บทที่ 182 – กฎของนักผจญภัย
[หัวใจจำลอง (อิมิเทชั่นฮาร์ท)] ซึ่งเป็นหลักฐานการปราบสเกเลตันนั้น แม้ชื่อจะเขียนว่าหัวใจ แต่ชิ้นส่วนนี้ก็ไม่ได้เต้นตุบๆ อยู่ในอกซ้ายแต่อย่างใด
สิ่งที่อยู่ตรงนั้นคือภายในกะโหลกศีรษะต่างหาก และผลึกที่คล้ายกับคอร์ของสไลม์นี้จะเปล่งแสงคล้ายเปลวไฟออกมา ทำให้เกิดประกายแสงอันน่าขนลุกสั่นไหวอยู่ในเบ้าตาของหัวกะโหลกนั่นเอง
มิโนทอร์สเกเลตันเองก็มี [หัวใจจำลอง (อิมิเทชั่นฮาร์ท)] อยู่ภายในกะโหลกวัวเช่นเดียวกัน ดังนั้นผมจึงเก็บมันมาโดยคิดว่าคงจะเป็นหลักฐานการปราบได้กระมัง
พวกเราผู้ซึ่งได้หลักฐานโครงกระดูก 17 ชิ้น กับวัว 1 ชิ้นมาเป็นของรางวัลใหม่เพิ่มเติม ในที่สุดก็สามารถก้าวเท้าขึ้นสู่บันไดขึ้นได้โดยไม่มีอะไรมาขัดขวางเสียที
“ยาวน่าดูเลยแฮะ”
พอเริ่มปีนขึ้นไปจริงๆ ก็พบว่ามันเป็นบันไดเวียนที่ขดตัวเป็นวงขนาดใหญ่
เนื่องจากมันโค้งไปอย่างช้าๆ ทำให้มองไม่เห็นปลายทางเลยแม้แต่น้อย และไม่รู้เลยว่าจะต้องปีนต่อไปอีกนานเท่าไหร่
อย่างน้อยที่สุด ตั้งแต่เข้ามาในดันเจี้ยนนี้ ก็น่าจะเป็นบันไดที่ยาวที่สุดแล้วกระมัง
แถมยัง ในตอนที่กำลังเดินไปตามบันไดหรือทางเดินแบบนี้ พวกสเกเลตันที่ไม่รู้จักกาละเทศะก็ยังอาจจะผุดออกมาจากที่ไหนสักแห่งแล้วโจมตีประกบหน้าหลังได้อีกต่างหาก สถานที่ที่เรียกว่าดันเจี้ยนเนี่ยประมาทไม่ได้เลยจริงๆ
“หืม”
“มีอะไรเหรอ?”
ลิลี่ที่เดินเกาะติดอยู่ข้างๆ ผมเอ่ยถามขึ้น
“ได้ยินเสียงน่ะ ข้างหน้านี้คงจะมีใครกำลังสู้กันอยู่กระมัง”
ดูเหมือนลิลี่กับฟิโอน่าจะยังไม่ได้ยิน แต่หลังจากเดินต่อไปอีกไม่กี่เมตร เสียงนั้นก็ดังชัดเจนขึ้นจนทั้งสองคนได้ยินเช่นกัน
“นี่กำลังสู้กันอยู่จริงๆ ด้วยนะคะ”
เสียงดาบปะทะกันและเสียงระเบิดต่อเนื่องดังเข้ามา
สามารถคาดเดาได้อย่างง่ายดายว่าน่าจะเป็นปาร์ตี้ที่มีสมดุลดี ซึ่งประกอบด้วยทั้งนักดาบและจอมเวทกำลังต่อสู้อยู่
เมื่อพิจารณาจากชั้นที่อยู่แล้ว คู่ต่อสู้ก็น่าจะเป็นกองทัพสเกเลตันกระมัง
“จะว่าไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่มาเจอกับนักผจญภัยคนอื่นในดันเจี้ยนแบบนี้น่ะ”
“อย่างนั้นเหรอคะ?”
ผมพยักหน้าพลางนึกไปว่า ดันเจี้ยนหลักที่ผมทำกิจกรรมร่วมกับลิลี่มาจนถึงตอนนี้ มีเพียงสวนแฟรี่เท่านั้นเอง หากโชคไม่ดีจริงๆ ล่ะก็ ในป่าอันกว้างใหญ่ขนาดนั้น การจะไปเจอกับนักผจญภัยที่อยู่แถวหมู่บ้านซึ่งมีจำนวนน้อยอยู่แล้วนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
แต่ ในดันเจี้ยนแบบนี้ที่ถึงจะกว้างใหญ่ แต่เมื่อเทียบกับพื้นที่ธรรมชาติแล้วก็ยังถือว่าแคบกว่ามากอยู่ดี ประกอบกับจำนวนนักผจญภัยจำนวนมากที่มาจากเมืองใหญ่อย่างสปาด้าแล้ว การจะมาเจอเข้ากับปาร์ตี้หลายๆ กลุ่มในสถานที่จริงก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
การที่ต้องมาเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ต้องพบปะกับผู้อื่นเช่นนี้ อาจจะเรียกว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาเสียด้วยซ้ำ
“ถ้าจำไม่ผิด กฎของนักผจญภัยคือการไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวสินะ”
“ใช่แล้วค่ะ การเข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยไม่จำเป็นอาจจะทำให้ลำบากได้นะคะ”
แค่โดนหาเรื่องก็นับว่ายังดีไปกระมัง
ในบางกรณี เช่น ระหว่างที่กำลังต่อสู้กับมอนสเตอร์อยู่ หากเผลอเข้าไปช่วยโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ก็อาจจะถูกผลักภาระการต่อสู้กับมอนสเตอร์ตัวนั้นมาให้หน้าตาเฉยเลยก็ได้ ซึ่งก็คือ MPK (Monster Player Killer) ในชีวิตจริงดีๆ นี่เอง
ช่างเป็นการกระทำที่ไร้ซึ่งบุญคุณหรือความชอบธรรมใดๆ ทั้งสิ้น แต่หากตกอยู่ในสถานการณ์ที่ปาร์ตี้กำลังจะล่มสลายจริงๆ แล้วล่ะก็ การผลักภาระไปให้ผู้อื่นแล้วหนีเอาตัวรอด ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องในฐานะนักผจญภัยที่ให้ความสำคัญกับการเอาชีวิตรอดเป็นอันดับแรกกระมัง
หรือควรจะเรียกว่า เป็นความรับผิดชอบของตัวเองสำหรับผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือโดยไม่ดูตาม้าตาเรือกันแน่นะ
“ถ้างั้นก็เมินๆ ไปก็แล้วกัน”
“ค่ะ”
“ค่า!”
ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่พอถึงเวลาเจอเข้ากับปาร์ตี้ที่ใกล้จะถูกทำลายล้างอยู่ตรงหน้าจริงๆ แล้ว ผมจะสามารถเมินเฉยโดยไม่รู้สึกผิดอะไรเลยได้จริงๆ รึเปล่านะ ผมเองก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่
หากได้เห็นเหล่านักผจญภัยที่กำลังจะตายไปต่อหน้าต่อตาเข้าล่ะก็ ผมคงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงวัลแคนและคนอื่นๆ ที่ผมช่วยไว้ไม่ได้ขึ้นมาแน่ๆ
ไม่สิ อย่าไปคิดเรื่องนั้นอีกเลย ผมส่ายหัว แล้วก็ยังคงปีนบันไดขึ้นไปอย่างเงียบๆ ต่อไป
.
.
.
ปลายทางของบันไดที่ปีนขึ้นมาจนสุดนั้น คือห้องโถงที่มีโครงสร้างคล้ายกับจุดเริ่มต้น
เพียงแต่รู้สึกว่ามันเล็กกว่าห้องข้างล่างอยู่สักสองเท่ากระมัง
และ ในห้องโถงนี้ ก็มีร่างของเหล่านักผจญภัย ปาร์ตี้แรกที่พวกเราเจอในสถานที่จริงอยู่ตามคาด
“อะ”
ผมเผลอส่งเสียงประหลาดใจออกมา
“—หืมม?”
หรืออาจจะเพราะเสียงของผมเป็นเหตุ นักผจญภัยคนหนึ่งก็หันมาทางนี้
ดูเหมือนว่าการต่อสู้ของปาร์ตี้นั้นจะจบลงก่อนที่พวกเราจะมาถึงที่นี่แล้ว ตอนนี้พวกเขาอยู่ในระหว่างการเก็บเกี่ยว [หัวใจจำลอง (อิมิเทชั่นฮาร์ท)] จากการทุบหัวกะโหลกอยู่
ท่ามกลางนั้น นักผจญภัยที่หันมาทางผมคือนักดาบวอร์แคทเผ่าแมวป่า สวมใส่เกราะเบา
ถึงจะมีผมอยู่ แต่หน้าตาของเผ่าแมวป่าผมก็ยังแยกแยะไม่ค่อยออกอยู่ดี แต่เมื่อเห็นดาบใหญ่ยักษ์ที่เขาถืออยู่ในมือแล้ว ผมก็สามารถระบุตัวตนได้ในทันที
ใช่แล้ว สิ่งที่เจ้านี่ถืออยู่คือ [ดาบเขี้ยว-เขมือบปิศาจ] ดาบคู่ใจของวัลแคนอย่างไม่ต้องสงสัย นั่นก็หมายความว่า หมอนี่คือ เอ่อ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อ จอร์ท นักผจญภัยแรงค์ 3 คนนั้นสินะ
“เฮ้ย”
ผมเผลอจ้องดาบเขม็งไปหน่อย นักดาบแมวจอร์ทจึงเอ่ยปากทักขึ้นมา
“แกน่ะ แรงค์ 1 สินะ? มาทำอะไรแถวนี้วะ?”
แท้จริงแล้วจอร์ทจำเรื่องที่เคยเจอผมที่ร้านอาวุธมอลเดร็ดได้รึเปล่านะ ผมแยกไม่ออกเลยแฮะ แต่ว่า ช่างมันเถอะ จะทางไหนก็คงไม่สำคัญหรอกน่า
“ไม่ครับ พวกเราแรงค์ 2 แล้ว”
“จริงดิ? ทั้งๆ ที่เป็นจอมเวทฝึกหัดเนี่ยนะ?”
ผมควรจะเลิกใส่เสื้อคลุมนี่ดีไหมนะ……
ไม่สิ ไม่ได้หรอกน่า ถ้าถอดแม้กระทั่งเสื้อคลุมออกไปแล้วล่ะก็ คงจะไม่ได้ถูกมองว่าเป็นแค่นักผจญภัย แต่คงจะถูกมองเป็นแค่คนธรรมดาไปเลย
“หึ ดูจากสภาพแล้วก็คงจะเพิ่งขึ้นแรงค์ 2 มาหมาดๆ สินะ? อย่าได้ใจแล้วมุดลงไปชั้นลึกๆ ล่ะ เดี๋ยวก็ได้ตายหรอก”
เป็นคำพูดที่แยกได้ยากว่าเป็นคำเหน็บแนมหรือคำเตือนในฐานะรุ่นพี่กันแน่
บางทีจากบรรยากาศของชายคนนี้แล้วน่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่ากระมัง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาโมโหแล้วโต้เถียงอะไรกลับไป
“พวกเรากำลังจะกลับแล้ว ไม่ลงไปข้างล่างหรอกครับ”
“งั้นเหรอ แต่ก็โชคดีไปนะ ชั้นที่พวกแกเพิ่งจะปีนขึ้นมาเมื่อกี้น่ะ—“
จอร์ทพูดพลางชี้ไปยังทางเข้าบันไดเวียนที่เปิดปากอ้าดำมืดราวกับขุมนรก
“—นานๆ ทีจะมีมิโนทอร์ซอมบี้โผล่ออกมาด้วยนะเฟ้ย ระดับแรงค์ 2 น่ะรับมือไม่ไหวหรอก แค่เพราะเลื่อนแรงค์แล้วอย่ามัวแต่ได้ใจล่ะ ไม่งั้นได้ตายจริงๆ นะจะบอกให้?”
จอร์ทแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แต่การที่อุตส่าห์เตือนเรื่องมิโนทอร์ซอมบี้ให้ ก็อาจจะมีความหมายเตือนในฐานะรุ่นพี่รวมอยู่ด้วยจริงๆ ก็ได้กระมัง
“ขอบคุณสำหรับคำเตือนครับ”
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปขอบคุณจากใจจริงอะไร ผมจึงตอบกลับไปอย่างเรียบเฉยแล้วเดินผ่านห้องโถงไป
จากด้านหลัง มีเสียงของผู้หญิงคนเดียวกับที่เคยมาเรียกเขาที่ร้านขายอาวุธดังขึ้นมาว่า “นี่ อย่ามัวแต่หาเรื่องมือใหม่สิ มาช่วยทางนี้หน่อยสิยะ!”
ตอนนั้นผมมองไม่เห็นร่างของเธอ แต่พอมาเห็นที่นี่แล้วก็อดที่จะประหลาดใจเล็กน้อยไม่ได้
เพราะว่า ท่อนล่างของเธอนั้นเป็นงู! เธอคือลาเมียนั่นเอง!
ผมเผลอนึกถึงอาเท็นขึ้นมาแวบหนึ่ง แล้วก็คิดไปว่าหรือปาร์ตี้ของจอร์ทจะมีองค์ประกอบเหมือนกับ [อิลส์เบลดเดอร์] กันนะ แต่ดูเหมือนว่าเผ่าพันธุ์ที่ซ้ำกันจะมีเพียงแค่สองคนนี้เท่านั้น
นอกนั้นก็มีนักบวช (เคลริค) ก็อบลินสองคน กับพลธนูการ์กอยล์ รวมทั้งหมดเป็น 5 คน จำนวนสมาชิกก็แตกต่างจาก [อิลส์เบลดเดอร์] อยู่ดี
ถึงจะไม่รู้ว่าใครเป็นหัวหน้าปาร์ตี้ แต่จอร์ทที่เป็นวอร์แคทนั้นเป็นนักดาบ ส่วนผู้หญิงลาเมียเองก็มีดาบโค้ง (ซิมีทาร์) สองเล่มเหน็บอยู่ที่เอว ดูแล้วก็น่าจะเป็นนักดาบเหมือนกัน
ก็อบลินสองคนที่ดูหน้าตาเหมือนกันจนแยกไม่ออกนั้น จากชุดที่แตกต่างจากเสื้อคลุมจอมเวทเล็กน้อย เป็นชุดสีขาวเป็นหลักที่ชวนให้นึกถึงนักบวชของครูเสดเดอร์ กับไม้เท้าที่ทำจากไม้เนื้อแข็งบิดเบี้ยวในมือนั้น ต่อให้เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกก็สามารถแยกแยะได้ทันทีว่าเป็นนักบวช (เคลริค)
เผ่าพันธุ์ที่เรียกว่าการ์กอยล์ ซึ่งมีปีกค้างคาวงอกออกมาจากแผ่นหลัง และมีรูปร่างอยู่กึ่งกลางระหว่างก็อบลินกับออร์คนั้น ผมเพิ่งจะเคยเห็นที่นี่เป็นครั้งแรก แต่เมื่อดูจากอุปกรณ์ยิงธนูพื้นฐานแล้ว ก็ดูเหมือนจะเป็นนักผจญภัยทั่วไป
เนื่องจากสปาด้ามีสัดส่วนประชากรมนุษย์ค่อนข้างสูง องค์ประกอบปาร์ตี้แบบพวกเขาน่าจะจัดอยู่ในประเภทที่หาได้ยากกระมัง
แต่สำหรับผมแล้ว ภาพลักษณ์ของเดดาลัสที่เผ่าพันธุ์หลากหลายปะปนกันอยู่นั้นมันแข็งแกร่งกว่า ผมจึงรู้สึกถึงความสบายใจบางอย่างเมื่อได้เห็นปาร์ตี้แบบพวกเขา ราวกับนึกถึงพันธมิตรนักผจญภัยขึ้นมา
พอนึกดูแล้ว การที่ดาบของวัลแคนได้กลับไปอยู่ในมือนักผจญภัยแล้วถูกใช้งานต่อไปเรื่อยๆ นั้น บางทีอาจจะเป็นความปรารถนาของเจ้าตัวเองก็ได้กระมัง
ผมครุ่นคิดถึงเรื่องซาบซึ้งเช่นนั้น พลางเดินจากสถานที่นั้นไป
Translater : Eidolonwww.nekopost.net/editor/78229
MANGA DISCUSSION