บทที่ 167 – บททดสอบคืออะไรกันแน่
(มุมมองคุโรโนะ)
ผมรับเควสต์มาจากพนักงานต้อนรับสาวสวยเผ่าเอลฟ์ผู้แสนน่ารักและอัธยาศัยดีแล้ว ก็ออกจากกิลด์กลับมายังลานกว้าง
ระหว่างที่ผมกำลังรับเควสต์อยู่ที่กิลด์นั้น ผมได้ให้ลิลี่กับฟิโอน่าไปจัดการซื้อหาไอเทมพวกโพชั่นต่างๆ เป็นการแบ่งงานกันทำ
แต่ทว่า แม้จะก่อตั้งทีม [ปรมาจารย์ธาตุ] ขึ้นมาแล้ว แต่ผมกลับลืมสนิทไปเลยว่ายังไม่ได้ลงทะเบียนอย่างเป็นทางการเสียที สุดท้ายก็คงต้องพากันไปที่กิลด์ทั้งสามคนอยู่ดี
ไว้พรุ่งนี้ค่อยไปก็ได้กระมัง ผมคิดพลางมองหาคนทั้งสอง แต่ก็ไม่เห็นวี่แวว ดูเหมือนว่าการซื้อของจะยังไม่เสร็จสิ้น
ถึงจะเป็นแค่โพชั่น แต่การซื้อของผู้หญิงนี่มันคงจะใช้เวลานานเป็นธรรมดาสินะ? ผมตัดสินใจนั่งรอพวกเธออยู่บนม้านั่งใกล้ๆ กับใจกลางลานกว้างซึ่งมีโอเบลิสก์ [ตำนานรุ่งอรุณ (ซีโร่ โครนิเคิล)] ตั้งตระหง่านอยู่
“บททดสอบ งั้นเหรอ……”
ผมพึมพำเช่นนั้นพลางค่อยๆ สัมผัสเปลือกตาบนดวงตาซ้ายที่สถิตไว้ด้วยประกายแสงสีแดงฉาน
การที่ได้เบาะแสเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของบททดสอบในสถานที่ที่ไม่คาดคิดเช่นนี้ ถือเป็นผลพลอยได้ที่ไม่คาดฝันจริงๆ
เดิมที ผมคิดว่าควรจะต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งระดับแรงค์ 4 ขึ้นไปเพื่อฝึกฝนตนเอง ก็เลยเปิดดูรายชื่อมอนสเตอร์ของกิลด์
สมกับเป็นเมืองใหญ่สปาด้าจริงๆ ข้อมูลมันมากมายมหาศาลชนิดที่เทียบไม่ได้เลยกับที่เคยเห็นในหมู่บ้านไอร์ซ
อืม แต่สุดท้ายแล้ว อย่างที่พนักงานต้อนรับอธิบายไปนั่นแหละ ในเมื่อเป็นแรงค์ 1 ต่อให้เป็นการต่อสู้ส่วนตัวก็ควรจะหลีกเลี่ยงการสู้กับมอนสเตอร์ระดับสูงอยู่ดี ถึงจะรู้ไปก็ไม่มีความหมายอะไรอยู่แล้ว
แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้น สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดคือการที่ผมค้นพบบางสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเบาะแสของบททดสอบอยู่ในรายชื่อมอนสเตอร์นั่นต่างหาก
ในบรรดารายชื่อมอนสเตอร์นับไม่ถ้วนที่ถูกบันทึกไว้ มีชื่อมอนสเตอร์บางตัวที่กำลังเปล่งแสงสีแดงออกมาเพื่อแสดงตัวตนของมันอย่างชัดเจนที่สุด!
ตอนแรกผมก็สงสัยว่าในรายชื่อมันมีกลไกทางเวทมนตร์อะไรซ่อนอยู่รึเปล่า แต่ดูเหมือนว่าคนที่มองเห็นตัวอักษรชื่อมอนสเตอร์เปล่งแสงสีแดงได้จะมีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น
เรื่องนั้นได้รับการพิสูจน์แล้วจากสายตาเย็นชาของนักผจญภัยรอบข้างที่มองมาเหมือนเห็นคนน่าสมเพช ตอนที่ผมถามพวกเขาไปว่า “นี่มันเปล่งแสงสีแดงอยู่ใช่ไหมครับ?”
พอลองหลับตาซ้ายดู แสงที่ตัวอักษรก็หายไป แต่พอลองมองด้วยตาซ้ายข้างเดียวอีกครั้ง มันก็กลับมาเปล่งแสงอีก!
ไม่ผิดแน่ แสงสีแดงนี้ ผมมองเห็นได้ด้วย ‘ตาซ้ายข้างเดียว’ เท่านั้น!
พอนึกย้อนกลับไป มิอาก็เคยพูดไว้แบบนี้
“ต่อจากนี้ไป สิ่งที่จำเป็น ดวงตาของผมจะบอกเธอเอง”
เมื่อนึกถึงคำพูดนั้น นี่ก็คงหมายความว่าดวงตาได้บอกผมจริงๆ สินะ
ขณะที่กำลังทำความเข้าใจอยู่นั้น ภาพการกระทำอันสุดโต่งที่นางควักลูกตาออกมาแล้วยัดมันเข้ามาใส่ให้ผมทั้งอย่างนั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง จนผมเผลอใช้มือลูบเบ้าตาตัวเองโดยไม่รู้ตัว
ถ้าอ้างว่าเป็นพระเจ้าจริงล่ะก็ ช่วยทำการปลูกถ่ายดวงตาอันศักดิ์สิทธิ์ให้มันดูศักดิ์สิทธิ์สมกับเป็นพระเจ้าหน่อยไม่ได้รึไงนะ
พอมาถึงตอนนี้แล้วก็ยังอดบ่นไม่ได้
“อื๊อ หมู่วว พูดแบบนั้นมันใจร้ายนะ อุตส่าห์รักษาให้แล้วแท้ๆ!”
“……หา?”
เมื่อผมละมือออกจากเบ้าตา ตรงนั้นก็มีเด็กคนหนึ่งซึ่งมีใบหน้าเหมือนกับบุคคลที่ผมเพิ่งจะนึกถึงอยู่ในหัวเมื่อครู่ไม่มีผิด ยืนอยู่
“มิอา งั้นเหรอ?”
แม้เครื่องแต่งกายจะแตกต่างจากตอนนั้นอยู่บ้าง แต่บุคคลผู้มีผมสั้นสีดำและดวงตาสีแดงฉาน พร้อมรูปลักษณ์อันงดงามเป็นกลางทางเพศผู้นี้ คือผู้ที่อ้างตนว่าเป็นพระเจ้า จอมมารโบราณ มิอา เอลโรด นั่นเอง
ตาซ้ายที่ควรจะถูกปลูกถ่ายให้ผมไปแล้วนั้น ก็ยังคงอยู่ที่นั่นอย่างเป็นปกติ สถิตไว้ด้วยประกายแสงสีแดงที่ไม่เปลี่ยนแปลง
เสื้อคลุมสีดำและชุดเสื้อผ้าที่เข้ากันนั้น เหมือนกับชุดของพวกนักเรียนที่ผมเห็นประปรายในเมืองหรือที่กิลด์เมื่อครู่ แถมยังเป็นชุดเบลเซอร์ของผู้ชายอีกต่างหาก
ยิ่งไปกว่านั้น ในมือของมิอายังมีถ้วยที่บรรจุผลไม้เล็กๆ รสเปรี้ยวอมหวานชื่นใจที่ผมเองก็เพิ่งจะกินไป กับของเหลวคล้ายนมสีเหลืองอ่อนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับเด็กธรรมดาๆ ที่กำลังเดินซื้อขนมกินเล่นอยู่แถวนั้นเลยแม้แต่น้อย
แต่ทว่า มิอาในรูปลักษณ์ของเด็กมัธยมที่กำลังซื้อขนมกินเล่นได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้น กลับยืนพิงโอเบลิสก์สีดำสนิทแล้วประกาศชื่อออกมาอย่างองอาจ
“จะเป็นใครไปได้เล่า! ข้าผู้นี้คือจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเอลโรด มิอา เอลโรด นั่นเอง! ล้อเล่นน่า”
เธอแลบลิ้นเล็กๆ ออกมาอย่างซุกซน ท่าทางนั้นช่างมีพลังทำลายล้างในความน่ารักอยู่ไม่น้อย
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่มันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์จนอยากจะกราบไหว้ว่าเป็น ‘พระเจ้า!’ เลยแม้แต่น้อย ในใจผมนั้นสถานะของมิอายังคงเป็น ‘จอมเวทปริศนา’ อยู่เหมือนเดิม
“มีเรื่องอยากจะถาม” (คุโรโนะ)
ผมตัดสินใจเมินการปรากฏตัวอันคาดไม่ถึงของมิอาไปก่อน แล้วถามเฉพาะสิ่งที่อยากรู้เท่านั้น
“อะไรเหรอ ถ้าไม่ไปแตะต้องกฎของพระเจ้าล่ะก็ จะตอบให้ทุกอย่างเลยนะ” (มิอา)
พูดพลางยิ้ม เธอนั่งลงบนม้านั่งที่ผมนั่งอยู่ แถมยังขยับเข้ามาใกล้จนไหล่แทบจะชนกัน
“ตาซ้ายมันชี้ไปที่ชื่อมอนสเตอร์น่ะ การจะล้มพวกนั้นคือบททดสอบงั้นเหรอ?” (คุโรโนะ)
อาจจะดูเป็นการอธิบายที่สั้นห้วนเกินไปหน่อย แต่แค่นี้มิอาก็น่าจะเข้าใจแล้วกระมัง
“อื้ม ก็ประมาณนั้นแหละ แต่ว่า ก็ไม่ใช่ว่าต้องล้มอย่างเดียวถึงจะเป็นวิธีที่ถูกนะ” (มิอา)
“หมายความว่ายังไง?” (คุโรโนะ)
มากไปกว่านั้นยังพูดไม่ได้สินะ มิอาปฏิเสธพลางโยนผลไม้เข้าปากเล็กๆ นั่น
เอาเป็นว่า ชื่อมอนสเตอร์ที่ถูกชี้ด้วยแสงสีแดงนั้นล้วนแต่เป็นแรงค์ 4 ขึ้นไปทั้งนั้น หากไปสู้กับพวกมันเพื่อเป็นการฝึกฝนก็คงจะไม่เสียเปล่า
บางที หากได้ลองสู้ดูจริงๆ แล้วล่ะก็ คงจะค้นพบอะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับบททดสอบก็ได้กระมัง
ผมโยนคำถามอื่นไปยังมิอาที่กำลังเคี้ยวผลไม้รสหวานชื่นใจพลางทำเสียง “อร่อยจัง~♪” อยู่
“ถ้างั้นอีกเรื่องหนึ่ง มิอาคือ ‘จักรพรรดิ’ ที่เขียนไว้บนนั้น (ซีโร่ โครนิเคิล) จริงๆ เหรอ?” (คุโรโนะ)
โอเบลิสก์ที่นี่ไม่ได้มีการบันทึกรูปลักษณ์ของจักรพรรดิไว้เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงไม่อาจใช้รูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียวเป็นข้อบ่งชี้ได้
“เรื่องนั้นน่ะ ตอนนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้หรอกนะ” (มิอา)
“ถ้าผ่านบททดสอบแล้วได้รับพลังคุ้มครอง จะรู้ได้งั้นเหรอ?” (คุโรโนะ)
มิอาเผยรอยยิ้มคลุมเครือ แล้วตอบว่า ก็อาจจะนะ
ดูเหมือนจะไม่คิดจะตอบให้ชัดเจนเสียทีเดียว
สุดท้ายแล้ว จนกว่าชื่อของเทพจะได้รับการพิสูจน์จากพิธีกรรมในวิหาร ก็ยังไม่อาจยืนยันอะไรได้ คงต้องอดใจรอจนกว่าจะได้รับพลังคุ้มครองเสียก่อน เรื่องตัวตนที่แท้จริงของมิอาก็คงต้องพักไว้ก่อน
“ขอโทษนะ ถ้าเป็นคนที่อยู่ในยุคโบราณล่ะก็ อาจจะสอนเวทมนตร์หรือเทคโนโลยีที่สูญหายไปแล้วในยุคปัจจุบันให้ได้อยู่หรอก แต่ว่า—“ (มิอา)
“ผิดกฎสินะ?” (คุโรโนะ)
มิอาทำสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แล้วพูดว่า เก่งจังนะ พร้อมกับชมเชยผม
“เหล่า ‘ทวยเทพสีดำ’ น่ะ คือผู้ที่เคยมีชีวิตอยู่ในโลกนี้จริงๆ หากผู้ที่ได้รับพลังคุ้มครองได้รับอนุญาตให้สนทนากับเทพเจ้าได้เหมือนพวกเราล่ะก็ คงไม่มีทางที่จะไม่มีใครพยายามสอบถามถึงเทคโนโลยีที่สูญหายไปเหล่านั้นหรอก” (คุโรโนะ)
ถึงกระนั้น เวทมนตร์ในยุคโบราณก็ยังคงถูกจัดอยู่ในประเภทพิเศษที่เรียกว่า เวทมนตร์โบราณ (เอนเชียนท์) ซึ่งไม่อาจทำซ้ำได้ในปัจจุบัน
เวทมนตร์โบราณ (เอนเชียนท์) คือชื่อเรียกโดยรวมของเวทมนตร์ที่สามารถใช้งานได้ผ่านทางอาร์ติแฟกต์มหาเวท ซึ่งถูกขุดค้นพบจากดันเจี้ยนประเภทซากโบราณสถานเท่านั้น
หากว่าสูตรเวทโดยละเอียดหรือหลักการพื้นฐานของมันถูกถอดรหัสได้แล้วล่ะก็ ป่านนี้คงถูกนำไปรวมเข้ากับระบบเวทมนตร์ตามแบบแผนในปัจจุบัน และคงจะสามารถสร้างระบบเวทมนตร์แบบเดียวกับในสมัยนั้นขึ้นมาใหม่ได้แล้ว
“อื้ม เพราะงั้นถึงเล่าเรื่องสมัยก่อนให้ฟังมากไม่ได้ไงล่ะ” (มิอา)
ไม่เป็นไรหรอกน่า ดีกว่าโดนเป่าหูด้วยเรื่องโกหกแปลกๆ เสียอีก
“แล้วก็ ตานี่มันไม่มี ‘ฟังก์ชันแปลกๆ’ อะไรติดมาด้วยใช่ไหม?” (คุโรโนะ)
อย่างน้อยก็ตั้งใจว่ามันคงจะเป็นตาปกติเหมือนเดิมนั่นแหละน่า จู่ๆ เกิดยิงบีมออกมาได้ขึ้นมาก็คงรับมือลำบากแย่
“อะฮะฮะ ไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่มีทางที่จะเกิดปฏิกิริยาแปลกๆ จนเกิดช่องว่างระหว่างต่อสู้ขึ้นมาหรอกน่า” (มิอา)
ดูเหมือนว่าตานี่มันจะรู้จักกาละเทศะดีเหมือนกันแฮะ
หรือว่า คนที่รู้จักกาละเทศะคือตัวมิอาเองกันแน่นะ?
“ถ้างั้น ผมไปก่อนนะ ยังมีอะไรอยากจะถามอีกไหม?” (มิอา)
รู้สึกเหมือนจะไม่ค่อยได้ตอบอะไรเท่าไหร่เลยนะเนี่ย มิอาพูดพลางหัวเราะขื่นๆ แล้วลุกขึ้นจากม้านั่ง
“อ่า ถ้างั้นขออีกเรื่องเดียวก็แล้วกัน” (คุโรโนะ)
“อะไรเหรอ?” (มิอา)
ผมตัดสินใจถามคำถามที่ค้างคาใจมาตั้งแต่เมื่อวานที่เจอกันครั้งแรก ออกไปยังมิอาที่มองมาด้วยดวงตากลมโตไร้เดียงสานั้น
“มิอาน่ะ เป็นผู้ชาย? หรือผู้หญิง?” (คุโรโนะ)
ทันใดนั้น มิอาก็ทำสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย แล้ว—
“ดูก็รู้แล้วไม่ใช่รึไง!” (มิอา)
—ก็ตวาดกลับมาทีหนึ่ง แล้วเดินจากไปพลางแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากที่แผ่นหลังเล็กๆ นั่นหายลับไปในฝูงชนแล้ว ผมก็เผลอพึมพำออกมา
“สุดท้ายแล้ว เป็นเพศไหนกันแน่ฟะ……”
.
.
.
แม้จะเป็นการพูดคุยกับมิอาที่ไม่ค่อยจะได้เนื้อหาสาระอะไรนัก แต่ก็ช่วยฆ่าเวลารอคนทั้งสองได้เป็นอย่างดี
ราวกับสลับฉากกัน ลิลี่กับฟิโอน่าก็ปรากฏตัวขึ้นที่ลานกว้าง และเนื่องจากเป็นเวลาเที่ยงแล้ว พวกเราจึงตัดสินใจหาอะไรกินง่ายๆ ที่ร้านอาหารแถวนั้น
“ว่าแต่ คนเยอะชะมัดเลยนะเนี่ย”
อาจจะเป็นเพราะช่วงเวลานี้ด้วย แต่ถึงกระนั้นบริเวณนี้ที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร ก็มีจำนวนประชากรหนาแน่นยิ่งกว่าที่เห็นในลานกว้างเสียอีก
“สมกับเป็นที่ที่เรียกว่าเขตการศึกษาเลยนะคะ นักเรียนเยอะมากเลยค่ะ” (ฟิโอน่า)
อย่างที่ฟิโอน่าว่า ผู้คนที่สวมใส่เสื้อผ้าดีไซน์คล้ายเบลเซอร์ซึ่งน่าจะเป็นชุดเครื่องแบบนักเรียนนั้นดูโดดเด่นกว่าที่เห็นในกิลด์เสียอีก
แม้จะพอเห็นคนที่มีลักษณะท่าทางเลยวัยกลางคนไปแล้วอยู่บ้างประปราย แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นเด็กหนุ่มสาววัยไล่เลี่ยกับผมอยู่ดี
พอมามองดูแบบนี้แล้ว ไม่รู้ทำไมถึงนึกถึงตอนที่ตัวเองยังเป็นนักเรียนมัธยมปลายขึ้นมาเลยแฮะ
จะว่าไปแล้ว ถ้าดูตามอายุ ผมก็น่าจะยังอยู่มัธยมปลายปีสองอยู่เลยนี่นา การจะอ้างตัวว่าเป็นนักเรียนก็ยังไม่น่าเกลียดอะไร
ไม่สิ ไม่ได้ไปโรงเรียนแล้วนี่นา ไม่ได้เรื่องเลยนะ นักผจญภัยที่เรียนไม่จบนี่เอง สินะ สินะ
“คุโรโนะ อยากไปโรงเรียนเหรอ?” (ลิลี่)
เอ๊ะ ผมเผลอแสดงสีหน้าจมอยู่กับความรู้สึกซาบซึ้งในอดีตออกมาขนาดนั้นเลยเหรอ?
“นั่นสินะ ถ้าจะบอกว่าไม่อยากไปก็คงจะโกหกล่ะนะ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่สถานการณ์ที่จะทำแบบนั้นได้นี่นา” (คุโรโนะ)
น่าเสียดายจริงๆ ผมกล่าวถ้อยคำยอมแพ้ออกมา แต่กลับมีคำพูดปฏิเสธดังมาจากที่ที่ไม่คาดคิด
“ไม่หรอกค่ะ การไปโรงเรียนน่ะเป็นความคิดที่ดีออกนะคะ” (ฟิโอน่า)
นั่นคือฟิโอน่าผู้ซึ่งไม่น่าจะมีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับชีวิตในโรงเรียนเลยแท้ๆ
“ตอนนี้ไปเรียนแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ?” (คุโรโนะ)
เป้าหมายสูงสุดของผมคือการได้รับพลังที่มากพอจะโค่นล้มอัครสาวกได้ เป้าหมายระยะสั้นที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นคือการเลื่อนแรงค์นักผจญภัยเพื่อจะได้สู้กับมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งขึ้น
ไม่ว่าจะทางไหน มันก็ไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ไขได้ด้วยการไปเรียนเก่งวิชาภาษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือสังคมศึกษาเสียหน่อย
“โอ้ ที่บ้านเกิดของคุณคุโรโนะ การเรียนหนังสือเป็นเพียงบทบาทเดียวของโรงเรียนงั้นเหรอคะ? อย่างน้อยที่สุด โรงเรียนในสปาด้าก็ดูเหมือนจะสามารถเรียนรู้ทักษะ เวทมนตร์ และเพลงยุทธ์ที่จำเป็นสำหรับนักผจญภัยได้นะคะ” (ฟิโอน่า)
พอพูดถึงโรงเรียน ผมก็นึกภาพออกแค่การเรียนห้าวิชาหลักบวกกับวิชาเสริมอื่นๆ เท่านั้นเอง แต่จริงสิ ที่นี่มันคือต่างโลกนี่นา งั้นก็คงจะมีโรงเรียนที่สอนเรื่องแบบนั้นอยู่สินะ
เมื่อนึกถึงที่เห็นนักเรียนไปรับเควสต์ที่กิลด์ได้อย่างปกติแล้ว ก็หมายความว่าพวกเขากำลังถูกฝึกฝนให้เป็นนักผจญภัยนั่นเอง
“เข้าใจล่ะ มีสถานที่เหมือนโรงเรียนฝึกนักผจญภัยอยู่สินะ” (คุโรโนะ)
“หรือจะเรียกว่า ‘เทคนิคการต่อสู้’ อย่างเวทมนตร์หรือเพลงยุทธ์นั้น โดยทั่วไปแล้วจะมีการวิจัย พัฒนา และถ่ายทอดกันในสถานที่แบบนี้ต่างหากล่ะค่ะ ในสาธารณรัฐก็เป็นแบบนั้น” (ฟิโอน่า)
ตามคำอธิบายของฟิโอน่า ดูเหมือนว่ามันจะมีบทบาทคล้ายกับมหาวิทยาลัยบนโลกเลยแฮะ เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดของประเทศนั้นๆ ก็คงจะมีการวิจัยกันในสถานที่แบบนี้สินะ
นึกว่าการวิจัยเวทมนตร์จะทำกันอย่างลับๆ ในสถานที่ห่างไกลเหมือนจอมเวทในป่าเสียอีก แต่ในโลกที่เวทมนตร์แพร่หลายขนาดนี้ ไม่ต้องคิดเลยว่าการวิจัยมันก็ควรจะทำกันในเมืองใหญ่อยู่แล้ว
“จะว่าไปแล้ว คุณคุโรโนะเพิ่งจะมา ‘โลกนี้’ ได้ไม่ถึงปีเลยใช่ไหมคะ ถือโอกาสนี้ไปเรียนรู้พื้นฐานเบื้องต้นดูบ้างก็ไม่เลวนะคะ?” (ฟิโอน่า)
“โอ้ นั่นอาจจะเป็นความคิดที่ดีก็ได้แฮะ” (คุโรโนะ)
ตั้งแต่วันที่ 4 เดือนแห่งวายุพัดพาที่ได้พบกับลิลี่ จนถึงวันนี้วันที่ 14 เดือนแห่งอัคคีแรก ก็เป็นระยะเวลาเพียงแค่สามเดือนกว่าๆ เท่านั้นเอง แม้จะเป็นช่วงเวลาที่เข้มข้นมาก แต่ก็ยากที่จะบอกว่าผมได้เรียนรู้สามัญสำนึกของต่างโลกจนหมดแล้ว
อย่างน้อยที่สุด ในการใช้ชีวิตเป็นนักผจญภัยแรงค์ 1 ในหมู่บ้านชนบทก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คนอย่างสปาด้า แถมยังตั้งเป้าที่จะเป็นนักผจญภัยระดับสูงอีกต่างหาก คงจะมีเรื่องที่ต้องรู้อีกมากมายก่ายกองแน่ๆ
“ระบบโรงเรียนที่นี่มันเป็นยังไงกันแน่นะ รายละเอียดคงต้องไปลองหาดูทีหลังก็แล้วกัน” (คุโรโนะ)
ก่อนอื่นต้องทำเป้าหมายของวันนี้ให้สำเร็จเสียก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกทีก็ได้ ไม่สิ บางทีอาจจะรอให้เลื่อนเป็นแรงค์ 2 ก่อนก็ได้กระมัง
“ถ้าผมไปโรงเรียนจริงๆ แล้วลิลี่กับฟิโอน่าจะทำยังไงล่ะ?” (คุโรโนะ)
ถึงจะถามว่าจะทำยังไง แต่เอาจริงๆ แล้วความรู้สึกที่อยากจะสนุกกับชีวิตในโรงเรียนที่สูญเสียไปพร้อมกับคนทั้งสองนี้มันถาโถมเข้ามาในใจผมราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากเลยทีเดียว
ถ้าอยู่กับสองคนนี้ล่ะก็ คงจะได้ใช้ชีวิตประจำวันที่วุ่นวายกว่าตอนอยู่ที่โลกเดิมแน่ๆ แต่ก็คงจะสนุกสนานเฮฮาอย่างไม่ต้องสงสัย
“ลิลี่ก็อยากไปโรงเรียนกับคุโรโนะด้วย!” (ลิลี่)
“โอ้ งั้นเหรอ ถ้างั้นก็ไปโรงเรียนด้วยกันเลยสิ!” (คุโรโนะ)
แล้วลิลี่จะไม่โดนส่งไปเรียนชั้นประถมเอาเหรอ ผมอดสงสัยแวบหนึ่งไม่ได้ แต่ถึงจะอย่างนั้น แฟรี่ที่น่ารักคนนี้ก็เป็นสุภาพสตรีวัย 32 ปีแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกน่า
“ดิฉันเองก็ ถ้าได้อยู่กับทั้งสองท่าน ก็ดูเหมือนจะไม่ต้องใช้ชีวิตในโรงเรียนอย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว บางทีอาจจะกลับไปเรียนอีกครั้งก็ได้นะคะ” (ฟิโอน่า)
ดูเหมือนว่าชีวิตในสถาบันเวทมนตร์เอลิเซียนสีเทาๆ นั่นจะยังคงส่งผลกระทบอยู่สินะ ถึงจะเป็นคำพูดที่ดูจะมองโลกในแง่ลบไปหน่อย แต่ถึงกระนั้นความรู้สึกก็ดูจะเหมือนกับผมอยู่ดี ผมดีใจนะ
“ถ้างั้น ถ้าไปได้ล่ะก็ พวกเราสามคนไปโรงเรียนด้วยกันเลยก็แล้วกันนะ” (คุโรโนะ)
“แต่ตอนนี้อยากจะไปทานข้าวเที่ยงเร็วๆ แล้วล่ะค่ะ” (ฟิโอน่า)
นั่นสินะ ผมหัวเราะขื่นๆ พลางมองหาร้านอาหารที่พอจะเข้าไปนั่งได้ แล้วพวกเราก็เดินไปตามถนนของสปาด้าที่เต็มไปด้วยผู้คน
Translater : Eidolonwww.nekopost.net/editor/78229
MANGA DISCUSSION