวลาก็ล่วงเลยมาหนึ่งเดือนกับอีกสิบวันพอดี
แม้จะนับว่าเป็นระยะเวลาที่สั้นนักสำหรับการสร้างป้อมปราการขึ้นในหมู่บ้านชายแดน แต่ดูเหมือนว่าสำหรับกองทัพครูเสดที่กำลังคึกคักราวกับไฟลามทุ่งแล้ว เรื่องนี้ก็หาใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ไม่
“การก่อสร้างป้อมอัลซัส ดูท่าจะคืบหน้าไปได้ด้วยดีสินะครับ”
ซาเรียล ผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพครูเสดและอัครสาวกลำดับที่เจ็ด เอ่ยขึ้นลอยๆ ขณะทอดสายตามองทัศนียภาพโดยรอบที่กำลังแปรเปลี่ยนจากหมู่บ้านชาวนาธรรมดาๆ ไปสู่ฐานที่มั่นขนาดมหึมา อันคู่ควรแก่การเป็นที่ตั้งของกองทัพครูเสดผู้เกรียงไกร
หมู่บ้านอัลซัส ซึ่งมีภูมิประเทศคล้ายเกาะกลางน้ำอันถูกโอบล้อมด้วยแม่น้ำสองสายนั้น บัดนี้สะพานหินอันแข็งแกร่งและโอ่โถงก็ได้ถูกสร้างขึ้นเชื่อมต่อกับแม่น้ำทั้งทางฟากตะวันออกและตะวันตกอันเป็นประตูสู่หมู่บ้านเรียบร้อยแล้ว ส่วนกำแพงหิน ปราการสำคัญของการป้องกัน ก็ก่อร่างสร้างเสร็จไปกว่าครึ่งแล้วเช่นกัน
ปัจจุบัน ซาเรียลได้เดินทางมาตรวจตราชการ ณ ป้อมอัลซัสแห่งนี้ ซึ่งจะกลายเป็นฐานทัพหน้าสำหรับการบุกโจมตีสปาด้าในอนาคต
“หลังจากที่ท่านบิชอปเกรกอริอุสได้มอบดินแดนอัลซัสให้แก่ท่านเคานต์เบอร์กุนด์แล้ว ก็ได้ยินมาว่ามีการก่อสร้างเพิ่มเติมอีก แต่ไม่นึกเลยว่าจะดำเนินการก่อสร้างใหญ่โตถึงเพียงนี้ ดูเหมือนพวกท่านขุนนางจะมือเติบกันน่าดูชมเลยนะครับ”
อาร์คบิชอปลูครอม รูปงามผู้เป็นรองแม่ทัพ ซึ่งยืนสงบเสงี่ยมอยู่เบื้องหลังราวกับเป็นผู้ติดตามคนสนิท กล่าวตอบรับคำของซาเรียล
แม้ในน้ำคำนั้นจะเจือความนัยประชดประชันอยู่บ้าง แต่ซาเรียลกลับรับฟังเพียงความหมายตามตัวอักษรเท่านั้น หาได้ใส่ใจไม่
หรือบางที เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังภายในกองทัพครูเสด ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆ นั้น สำหรับซาเรียลผู้ซึ่งอยู่เหนือความเป็นปุถุชนไปแล้ว อาจเป็นเพียงเรื่องจิปาถะที่ไม่ควรค่าแก่การนำมาใส่ใจก็เป็นได้
สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันสูงส่งและเย็นชาดุจน้ำแข็งเช่นนั้นจากท่าทางของซาเรียลที่กำลังจ้องมองการก่อสร้างอย่างมิได้รู้สึกรู้สาอันใด
ทว่า นั่นเป็นเพียงภาพที่ผู้อื่นมองเห็น ความในใจที่แท้จริงของซาเรียลนั้น บางทีอาจกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ก็เป็นได้
(คุโรโนะ มาโอ เคยนำเหล่าอสูรต่อกร ณ ที่แห่งนี้)
ด้วยการก่อสร้างป้อมปราการที่รุดหน้าไปมาก ทำให้บัดนี้ไม่อาจมองเห็นร่องรอยการต่อสู้อันดุเดือดในครั้งกระโน้นได้อีกต่อไปแล้ว
ณ ประตูใหญ่ของหมู่บ้าน บัดนี้มีกำแพงหินอันโอ่อ่าสง่างามตั้งตระหง่านขึ้นมาแทนที่แนวป้องกันอันบอบบางซึ่งเคยทำจากลวดหนามและรั้วไม้ไปเสียแล้ว ส่วนกิลด์นักผจญภัยที่เคยถูกขนานนามว่ากล่องดำ [แบล็กบ็อกซ์] และเคยทำหน้าที่เป็นดั่งป้อมปราการที่เหล่าอสูรใช้ตั้งรับการโจมตีนั้น ก็พังทลายไปนานแล้ว บนซากปรักหักพังนั้นได้มีการก่อสร้างคลังเสบียงอาหารขึ้นมาแทนที่
ต่อให้ใช้อภิประสาทสัมผัสของอัครสาวก ก็มิอาจรับรู้ถึงกลิ่นอายของพลังเวทมนตร์สีดำที่คุโรโนะน่าจะเคยปลดปล่อยออกมา ณ ที่แห่งนี้ได้อีกเลยแม้แต่น้อย
อย่างมากที่สุด ก็มีเพียงพลังเวทมนตร์จางๆ ที่ซึมซาบออกมาจากเหล่านักเวทผู้กำลังสลักเสลาอาคมกั้นเขตแดนบนกำแพงป้องกัน และจากโกเลมที่ใช้สำหรับงานโยธาเท่านั้น ที่ยังคงลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศทั่วบริเวณ
(การต่อกรกับเขา จะอุบัติขึ้น ณ ที่แห่งนี้ หรือว่าจะเป็น—)
ซาเรียลเหลือบดวงตาสีแดงเพลิงอันสุกสกาวของตน ปลายทางแห่งสายตานั้นคือเทือกเขากาลาฮัดอันยิ่งใหญ่ตระการตาที่ทอดตัวยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา
(—ป้อมกาลาฮัด ปราการที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางขุนเขานั่น)
จากหมู่บ้านอัลซัสแห่งนี้ ไม่มีทางที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ทว่า ซาเรียล ‘มองเห็น’ ปราการเหล็กที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางหุบเขากาลาฮัดจากที่นี่ได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
ณ เทือกเขากาลาฮัดที่ทอดตัวยาวเหยียดไปทางเหนือจรดใต้ มีจุดหนึ่งที่แนวเขายุติลงอย่างฉับพลัน ราวกับถูกยักษ์ในปกรณัมใช้ขวานฟาดฟันจนขาดสะบั้น
ณ จุดนั้น ซึ่งเป็นเพียงช่องทางเดียวที่มนุษย์สามารถข้ามผ่านได้ด้วยสองเท้า คือที่ตั้งของป้อมกาลาฮัดอันแข็งแกร่งดุจกำแพงเหล็กกล้าที่อาณาจักรสปาด้าภาคภูมิใจยิ่งนัก
ณ บริเวณที่รอยแยกของหุบเขากลายเป็นเสมือนช่องทางเดินแคบๆ กำแพงเมืองขนาดมหึมาอันแข็งแกร่งหาใดเปรียบ ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากศิลาผา เหล็กกล้า และอาคมผนึกกั้นเขตแดนทั่วทุกอณู ตั้งตระหง่านอยู่ดุจราชสีห์ผู้พิทักษ์
กำแพงเมืองสีดำทะมึนที่ตั้งตรงดิ่งขึ้นไปนั้น มีขนาดใหญ่โตมโหฬารและดูน่าเกรงขามราวกับเขื่อนยักษ์ มันได้หยิบยื่นความสิ้นหวังและความรู้สึกยอมจำนนให้แก่เหล่าทหารเดดาลัสที่หาญกล้าจะมาโจมตีที่นี่ รวมถึงเหล่าทหารหาญในยุคก่อนหน้านั้นมานักต่อนักแล้ว
บัดนี้ ณ ยอดกำแพงเมืองใหญ่อันเกรียงไกรซึ่งปกปักรักษาเส้นทางผ่านเขากาลาฮัดมานับตั้งแต่แรกสถาปนาประเทศสปาด้า มีบุรุษผู้หนึ่งยืนทระนงอยู่
เมื่อพินิจดูจากรูปพรรณสัณฐานแล้ว คาดว่าน่าจะอยู่ในวัยกลางคน เขามีดวงตาที่คมกริบดุจเหยี่ยว คิ้วหนาขมวดมุ่นเข้าหากัน เผยให้เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดกังวล
“กองทัพครูเสดรึ—” น้ำเสียงนั้นแฝงความครุ่นคิด
เกศาที่ยาวสลวยสีแดงเพลิงดุจเปลวอัคคีของชายผู้นั้นปลิวสะบัดไปตามกระแสลมภูเขาที่พัดกระโชกแรง ราวกับแผงคอราชสีห์ผู้ทรนง
ถึงแม้จะเป็นลมที่แรงกล้าพอจะทำให้บุรุษร่างกำยำยังต้องเซถลา แต่ร่างกายอันใหญ่โตและแข็งแกร่งดุจภูผาของชายผู้นั้นกลับยืนนิ่งไม่สั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย ราวกับมีรากแก้วหยั่งลึกลงไปในพื้นศิลา
เขากอดอกที่อัดแน่นไปด้วยมัดกล้ามอันแข็งแรง ดวงตาสีทองเปล่งประกายจับจ้องไปยังที่ห่างไกลสุดขอบฟ้า
“—ถ้าเป็น ‘เจ้าพวกสีขาว’ นั่นล่ะก็ หึ การที่พวกมันสามารถโค่นราชามังกรการ์วินัลลงได้ ก็นับว่าพอจะมีเหตุผลให้เชื่อถือได้อยู่”
เบื้องล่างที่ทอดสายตามองเห็นคือเส้นทางเดียวที่ใช้สัญจรข้ามภูเขา ป่าไม้ที่ปกคลุมไปด้วยพรมสีเขียวเข้มชอุ่ม และเส้นขอบฟ้าที่ทอดยาวออกไปจนสุดสายตา
นอกจากทัศนียภาพธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ตระการตาแล้ว ไม่มีสิ่งอื่นใดที่สามารถมองเห็นได้จากที่นี่ แต่ชายผู้นั้นกลับ ‘มองเห็น’ อะไรบางอย่างที่เขาเอ่ยถึงว่า ‘เจ้าพวกสีขาว’ ได้อย่างแจ่มชัด
“เฮ้ ท่านพ่อ! อย่าทรงเพ่นพ่านไปไหนมาไหนตามพระทัยชอบนักสิขอรับ!”
ในตอนนั้นเอง ก็มีสุรเสียงหนึ่งดังมาจากเบื้องหลังของชายผู้นั้น
เมื่อทรงพระดำเนินหมุนกายอย่างเชื่องช้า ก็ทอดพระเนตรเห็นบุรุษผมแดงดวงตาสีทอง สวมเครื่องแบบทหารสีดำอันเป็นฉลองพระองค์ทางการของกองทัพสปาด้า
เมื่อพิศดูสีผมและเค้าพระพักตร์แล้ว ต่อให้เขาไม่เอ่ยวาจา “ท่านพ่อ” ก็คงจะมองออกได้ในทันทีว่าเป็นพ่อลูกกันอย่างมิต้องสงสัย
“ไอค์รึ อย่าเอ็ดอึงไป” สุรเสียงนั้นเรียบเฉยแต่แฝงอำนาจ
“ต้องเอ็ดอึงสิขอรับ! ถ้าองค์ราชาทรงหายตัวไปดื้อๆ แบบนี้มันก็ต้องเป็นเรื่องใหญ่สิขอรับ! หม่อมฉันคิดมาตั้งแต่เด็กแล้วนะขอรับว่าเสด็จพ่อทรงทำอะไรตามพระทัยชอบเกินไปแล้ว หม่อมฉันเองก็ใช่ว่าจะเคร่งครัดตามแบบแผนอะไรนัก แต่ก็ไม่ถึงขนาดเสด็จพ่อหรอกนะขอรับ!” น้ำเสียงนั้นเจือความน้อยใจระคนเป็นห่วง
ผู้เป็นบิดายังคงมีสีพระพักตร์เคร่งขรึมสงบนิ่งอยู่เช่นเดิม แต่ในพระทัยจริงๆ แล้วคงจะรู้สึกเหมือนถูกโอรสจี้จุดอ่อนเข้าให้กระมัง
“แต่ว่า…”
“ขอรับ ขอรับ ไม่ต้องทรงแก้ตัวหรอกขอรับ ตอนนี้หม่อมฉันเป็นรองผู้บัญชาการกองร้อยที่หนึ่ง ‘เบรฟฮาร์ท’ [ผู้กล้าหาญ] แห่งกองทัพสปาด้าผู้เกรียงไกร ก่อนที่จะเป็นโอรสของเสด็จพ่อเสียอีก การกระทำตามพระราชอัธยาศัยเช่นนี้ หม่อมฉันขอทูลทัดทานตามธรรมเนียมปฏิบัติเลยนะขอรับ”
“พ่อผิดไปแล้ว” รับสั่งสั้นๆ
“ทรงเข้าพระทัยก็ดีแล้วขอรับ”
โอรสผู้มีพระพักตร์คมคายหล่อเหลาราวกับถอดแบบมาจากพระบิดาในวัยหนุ่ม เดินมาประทับยืนเคียงข้างพระชนก แล้วทอดพระเนตรมองทิวทัศน์จากป้อมกาลาฮัดเช่นเดียวกัน
“แล้ว ได้ความว่ากระไรบ้างหรือขอรับ?”
“อืม ดูท่าทางแล้ว เห็นทีศึกครั้งนี้คงจะอุบัติขึ้นเป็นแน่”
พระบิดามีสีพระพักตร์ประหลาดใจเล็กน้อยกับคำทำนายนั้น
“เพิ่งจะส่งราชทูตไปเมื่อครู่นี้เองมิใช่หรือขอรับ”
“เห็นทีจะไม่ได้กลับมาเสียแล้วล่ะ”
เมื่อได้ยินคำยืนยันเช่นนั้น เขาก็ถอนปัสสาสะยาวอย่างจนพระทัย แล้วจึงตรัสด้วยน้ำเสียงขมขื่น
“ถ้าใช้เพียงสัญชาตญาณทำการทูตได้ โลกนี้ก็คงไม่ต้องลำบากยากเย็นกันถึงเพียงนี้หรอกขอรับ แต่เวลาแบบนี้ทีไร พระสัญชาตญาณของเสด็จพ่อกลับแม่นยำราวจับยามสามตาได้ทุกคราไปสิน่า…”
กองทัพมนุษย์ปริศนาที่เรียกขานตนเองว่าครูเสด ผู้ซึ่งบดขยี้เดดาลัสจนพินาศย่อยยับและปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน
พอจะทราบมาบ้างว่าเป็นผู้ที่มาจากทวีปอาร์คอันตั้งอยู่ ณ อีกฟากฝั่งของมหาสมุทร แต่เรื่องราวอื่นๆ นอกเหนือจากนั้นยังคงจมอยู่ในม่านปริศนา
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นมิตรหรือศัตรู หากมิได้เปิดการเจรจาก่อนก็คงจะเริ่มกระไรมิได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้ส่งราชทูตจากสปาด้าไปเพื่อเป็นการปฐมบทแห่งการสานสัมพันธ์ แต่หากเชื่อตามพระดำรัสของพระองค์แล้ว นี่คงจะเป็นการเจรจาที่นำไปสู่ผลลัพธ์อันเลวร้ายที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้
“วิลส่งสาส์นมา เห็นทีจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญกระมัง”
“อา ใช่สิขอรับ เจ้าตัวยุ่งนั่นเขียนอะไรทำนองว่าพวกครูเสดมันร้ายกาจนักอะไรเทือกนั้นมาด้วยนี่นา ให้ตายเถอะ ยังเป็นแค่นักเรียนอยู่แท้ๆ เหตุใดจึงไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องไม่เป็นเรื่องมากมายถึงเพียงนั้นกันหนอ—”
แย่จริงเชียว โอรสหนุ่มพึมพำพลางยกหัตถ์ขึ้นเสยพระเกศาแดงเพลิงที่ปลิวไสวไปตามแรงลม
“—แต่ว่า วิลน่ะมันหัวดีไม่เหมือน ‘พวกเรา’ จริงๆ นะขอรับ คำพูดของเจ้านั่นน่าเชื่อถือกว่าพวกขุนน้ำขุนนางไม่ได้เรื่องเป็นไหนๆ ถ้าเจ้านั่นพูดมาอย่างจริงจังล่ะก็ ก็คงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละขอรับ”
“อืม”
พระบิดาพยักพระพักตร์รับ ขณะทรงนึกถึงใบหน้าของโอรสอีกคน ผู้ซึ่งถึงแม้จะมีความคิดเพ้อฝันฟุ้งซ่านอยู่บ้าง แต่ก็เฉลียวฉลาดหลักแหลม แล้วจึงทรงตัดสินพระทัย
“เห็นทีจะต้องเตรียมตัวรับศึกเสียแล้ว กลับสปาด้ากันเถอะ”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
สองพ่อลูกหันกายจากไปจากที่แห่งนั้น
นามของพระบิดาคือ เลออนฮาร์ท ทริสตัน สปาด้า กษัตริย์องค์ปัจจุบันแห่งสปาด้า ผู้ทรงดำรงสมญานาม ‘ราชันย์ดาบ’
นามของโอรสคือ ไอเซนฮาร์ท ทริสตัน สปาด้า โอรสองค์โตของกษัตริย์และทรงเป็นรัชทายาทผู้มีสิทธิ์สืบราชบัลลังก์ลำดับที่หนึ่ง
ผู้ที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งสงครามกับกองทัพครูเสดเป็นคนแรกในบรรดาชาวสปาด้าทั้งปวง น่าประหลาดนักที่เป็นองค์กษัตริย์ผู้ปกครองประเทศนั่นเอง
Translater : Eidolonwww.nekopost.net/editor/78229
MANGA DISCUSSION