บทที่ 181 – ปรมาจารย์ธาตุ ปะทะ มอนสเตอร์อันเดด
โฮกกกกก! พร้อมกับเสียงคำรามกึกก้อง ร่างมหึมาของมิโนทอร์ซอมบี้ก็เริ่มพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วราวกับวัวกระทิงคลั่ง แต่ทว่า—
“ฟิโอน่า ฝากวัวนั่นด้วย” (คุโรโนะ)
“صخرة على نطاق واسع لمنع الجدار (กำแพงหินผาป้องกันวงกว้าง) —[เทอร์ร่า วอลเดฟาน]!” (ฟิโอน่า)
ด้วยการร่ายเวทย่ออย่างรวดเร็วของฟิโอน่า การพุ่งชนของมิโนทอร์ซอมบี้ก็ถูกขัดขวางโดย [เทอร์ร่า วอลเดฟาน] ที่ผุดขึ้นมาราวกับพื้นหินยกตัวขึ้นมาเอง!
เสียงปะทะดังสนั่นสะท้านไปทั่วห้องโถง การพุ่งชนนั้นถูกหยุดลงอย่างง่ายดาย!
ไม่สิ ไม่ใช่แค่หยุดการพุ่งชนเท่านั้น [เทอร์ร่า วอลเดฟาน] ที่ถูกใช้งานออกมานั้น ได้กลายเป็นหอคอยหินสูงตระหง่านราวกับจะจรดเพดานทรงโดม เหมือนกับตอนที่เคยใช้ปกป้องลิลี่เพื่อร่ายพลังคุ้มครองไม่มีผิด กักขังมิโนทอร์ซอมบี้ไว้ภายในโครงสร้างอันแข็งแกร่งนั้น!
เสียงวัวกระทิงบ้าคลั่งดังเล็ดลอดออกมาจากอีกฟากของกำแพงหินหนาทึบ แต่สำหรับมิโนทอร์ที่ต่อให้กลายเป็นอันเดดแล้ว จุดเด่นก็มีเพียงพละกำลังอันมหาศาลเท่านั้น การจะพังออกมาจากที่นี่ได้ คงต้องรอจนกว่าผลของเวทป้องกันจะเสื่อมลงตามเวลา
แม้เวลานั้นจะไม่นานนัก เพียงแค่ไม่กี่นาที แต่ว่า—
“พวกโครงกระดูกน่ะ ผมจัดการเอง” (คุโรโนะ)
—มันก็เป็นเวลาที่เพียงพอสำหรับคุโรโนะที่จะส่งพวกทหารโครงกระดูก สเกเลตันโซลเยอร์ ราว 20 ตัว กลับสู่ปรโลกอีกครั้ง
“[เมจิกบุลเล็ตอาร์ตส์] [ฟูลเบิร์สต์] ยิงหมดแม็ก!”
กระสุนสีดำที่ถูกยิงออกไปพร้อมกันนั้น ไม่ใช่ [ฟูลเมทัลแจ็กเก็ต] แบบจำลองที่เคยใช้ตามปกติ แต่เป็นกระสุนทรง [ช็อตเชลล์] ที่ใหญ่กว่าเดิมหนึ่งเท่าและมีปลายแบนราบ เหมือนกับลูกปรายไม่มีผิด!
เนื่องจากสเกเลตันเป็นตัวตนที่มีเพียงโครงกระดูกตามชื่อ จึงไม่มีเนื้อหนังให้ฉีกกระชาก
ดังนั้น หากเป็นการโจมตีทางกายภาพแล้วล่ะก็ วิธีการอย่างการฟันหรือแทงด้วยคมดาบจึงให้ผลน้อย ที่ได้ผลดีคือการโจมตีด้วยแรงกระแทกอันรุนแรงจากอาวุธประเภทกระบอง (เมซ) หรือค้อนศึก (แฮมเมอร์) ต่างหาก
[ฟูลเมทัลแจ็กเก็ต] แบบจำลองนั้น เนื่องจากมีปลายแหลมคมจึงเน้นไปที่พลังทะลุทะลวง แต่หากเป็นกระสุนที่มีหัวกระสุนใหญ่และแบนราบเช่นนี้ล่ะก็ จะสามารถให้ผลกระทบจากการทุบทำลายกระดูกได้ไม่มากก็น้อย!
และแล้ว หัวกระสุนทรงช็อตเชลล์จำนวนมากที่ถูกสาดกระจายออกไป ก็เข้าจู่โจมพวกกองทัพสเกเลตันที่รวมตัวกันพุ่งตรงเข้ามาหาคุโรโนะอย่างดุเดือด!
พลังกระแทกของมันได้รับการพิสูจน์แล้วจากการต่อสู้กับสเกเลตันโซลเยอร์ที่เจอมาก่อนหน้านี้!
พวกที่ไม่มีโล่ชนิดใดๆ อยู่ในมือ ย่อมไม่มีหนทางรับมือกระสุนที่เปรียบเสมือนค้อนขนาดเล็กซึ่งพุ่งเข้าใส่ร่างกระดูกนั้นได้ อีกทั้งยังไม่มีทั้งความเร็วในการตอบสนองและความคล่องแคล่วพอที่จะหลบหลีกได้ทัน!
ผลก็คือ เสียงกระดูกแตกหักดัง เปรี๊ยะๆ พร้อมกับเศษกระดูกสีขาวสกปรกที่ปลิวกระจาย สลายพลังชีวิตจอมปลอมที่มอบชีวิตครั้งที่สองให้กับพวกมันไป!
และแล้ว ขณะที่เหลือบมองเห็นจำนวนราวหนึ่งในสี่ของสเกเลตันที่ปรากฏตัวขึ้นมากลับคืนสู่ธุลีดินไปแล้วนั้น คุโรโนะผู้ถือดาบสองเล่ม ดำและขาว ก็พุ่งเข้าใส่พวก ‘ผู้รอดชีวิต’ ที่โชคดีรอดจากห่ากระสุนทุบกระดูกไปได้ เพื่อกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก!
“[คุโรนางิ]!”
พวกที่ยืนหยัดอยู่ได้เพราะใช้โล่กลม (ราวด์ชิลด์) ของตนเองป้องกันกระสุนไว้ได้อย่างหวุดหวิด, พวกที่โชคดีโดนแค่แขนกับครึ่งหัวหลุดไปเท่านั้น, พวกที่รอดมาได้เพราะร่างของพวกพ้องกลายเป็นโล่กำบังให้—ทั้งสามตัวนั้น ถูกคมดาบต้องสาปอันน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าอันเดดซึ่งอาบด้วยออร่าสีดำแดง ฟาดฟันจนขาดสะบั้นในดาบเดียว!
การที่การฟันไม่มีผลกับสเกเลตันนั้นเป็นสามัญสำนึกของนักผจญภัยที่แม้แต่แรงค์ 1 ก็รู้กันดี แต่หากอาศัยเกรดของอาวุธและเพลงยุทธ์แล้วล่ะก็ ความต้านทานนั้นก็สามารถถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดาย!
ขวานเล่มนี้มีคมดาบที่สามารถตัดผ่านแผ่นเหล็กได้อย่างง่ายดายมาตั้งแต่ก่อนที่จะวิวัฒนาการเสียอีก ต่อให้ไม่ใช้เพลงยุทธ์ร่วมด้วย พลังป้องกันระดับสเกเลตันก็ไม่มีทางที่จะหยุดยั้งมันได้อยู่แล้ว!
“หึ—“
ทันทีหลังจากปล่อย [คุโรนางิ] ออกไป คุโรโนะก็พลิกตัวหลบคมดาบของสเกเลตันที่ฟันเข้ามาอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วใช้คมดาบศักดิ์สิทธิ์สีขาวอีกเล่มในมือ ตอกย้ำการโจมตีสวนกลับเข้าใส่ร่างอันไม่บริสุทธิ์นั้น!
หากพูดถึงความคมหรือประสิทธิภาพของอาวุธล้วนๆ แล้วล่ะก็ มันอาจจะด้อยกว่า [ขวานต้องสาป ฮาระเร็ตสึ] ซึ่งได้วิวัฒนาการไปแล้วขั้นหนึ่ง แต่ทว่า [ดาบมิธริล] นั้น ด้วยอานิสงส์ของพลังเวทสีขาวอันเข้มข้นที่สถิตอยู่ในคมดาบ มันจึงมีความสามารถในการชำระล้างความมืด!
กล่าวคือ สำหรับอันเดดซึ่งมีพลังเวทธาตุมืดเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตแล้ว พลังเวทสีขาวจึงไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากจุดอ่อน เปรียบเสมือนยาพิษร้ายแรงที่เพียงแค่สัมผัสก็ทำให้ร่างสลายไปได้!
ดาบสีขาวที่คุโรโนะเหวี่ยงออกไปอย่างทรงพลังนั้น จึงผ่ากระดูกของสเกเลตันซึ่งควรจะมีความต้านทานต่อการฟันขาดออกเป็นสองท่อนได้อย่างง่ายดายราวกับตัดกระดาษ!
(อืม อย่างที่คิด [ขวานต้องสาป ฮาระเร็ตสึ] ดูเหมือนจะไม่ถูกปากกับ ‘รสชาติ’ ของสเกเลตันเท่าไหร่แฮะ)
คุโรโนะคิดเช่นนั้น ขณะหลบหลีกคมดาบที่พุ่งเข้ามาจากสี่ทิศทาง แล้วฟาดฟันสเกเลตันร่วงลงไปทีละตัวๆ
(คงเป็นเพราะพวกโครงกระดูกมันไม่มีเลือดให้ดูดสินะ……)
ตั้งแต่ตอนที่ไปทำเควสต์ล่าก็อบลินคนเดียว [ขวานต้องสาป ฮาระเร็ตสึ] ก็แสดงสัญญาณว่าจะวิวัฒนาการออกมาแล้ว ด้วยเหตุนั้นเองคุโรโนะจึงพยายามอย่างหนักเพื่อเร่งให้มันวิวัฒนาการเร็วขึ้น
นี่เป็นการคาดเดาส่วนตัวของคุโรโนะ แต่เขาคิดว่าที่เป็นเช่นนั้นคงเป็นเพราะได้อาบเลือดของทหารครูเสดเดอร์หน้าใหม่จำนวนมากในการต่อสู้ป้องกันหมู่บ้านอัลซัส และยิ่งไปกว่านั้นคือการได้ดูดซับเลือดของตัวตนผู้มีพลังระดับสูงอย่างอัครสาวกไปแม้เพียงเล็กน้อยก็ตามที มันจึงเข้าใกล้การวิวัฒนาการในคราวเดียว
ทันทีที่จับขวานในการต่อสู้กับก็อบลินหลังจากการต่อสู้กับไอแล้ว คุโรโนะก็สัมผัสได้ถึงพลังเวทของขวานที่ปั่นป่วนอย่างรุนแรงราวกับมีพลังเหลือล้น เขาจึงคิดว่าความรู้สึกนี้แหละคือลางบอกเหตุของการวิวัฒนาการ
และด้วยความคาดหวังถึงการวิวัฒนาการขั้นต่อไป เขาจึงจงใจใช้ขวานเหวี่ยงฟันแทนที่จะใช้ [ซอร์ดอาร์ตส์] แต่ทว่า ผลลัพธ์ใน [สุสานใต้ดินคืนชีพ – รีไววัลคาตาคอมบ์] ที่มีแต่อันเดดปรากฏตัวออกมานี้กลับไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก
(ช่วยไม่ได้แฮะ ไว้ค่อยคาดหวังคราวหน้าก็แล้วกัน)
ขณะที่ยอมแพ้ไปอย่างนั้น อีกด้านหนึ่งเขาก็อดที่จะทึ่งในคมดาบมิธริลที่แสดงผลอย่างยอดเยี่ยมต่อพวกอันเดดไม่ได้เช่นกัน
“ชี่! แกตัวสุดท้ายแล้ว!”
ดาบของขวานผ่าร่างสเกเลตันจากกะโหลกศีรษะลงมาเป็นแนวตั้ง พร้อมกับด้ามเหล็กของกระบอง (เมซ) ที่มันยกขึ้นมาป้องกัน!
สเกเลตันที่ถูกผ่าออกเป็นสองซีกนั้น ไม่ได้ส่งเสียงร้องโหยหวนก่อนตายออกมาเลยแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ครึ่งซีกของร่างที่แยกออกจากกันร่วงหล่นลงบนพื้นหินเท่านั้น
“โทษที มีบางตัวหลุดไปสินะ”
ผมหันกลับไปพูดกับลิลี่และฟิโอน่าซึ่งอยู่แนวหลัง
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ การจะหยุดยั้งจำนวนขนาดนั้นด้วยตัวคนเดียวน่ะเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ” (ฟิโอน่า)
รอบตัวฟิโอน่าผู้ตอบกลับมาอย่างเยือกเย็นนั้น มีเกราะทหารราบหลายชุดกำลังถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟที่ลุกโชนอย่างรุนแรง
เป็นที่รู้กันดีว่า นอกจากพลังศักดิ์สิทธิ์แล้ว จุดอ่อนของสเกเลตันก็คือการทุบตีและไฟ
ดังนั้น เพียงแค่เปลวไฟจาก [คัสตอม ไฟร์บอล] ของไม้เท้าสั้นสีแดงในมือฟิโอน่า ก็สามารถจัดการพวกมันได้อย่างง่ายดายนั่นเอง
สเกเลตันที่ล้มลงทุกตัวล้วนติดไฟอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าเวทมนตร์พิเศษธาตุแสงของลิลี่จะไม่มีโอกาสได้ออกโรงเลยแฮะ
ทั้งๆ ที่ในบรรดาทั้งหมดนี้ เธอคือคนที่มีความได้เปรียบต่ออันเดดมากที่สุดแท้ๆ แบบนี้จะเรียกว่ากั๊กพลังไว้รึเปล่านะ คุโรโนะคิดพลางมองลิลี่ที่ดูเบื่อหน่ายชอบกล
เอาล่ะ เก็บ [หัวใจจำลอง (อิมิเทชั่นฮาร์ท)] ที่เป็นหลักฐานการปราบแล้วรีบกลับกันดีกว่า บรรยากาศของคุโรโนะเป็นไปในทำนองนั้น แต่ทว่า—
ตึง! ตึง!!
—เสียงกระแทกอย่างรุนแรงเข้าใส่หอคอยหินขนาดยักษ์จากด้านใน ก็ทำให้เขานึกถึงตัวตนระดับบอสที่เกือบลืมไปแล้วขึ้นมาได้
“เจ้านั่นใกล้จะออกมาแล้วรึเปล่า?” (คุโรโนะ)
“นั่นสินะคะ” (ฟิโอน่า)
ราวกับได้ยินบทสนทนานั้น ในจังหวะเหมาะเจาะพอดีเป๊ะ แขนอันหนาทึบแข็งแกร่งของมิโนทอร์ซอมบี้ก็พุ่งทะลุกำแพงหินออกมา!
ดูเหมือนว่าพลังยึดเหนี่ยวอันแข็งแกร่งของ [เทอร์ร่า วอลเดฟาน] จะเสื่อมลงตามเวลาจนมิโนทอร์สามารถใช้พลังแขนอันน่าทึ่งของมันทำลายออกมาได้แล้ว แขนอันแข็งแกร่งที่แม้จะเน่าเปื่อยแต่ก็ยังคงแสดงพละกำลังอันน่าทึ่ง ค่อยๆ พังก้อนหิน กำจัดกำแพงออกไปเรื่อยๆ!
เมื่อการพังทลายเริ่มต้นขึ้นแล้ว เพียงชั่วพริบตาช่องโหว่ขนาดใหญ่พอที่ร่างมหึมาของมิโนทอร์จะออกมาได้ก็ถูกสร้างขึ้น!
ตั้งแต่ตอนปรากฏตัวมันก็อยู่ในสภาพตื่นตัวอยู่แล้ว แต่การที่ถูกกักขังอยู่ในหอคอยหินทั้งๆ ที่เหยื่ออยู่ตรงหน้า คงจะยิ่งกระตุ้นความดุร้ายของมันให้เพิ่มมากขึ้นไปอีกเป็นแน่!
“การจะล้มเจ้านี่ด้วยดาบอย่างเดียว คงจะเหนื่อยหน่อยแฮะ—“ (คุโรโนะ)
คุโรโนะไม่เคยสู้กับมิโนทอร์ในการทดลองเคลื่อนที่ก็จริง แต่ก็เคยสู้กับยักษ์ตาเดียว ไซคลอปส์ ซึ่งมีขนาดตัวใกล้เคียงกันอยู่
แม้จะไม่มีเวทมนตร์พิเศษอะไร แต่ความทนทานอันเป็นพลังพื้นฐานที่เกิดจากร่างกายอันแข็งแกร่งนั้น ทำให้มอนสเตอร์ประเภทพละกำลังล้วนๆ มีความอึดเป็นพิเศษ
เนื่องจากตอนนี้มีอาวุธมิธริลซึ่งเป็นจุดอ่อนของมันอยู่ จึงน่าจะล้มมันได้ง่ายกว่าตอนที่สู้ด้วยมือเปล่าในการทดลองเคลื่อนที่อย่างท่วมท้น แต่ประสบการณ์ที่คว้าชัยชนะมาได้ในสภาพปางตายครั้งนั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้คุโรโนะต้องระวังตัวอย่างเต็มที่
“—ลุยล่ะ” (คุโรโนะ)
พูดพลาง กำลังจะก้าวออกไป แต่ก่อนหน้านั้น—
“อื้อออ เอ๋ยยยย!” (ลิลี่)
“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ลิลี่!?” (คุโรโนะ)
—ลิลี่กลับชิงลงมือก่อนเสียแล้ว!
ตั้งแต่เข้ามาในดันเจี้ยนนี้ เธอก็ได้รับมอบหมายแต่งานง่ายๆ อย่างการเป็นไฟฉายส่องสว่างรอบๆ เท่านั้น ลิลี่คงจะอัดอั้นตันใจมากพอสมควรแล้วกระมัง
ไม่หรอก คุโรโนะเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะกีดกันลิลี่เลยสักนิด เพียงแต่ว่าฝูงสเกเลตันแค่นั้นคุโรโนะคนเดียวก็เหลือเฟือแล้ว และศัตรูที่เข้ามาใกล้แนวหลังทั้งสองคน ฟิโอน่าก็สามารถจัดการได้ด้วยการเหวี่ยง [คัสตอม ไฟร์บอล] เพียงครั้งเดียวเท่านั้นเอง
ศัตรูที่จะเปิดโอกาสให้แม้กระทั่งลิลี่ต้องเข้าร่วมต่อสู้ด้วยนั้น มันก็แค่ไม่ปรากฏตัวออกมาเท่านั้นเอง
แต่เรื่องราวเหล่านั้น เด็กน้อยลิลี่คงไม่รู้เรื่องด้วยกระมัง สำหรับเธอแล้วการสำรวจดันเจี้ยนครั้งนี้คงจะน่าเบื่อหน่ายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
คุโรโนะผู้ซึ่งคาดเดาถึงสภาพจิตใจของลิลี่ในตอนนั้นได้ ก็รู้สึกขอโทษขึ้นมาในใจ (“โทษทีนะลิลี่”) ขณะเดียวกันก็—
“ลาก่อนนะมิโนทอร์ โทษทีที่ไม่ได้สู้ด้วยนะ” (คุโรโนะ)
—เมื่อยืนยันได้ว่าวงเวทแสงปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของมิโนทอร์ซอมบี้ที่กำลังอาละวาดอยู่ คุโรโนะก็ตระหนักได้ว่าการต่อสู้มันจบลงเสียแล้ว
ก่อนที่มิโนทอร์จะทันได้เงื้อหมัดแล้วพุ่งเข้าใส่ ร่างกายที่เน่าเปื่อยนั้นก็ถูกเสาแสงที่ส่องประกายเจิดจ้ากลืนกินเข้าไป!
แสงวาบ! แรงกระแทก! เสียงแตกสลาย!—ผลกระทบจากการโจมตีด้วยเวทมนตร์พิเศษธาตุแสงอันรุนแรงของลิลี่ส่งมาถึง!
เมื่อทุกอย่างสงบลง รอบตัวก็มีเพียงควันฝุ่นที่ตลบอบอวลขึ้นมาจากการกระแทกพื้นหินด้วยพลังอันรุนแรงเท่านั้น ความเงียบสงัดอันเหมาะสมกับสุสานก็กลับคืนสู่ห้องโถงอีกครั้ง
“คุโรโนะ ลิลี่เก่งไหม!” (ลิลี่)
ด้วยใบหน้าที่ภาคภูมิใจราวกับเด็กน้อยที่ช่วยงานบ้านสำเร็จ ลิลี่เดินเตาะแตะเข้ามาหาคุโรโนะ
“ใช่แล้วล่ะ เก่งมากเลยนะลิลี่!” (คุโรโนะ)
ไม่ได้เสียใจเลยสักนิดที่ไม่ได้สู้กับมิโนทอร์นะ คุโรโนะตอบกลับอย่างเป็นผู้ใหญ่ พลางลูบหัวลิลี่ชมเชยเธอไปเรื่อยๆ
“สมกับเป็นคุณลิลี่เลยนะคะ” (ฟิโอน่า)
ฟิโอน่าที่อ่านบรรยากาศออกก็เข้ามาร่วมชมเชยด้วยอีกคน
“เอะเฮะ—“ (ลิลี่)
เมื่อเห็นลิลี่บิดตัวไปมาอย่างเขินอายสุดน่ารัก หัวใจของคุโรโนะที่ห่อเหี่ยวไปกับดันเจี้ยนอันมืดมิดก็พลันชุ่มชื่นกลับคืนมา
ทว่า บรรยากาศอันแสนอบอุ่นนั้น—
บูม๊อออออออออออ!!
—ก็ถูกทำลายลงในพริบตาด้วยเสียงคำรามกึกก้องที่ดังออกมาจากภายในกลุ่มควันที่ยังคงตลบอบอวลอยู่!
“อะไรวะ ยังไม่ตายอีกเรอะ?” (คุโรโนะ)
ทั้งๆ ที่เป็นอันเดดแท้ๆ ยังมีชีวิตอยู่อีกรึไง เรื่องนั้นไม่มีใครคิดจะทักท้วงหรอก
สำคัญยิ่งกว่าการแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ นั้น คือความจริงที่ว่ามิโนทอร์ซอมบี้ยังคงเคลื่อนไหวได้อย่างแข็งขันต่างหาก!
เสียงฝีเท้าหนักๆ ดัง ซึน สะท้อนก้องอีกครั้ง ร่างมหึมาของมิโนทอร์แหวกกลุ่มควันปรากฏกายออกมา!
“กลายเป็นกระดูกไปแล้ว……” (คุโรโนะ)
คำพูดของคุโรโนะนั้นช่างตรงประเด็นอย่างยิ่ง
มิโนทอร์ซึ่งก่อนหน้านี้ยังคงมีกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งราวกับมัดเหล็กกล้าห่อหุ้มร่างที่ผุพังอยู่นั้น บัดนี้ไม่มีเค้าโครงเดิมเหลืออยู่เลย!
เขาสองข้างอันสง่างามซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระดูกยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่ทั่วทั้งร่างกลับกลายเป็นเพียงโครงกระดูกเหมือนกับสเกเลตันไปเสียแล้ว!
แต่ถึงกระนั้น ร่างมหึมาที่คุโรโนะยังต้องแหงนหน้ามองก็ยังคงอยู่ และแขนทั้งสองข้างที่เหลือเพียงกระดูกซึ่งดูผอมลงไปมากนั้น ก็ยังคงแผ่แรงกดดันออกมามากพอที่จะทำให้คิดได้ว่าพละกำลังมหาศาลนั้นยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง!
“กลายเป็นมิโนทอร์สเกเลตันไปแล้วสินะคะ” (ฟิโอน่า)
“นี่มันวิวัฒนาการเหรอ?” (คุโรโนะ)
“ใครจะไปรู้ล่ะคะ” (ฟิโอน่า)
คุโรโนะแลกเปลี่ยนบทสนทนาอันไร้แก่นสารกับฟิโอน่าเช่นนั้น พลางยกอาวุธทั้งสองมือขึ้นเตรียมพร้อม เผชิญหน้ากับมิโนทอร์ผู้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ในฐานะสเกเลตันอันดื้อด้าน
คราวนี้แหละข้าจะลุยเอง! ขณะที่กำลังตั้งใจเช่นนั้น—
“เอ๋ยยยยยยยยยย!!” (ลิลี่)
—ลิลี่ก็ของขึ้นเสียแล้ว
เผลอรู้สึกไปตามสัญชาตญาณเช่นนั้น แต่พอได้ยินเสียงตะโกนที่ไม่สบอารมณ์นั่นแล้วก็คงจะช่วยไม่ได้กระมัง
และ วงเวทที่ใหญ่กว่าเมื่อครู่หนึ่งเท่า ก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของมิโนทอร์อีกครั้ง
การดำเนินเรื่องหลังจากนั้นก็เหมือนเดิมทุกประการ
มิโนทอร์ตายสนิทแล้ว
“คุโรโนะ ลิลี่เก่งไหม!” (ลิลี่)
ต่อลิลี่ที่แผ่ออร่าชมฉันหน่อยสิ ราวกับว่าการฟื้นคืนชีพของมิโนทอร์เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นนั้น—
“ใช่แล้วล่ะ เก่งมากเลยนะ ลิลี่……” (คุโรโนะ)
—ปรมาจารย์ธาตุคุโรโนะก็ได้แต่ยกย่องชมเชยลิลี่อีกครั้ง พลางพนมมือไหว้ไว้อาลัยแก่มิโนทอร์ผู้น่าสงสารอยู่ในใจ
Translater : Eidolonwww.nekopost.net/editor/78229
MANGA DISCUSSION