บทที่ 209: จงฟันผู้หญิงคนนั้นซะ
ในที่สุดปาร์ตี้นักผจญภัยที่นำโดยโจท หนุ่มน้อยวอร์แคทเผ่าคนครึ่งแมว ก็สามารถเคลียร์เควสต์เงื่อนไขสุดท้ายเพื่อเลื่อนขึ้นสู่แรงก์ 4 ได้สำเร็จ
หลังจากต่อสู้อย่างดุเดือดจนปราบมอนสเตอร์ลงได้ เมื่อเก็บชิ้นส่วนที่เป็นหลักฐานการปราบเสร็จสิ้น ดวงอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยต่ำลงแล้ว จึงตัดสินใจว่าจะเดินทางกลับสปาดาในเช้าวันรุ่งขึ้น
สมาชิกปาร์ตี้ต่างส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีที่จะได้เลื่อนขึ้นสู่แรงก์ 4 ที่ตั้งตารอคอยมานาน ทว่า สีหน้าของโจทผู้เป็นหัวหน้ากลับดูไม่สู้ดีนัก
“เป็นอะไรไปน่ะโจท ปกติแกน่าจะโวยวายเรื่องเพลงดาบของฉันนู่นนี่นั่นจนน่ารำคาญไม่ใช่รึไง”
คำพูดของนักดาบสาวเผ่าลาเมียฟังดูเหมือนประชดประชัน แต่ก็แฝงไปด้วยความเป็นห่วงโจทที่ดูไม่เป็นปกติเหมือนเคย
ถึงจะบอกว่าสีหน้าไม่ดี แต่ในการต่อสู้กับมอนสเตอร์ เขาก็เพิ่งจะเหวี่ยง ‘ดาบเขี้ยว [อสูรตะกละ]’ ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ และแสดงฝีมือได้อย่างยอดเยี่ยมสมกับเป็นหัวหน้า ดูแล้วไม่น่าจะป่วยไข้ได้ป่วยอะไร
ยิ่งกว่านั้น ความเป็นไปได้ที่จะโดนโจมตีด้วยสถานะผิดปกติ [แบดสเตตัส] อย่างพิษก็ไม่มี เพราะมอนสเตอร์ในครั้งนี้ไม่มีคุณสมบัติเช่นนั้น
“อืม… อา… ดูเหมือนจะเหนื่อยนิดหน่อย”
ดูเหมือนสติสัมปชัญญะจะยังชัดเจนดี แต่ดวงตาที่ดูเลื่อนลอยของเขากลับยิ่งกระตุ้นความกังวลของเธอ
“เหรอ งั้นก็รีบไปพักซะสิ เดี๋ยวฉันอยู่ยามเป็นคนสุดท้ายให้เอง”
ในการต่อสู้ครั้งนี้ มอนสเตอร์เป็นศัตรูที่แข็งแกร่ง สามารถปล่อยเวทมนตร์หลายธาตุออกมาได้อย่างต่อเนื่อง
การที่โจทผู้ครอบครอง ‘ดาบเขี้ยว [อสูรตะกละ]’ ซึ่งสามารถทำให้เวทมนตร์พื้นๆ ไร้ผลได้อย่างสมบูรณ์แบบ แสดงฝีมือได้โดดเด่นกว่าปกติ ถือเป็นความจริงที่สมาชิกทุกคนในปาร์ตี้ยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
คงไม่แปลกใจเลยหากการต่อสู้อันดุเดือดในวันนี้จะทำให้แม้แต่โจทเองก็เหนื่อยล้าอย่างมาก
“อา… โทษทีนะ”
พูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น โจทก็หายเข้าไปในเต็นท์
หลังจากนั้น เวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้วก็ไม่รู้ จู่ๆ โจทก็ลืมตาตื่นขึ้น
ไม่สิ มันเป็นสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นที่พร่าเลือนจนแยกไม่ออกว่าเป็นความฝันหรือความจริง คงจะเรียกว่าตื่นเต็มตาไม่ได้กระมัง
เขาครุ่นคิดด้วยสมองที่ยังคงงัวเงียอยู่กว่าครึ่ง
(อา ให้ตายสิ เอาอีกแล้วเหรอ—)
ความรู้สึกตอนตื่นนอนนั้นเลวร้ายที่สุด เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงความโกรธที่กำลังเดือดพล่านขึ้นมาจากส่วนลึกของอก
พักหลังมานี้ เขามักจะรู้สึกโกรธอย่างรุนแรงในช่วงก่อนหรือหลังตื่นนอน
โจทคิดว่าตัวเองคงจะฝันถึงเรื่องอะไรสักอย่างที่มันน่าโมโหอย่างสุดขั้ว แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหาเท่าไรนัก
และถ้าจะให้เปรียบเทียบ วันนี้ก็คงจะเป็น ‘เหมือนเช่นเคย’ ที่เขาฝันถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว
(โคตรจะรู้สึกแย่เลยว่ะ…)
มันโมโหอย่างไม่มีเหตุผล ไม่สิ เรียกว่าเป็นความโกรธแค้นรุนแรงจนแทบอยากจะฆ่าคนเลยก็ว่าได้ การที่ต้องมาเจอความรู้สึกแบบนี้บ่อยๆ เพราะความฝัน มันช่างเหลือทนจริงๆ
ยิ่งกว่านั้น วันนี้ยังเป็นวันที่น่าจดจำ เพราะเพิ่งจะปราบมอนสเตอร์เพื่อเลื่อนขั้นเป็นแรงก์ 4 ได้สำเร็จ เขาจัดการมอนสเตอร์ได้ด้วยฝีมืออันยอดเยี่ยมของตัวเอง สมาชิกในทีมก็ไม่มีใครตายหรือบาดเจ็บสาหัสเลยแม้แต่น้อย
วันมงคลแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ แต่ทว่า… เขากลับฝัน ฝันถึงมันจนได้
(อา ให้ตายสิ ให้ตายสิวะ! แม่งเอ๊ยอะไรวะเนี่ย อย่ามาล้อเล่นกันนะโว้ย ไอ้ความฝันที่โคตรจะน่าขยะแขยงนี่!!)
ขณะที่ความโกรธนั้นทำให้หัวขาวโพลนไปหมด มือของโจทก็คว้าไปจับด้าม ‘ดาบเขี้ยว [อสูรตะกละ]’ ที่วางอยู่ข้างตัวโดยอัตโนมัติ
ในตอนนั้นเอง ‘ความฝันที่เคยไม่ค่อยเข้าใจ’ ก็เปลี่ยนเป็น ‘ความฝันที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน’
ณ ที่นั้น ปรากฏภาพของถนนหนทางที่ดูเหมือนจะพบเห็นได้ทั่วไป
ท้องฟ้าสีครามสดใส สองข้างทางคือป่าไม้เขียวชอุ่มทึบ ภูเขาลูกใหญ่ที่เห็นอยู่ไกลๆ นั่นคงจะเป็นเทือกเขากาลาฮัดกระมัง
โจทกำลังก้มมองซากศพของ ‘พวกพ้อง’ ที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
ไม่สิ ไม่ใช่แค่พวกพ้องคนเดียว ถ้าจะให้ถูกก็คือ ‘เหล่า’ พวกพ้อง
ใช่แล้ว บนถนนสายนี้มีซากศพนอนตายเกลื่อนกลาดอยู่มากมาย
(บัดซบ… ไม่ให้อภัยแน่… กล้าดียังไงมาฆ่าพวกพ้องของข้า—)
นักดาบและนักธนูเผ่าคนครึ่งสัตว์เหล่านี้ เขาไม่เคยพบ ไม่เคยเห็นหน้า หรือแม้แต่รู้จักชื่อ แต่โจทกลับรู้สึกว่าพวกเขาคือพวกพ้องของ ‘ข้า’ อย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่ให้อภัย ไม่มีทางให้อภัยได้ ปาร์ตี้นักผจญภัยนี้ไม่ใช่กลุ่มที่เพิ่งจะรวมตัวกันเฉพาะกิจ แต่เป็นพวกพ้องที่ไว้ใจได้ ซึ่งร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานหลายปี ผ่านพ้นวิกฤตการณ์มานับไม่ถ้วน การที่พวกเขาถูกฆ่าตายอย่างง่ายดายเช่นนี้ จะให้อภัยได้อย่างไร
ยิ่งกว่านั้น พวกเขาไม่ได้ถูกฆ่าตายธรรมดาๆ
ซากศพทุกร่างมีร่องรอยการถูกทำลายอย่างหนัก เห็นได้ชัดว่าถูกโจมตีเกินความจำเป็น ถูกทรมานจนตาย
ใคร ใครเป็นคนฆ่าพวกพ้องของข้า—โจทมองหาคนร้ายด้วยแววตาอาฆาต
(อา ใช่แล้ว แกนั่นเอง แกเป็นคนทำ)
เป้าหมายที่จะระบายความแค้นนี้ ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาแล้วเมื่อรู้สึกตัว
เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
เผ่าพันธุ์มนุษย์ อายุราวๆ สิบปลายๆ ผมสีชมพู สวมเสื้อผ้าที่เน้นสีขาวแต่เปิดเผยเนื้อหนังอย่างโจ่งแจ้ง ประดับประดาด้วยเครื่องประดับแวววาวจนแทบจะล้นตัว เป็นผู้หญิงแบบนั้น
(ต้องฆ่ามัน ฆ่ามันให้ได้ ผู้หญิงคนนี้เท่านั้น ที่ข้าต้องฆ่ามันให้ได้อย่างเด็ดขาด!)
เมื่อรับรู้ถึงศัตรูที่ชัดเจน จิตสังหารทั้งหมดก็พุ่งเป้าไปที่จุดเดียว
ผู้หญิงคนนั้นนั่งหันหลังให้อย่างไม่ระวังตัว
ฆ่าได้ นี่เป็นโอกาส โอกาสทอง
และในมือของข้าก็มี ‘ดาบเขี้ยว [อสูรตะกละ]’ ดาบคู่ใจที่ ‘ใช้มานานนับสิบปี’ อยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะฆ่ามันไม่ได้—ความคิดเช่นนั้นแล่นผ่านสมองในชั่วพริบตา
(ตายซะ! ตายซะ! ตายไปซะะะะะะะะะะะะะะ!!)
ร่างกายเบาหวิวราวกับขนนก กระโดดขึ้นไปในอากาศ คมดาบเขี้ยวขนาดมหึมาที่เงื้อขึ้นนั้นไม่รู้สึกถึงน้ำหนัก ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของแขน
ฟันลงไปสุดแรง ไม่ได้ใช้เพลงดาบหรืออะไรทั้งสิ้น เป็นเพียงการฟันลงไปอย่างรุนแรงด้วยพละกำลังล้วนๆ
ไม่มีอุปสรรคใดๆ ในการฟันร่างเล็กๆ ของผู้หญิงที่นั่งหันหลังให้ขาดสะบั้น
ความรู้สึกที่หนักแน่นส่งผ่านมายันมือ สัมผัสของการตัดผ่านเนื้อและกระดูกอย่างง่ายดาย
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ! สำเร็จ! ข้าทำสำเร็จแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยย!!”
โจทคำรามก้องประกาศชัยชนะ และในชั่วขณะนั้นเอง เขาก็สะดุ้งตื่น
“เฮียะฮ่าๆๆๆ—เอ๊ะ?”
เมื่อได้สติกลับคืนมา โจทก็ตระหนักได้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ในความฝัน หรือแม้แต่ในเต็นท์ที่นอนหลับอยู่ด้วยซ้ำ
“อ้าว… ข้า…”
เขามองไปรอบๆ ภาพของต้นไม้ยักษ์ในป่าใหญ่ลาติฟุนเดียเรียงรายอยู่ แต่ที่นี่น่าจะเป็นที่ที่พวกเขาตั้งเต็นท์เพื่อพักค้างคืนอย่างแน่นอน
ณ จุดนั้นเอง เขาก็รู้สึกถึงน้ำหนักที่คุ้นเคยบนแขนขวา ดูเหมือนว่าเขาจะยังคงกำ ‘ดาบเขี้ยว [อสูรตะกละ]’ แน่นเหมือนในความฝัน
แล้วเขาก็เห็นเลือดสีแดงคล้ำเกรอะกรังอยู่บนคมดาบเขี้ยวสีขาวขนาดมหึมานั้น
“เอ๊ะ… ฮะ… อะไรวะเนี่ย—”
ข้าฟันอะไรไปกันแน่? คำตอบของคำถามนั้น อยู่แทบเท้าของเขาเอง
ผู้ที่นอนคว่ำหน้าอยู่คือ นักดาบสาวเผ่าลาเมีย
ไม่ต้องคิดเลยว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ร่างของเธอถูกฟันเฉียงตั้งแต่หัวไหล่จนถึงเอว แยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์
ถ้าเป็นมอนสเตอร์ไร้รูปร่างอย่างสไลม์ก็ว่าไปอย่าง แต่เผ่าพันธุ์ที่มีรูปร่างเป็นมนุษย์ถูกฟันร่างขาดสองท่อน ไม่มีทางรอดชีวิตไปได้แน่
ตายทันที มองปราดเดียวก็ตัดสินได้ ยิ่งเป็นนักผจญภัยด้วยแล้ว ยิ่งเข้าใจได้เร็วกว่าใคร
“อะ… เฮ้ย… ไม่จริงน่า… อะไรวะ… นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย”
โจทเข้าใจได้อย่างช่วยไม่ได้ ว่าตนเองเป็นคนฆ่าเธอด้วยมือคู่นี้
“โว้ววววอ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!”
ขณะที่เขากุมหัวแล้วกรีดร้องออกมา สมาชิกคนอื่นๆ ในปาร์ตี้ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติและวิ่งออกมาจากเต็นท์
“เฮ้ย เป็นอะไรไปวะ!?”
“มอนสเตอร์รึเปล่า!?”
“มอนสเตอร์อยู่ไหน!?”
นักธนูเผ่าการ์กอยล์และนักบวชก็อบลินฝาแฝดปรากฏตัวขึ้นพร้อมอาวุธในมือ รีบกวาดตามองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว
และภายในเวลาไม่กี่วินาที พวกเขาก็เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า แม้จะเป็นภาพที่น่าเหลือเชื่อ แต่ก็คือภาพการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นจริง
“เฮ้ยโจท นี่มัน… เรื่องอะไรกันวะเนี่ย?”
ลาเมียที่ถูกฟันร่างขาดสองท่อน โจทที่ยืนอยู่ข้างๆ ถือดาบใหญ่เปื้อนเลือด ใครเห็นก็ต้องเข้าใจความสัมพันธ์นี้ได้ไม่ยาก
“มะ… ไม่ใช่…”
โจทยังคงเบือนหน้าหนีจากพวกเขา พึมพำคำปฏิเสธออกมาแผ่วเบา
“มะ… ไม่ใช่อะไรเล่า!? ไม่ใช่แกเป็นคนทำรึไง!?”
การ์กอยล์ตะโกน หากคนที่ฆ่าพวกพ้องยืนอยู่ตรงหน้า การที่จะง้างคันธนูในมือขึ้นเล็งโดยอัตโนมัติก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว แต่ถ้าคนร้ายคนนั้นก็เป็นพวกพ้องคนหนึ่งเช่นกัน การที่ทำได้เพียงแค่ตะโกนออกมาก็อาจจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
“ไม่ใช่—ผู้หญิงคนนี้ มันไม่ใช่!”
แววตาของโจทที่หันกลับมานั้น ไม่มีประกายของสติปัญญาหลงเหลืออยู่เลย
แต่กลับมีแสงสีแดงฉานอันบ้าคลั่งส่องประกายวาวโรจน์อยู่แทน
“นะ… เจ้า—”
ณ จุดนั้นเอง ในที่สุดการ์กอยล์และก็อบลินฝาแฝดก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง
ไม่ทราบสาเหตุ แต่โจทที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ไม่ว่าจะติดสถานะผิดปกติ [แบดสเตตัส] แบบไหนก็ตาม เขาได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไปโดยสมบูรณ์แล้ว
การที่สามารถตัดสินใจเช่นนั้นได้ในทันที คงเป็นเพราะพวกเขามีฝีมือในฐานะนักผจญภัยที่ไต่เต้าขึ้นมาถึงแรงก์ 4 แล้วนั่นเอง
“ตั้งท่า! โจทมันไม่ไหวแล้ว! ระวังตัวด้วย! ดูซิว่ารอบๆ มีมอนสเตอร์ที่ใช้เสน่ห์ [ชาร์ม] หรือคลุ้มคลั่ง [เบอร์เซิร์ก] อยู่รึเปล่า!!”
นักธนูการ์กอยล์ตะโกนพลางดึงคันธนูแล้วกระโดดถอยหลังเพื่อทิ้งระยะห่างจากโจท
ทว่า การที่ทุกคนยืนอยู่ในระยะ 3 เมตรจากโจทในตอนแรกนั้น ถือเป็นสถานการณ์ที่สิ้นหวังอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากคลาสของพวกเขา
ทั้งนักธนูและนักบวช ต่างก็เชี่ยวชาญการต่อสู้จากแนวหลัง ระยะประชิดไม่เกิน 3 เมตรนั้น ถือเป็นอาณาเขตของนักดาบอย่างโจท
“แกก็เป็นพวกเดียวกับนังผู้หญิงคนนั้นเรอะะะะะะ!!”
โจทบิดเบี้ยวใบหน้าด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เหวี่ยงดาบใหญ่ด้วยจิตสังหารและเจตนาประสงค์ร้ายอย่างเต็มเปี่ยม
ยิ่งกว่านั้น การก้าวเท้าของเขาก็เร็วกว่าและทรงพลังกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด
“กุเกี๊ยกกก!”
โดยไม่เข้าใจความหมายของคำพูดที่โจทตะโกนออกมา นักบวชก็อบลินฝาแฝดคนหนึ่งก็ถูกฟันล้มลงในดาบเดียว
ไม่มีช่องให้โต้กลับ เป็นเพลงดาบที่ยอดเยี่ยม
ไม่สิ ต่อให้สามารถโต้กลับได้ ในเมื่อเป็นนักบวช การโจมตีหลักก็คือเวทมนตร์ ซึ่งเข้ากันไม่ได้อย่างร้ายแรงกับ [อสูรตะกละ]
ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้จะเลือกใช้ไม้เท้าเรียวเล็กในมือทุบตี ก็คงไม่ยากที่จะจินตนาการได้ว่ามันจะถูกฟันขาดเป็นสองท่อนพร้อมกับด้ามจับ
“ให้ตายสิ ทำไมถึงเป็นแบบนี้—”
“นังผู้หญิงคนนั้นมันน่าให้อภัย! พวกพ้องของมันก็น่าให้อภัย! พวกแกทุกคนต้องตายให้หมดดดดดดดดด!!”
ความแตกต่างของกำลังรบและความได้เปรียบเสียเปรียบนั้นช่างสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด
ด้วยการ์กอยล์และก็อบลินที่เหลืออยู่เพียงสองคน ไม่มีหนทางใดที่จะรอดชีวิตไปได้ในสถานการณ์เช่นนี้
ยิ่งเมื่อพละกำลังและความเร็วเพิ่มขึ้นเหมือนกับอยู่ในภาวะคลุ้มคลั่ง [เบอร์เซิร์ก] ด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ผลก็คือ ภายในเวลาไม่ถึงห้านาที บริเวณที่ตั้งค่ายพักแรมแห่งนั้นก็มีซากศพนอนตายเกลื่อนกลาดอยู่สี่ร่าง
และฆาตกรที่เหลือรอดอยู่เพียงคนเดียว ก็ถือดาบใหญ่เปื้อนเลือดเดินเข้าไปในป่าทึบ
“อยู่ไหน… นังผู้หญิง… อยู่ไหนกันแน่… ยัยสารเลว…”
โจทผู้ตามล่าหาศัตรูคู่แค้น… ไม่สิ ตอนนี้ควรจะเรียกว่าอดีตเจ้าของดาบใหญ่กระมัง… ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ปลายทางที่เขาผู้ถือดาบอสูรต้องสาปมุ่งหน้าไปนั้น ก็คือเมืองสปาดาที่ผู้คนมากมายอาศัยอยู่อย่างน่าประหลาด
Translater : Eidolonwww.nekopost.net/editor/78229
MANGA DISCUSSION