บทที่ 119 – กองทหารรับจ้างไซปรัสพินาศ
ภาพที่เห็นนั้นคือความฝันหรือภาพมายากันแน่
“เด็กสาวคนนั้น……”
มันเป็นเรื่องเมื่อเกือบหนึ่งสัปดาห์ก่อน ตอนที่ผมไปยังหมู่บ้านไอร์ซเพื่อดำเนินกลยุทธ์เผาทำลาย แล้วหน่วยสอดแนมของศัตรูก็เข้าโจมตี
หน่วยสอดแนมนั้นมีทั้งหมดเจ็ดคน ในหมู่พวกนั้น มีร่างของเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งดูไม่เข้ากับที่นั่นอยู่ ผมจำเธอได้แน่นอน
เธอสามารถปีนข้ามกำแพงหินที่เราสร้างขึ้นเพื่อดักจับพวกเขาได้ แต่เธอน่าจะถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไปแล้วหลังจากโดนเวทไฟของฟิโอน่าเข้าโจมตี
แต่ เด็กสาวคนที่น่าจะตายไปแล้วคนนั้น ผมสีบลอนด์ทวินเทล สะพายธนูอยู่ด้านหลัง รูปลักษณ์เหมือนที่จำได้ไม่ผิดเพี้ยน ปรากฏขึ้นในหางตาของผม
ทว่า ทันทีที่ผมรู้ตัวเธอก็โดนเวทสายฟ้าโจมตีเข้าอย่างจัง ร่วงหล่นจากท่อนซุงลงไปในแม่น้ำแล้วหายตัวไป ดังนั้นเวลาที่ผมเห็นเธอจึงเป็นเพียงชั่วครู่สั้นๆ เท่านั้น
“ตาฝาดไปรึเปล่า ไม่สิ แต่ว่าเห็นชัดๆ เลยนะ—“
แต่ในแม่น้ำโรนเบื้องหน้าผม ไม่ต้องพูดถึงเธอเลย แม้แต่เงาของพวกทหารรับจ้างก็ไม่มีเหลือแล้ว
พวกเขา ผู้ซึ่งบุกเข้ามาอย่างบ้าบิ่นโดยไม่มีการสนับสนุนใดๆ จากพวกครูเสดเดอร์ ได้รับความสูญเสียอย่างหนักและเพิ่งจะหนีหายไปเมื่อครู่นี้เอง
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้เตรียมท่อนซุงมาเพื่อข้ามแม่น้ำเป็นอย่างน้อย แต่มันก็ไม่ต่างอะไรกับแผ่นโฟมช่วยลอยตัว มันไม่ได้ช่วยเพิ่มความเร็วในการข้ามแม่น้ำได้มากนัก
มันเพียงแค่เพิ่มโอกาสที่พวกเขาจะไม่จมน้ำตายแม้จะโดนศรสายฟ้าเข้าไปก็ตาม
แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อผลลัพธ์ของการต่อสู้ และตอนนี้ การระดมยิงที่หยุดไปชั่วครู่ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
“เรื่องของเด็กสาวคนนั้น ตอนนี้คิดไปก็ไม่มีประโยชน์สินะ”
ผมเห็นเธอเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น มันคงเป็นการเข้าใจผิด หรือตาลายไปเอง อาจจะมีความเป็นไปได้ด้วยซ้ำว่าเป็นฝาแฝดหรือคนที่หน้าเหมือนกัน
สิ่งที่ผมต้องคิดไม่ใช่เรื่องคำถามที่ไม่มีคำตอบนั่น แต่เป็นการรับมือกับการระดมยิงที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้านี้ต่างหาก
“ศัตรูถอยไปแล้ว! พวกเราก็รีบถอยกลับเข้าที่มั่นเหมือนกัน! ระวังลูกไฟด้วย! จอมเวท ช่วยกางโล่ป้องกันเวทคุ้มกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้!!”
พร้อมกับเสียงตอบรับ เหล่านักผจญภัยที่ประจำการอยู่หน้ากำแพงป้องกันก็เริ่มล่าถอยกลับเข้าสู่กิลด์พร้อมกันอีกครั้ง
“ค่อยๆ ดึงเฟ้ย! ถ้าเจ้านี่โดนระเบิดล่ะก็จบเห่กันพอดี!!” (มอส)
ผมเห็นมอสกับก๊อบลินอีก 2 ตัวกำลังลากรถเข็นที่ติดตั้งปืนกลไว้อย่างทุลักทุเล
ผมตระหนักอีกครั้งว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่ไม่ได้ติดตั้งมันไว้ที่เดียว แต่ทำให้เคลื่อนย้ายได้ด้วยรถเข็น
ระหว่างการระดมยิงแบบนี้ จะสามารถเก็บมันไว้ในโกดังของกิลด์ได้อย่างปลอดภัย
“รายงานความเสียหายเป็นยังไงบ้าง?”
ผมถามขอรายงานผ่านเครือข่ายเทเลพาธีของลิลี่
การที่สามารถพูดคุยสองทางได้โดยไม่ต้องใช้มือนี่มันสะดวกเกินไปจริงๆ
สำหรับคำถามของผม คำตอบก็ส่งตรงเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว
“เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บสาหัส 3 นาย บาดเจ็บเล็กน้อยอีกหลายสิบนาย แต่ทั้งหมดจะกลับมารบได้ทันทีหลังได้รับการรักษาค่ะ”
“เข้าใจล่ะ รีบทำการรักษาพวกเขาซะ”
มีพวกพ้องต้องสังเวยไปอีกหนึ่งคน
แม้ไม่ต้องได้ยินรายงาน ผมก็เห็นลูกธนูที่ยิงโดยทหารรับจ้างคนหนึ่งปักเข้าที่นักผจญภัยซึ่งยืนอยู่ใกล้กำแพงป้องกันกับตาตัวเองเมื่อครู่
บางที มันอาจจะถูกยิงมาเพื่อโจมตีผมที่กำลังยิง [เมจิกบุลเล็ตอาร์ตส์] อยู่ก็ได้
หากลูกธนูนั้นพุ่งมาตามเป้าและโดนผม ลูกธนูเพียงดอกเดียวคงทำอะไรผมไม่ได้หรอก……. ผมรู้สึกเสียใจ แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้ความรู้สึกนั้นมาบั่นทอนจิตใจได้
เพื่อคนที่รับลูกธนูแทนผมด้วยแล้ว ผมต้องสู้ต่อไป
การไว้อาลัยให้กับผู้ที่ตายในการรบนี้ เอาไว้หลังจากที่ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว
“แต่ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะถูกใช้เป็นเบี้ยสังเวยจริงๆ สินะ”
มันช่างจืดชืดเสียจริงที่เราสามารถขับไล่พวกเขาไปได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้
แม้ผมจะไม่รู้ว่าศัตรูมีความคิดอะไรอยู่เบื้องหลัง ถึงได้ให้พวกทหารรับจ้างมาทำการโจมตีที่ดูไร้ประโยชน์เช่นนี้ แต่ผมก็รู้สึกสงสารพวกเขาอยู่บ้าง
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะแสดงความเมตตาใดๆ ต่อใครก็ตามที่พยายามจะข้ามแม่น้ำสายนี้มา
และแล้ว วันนี้ก็มีเพียงการระดมยิงต่อเนื่องเท่านั้น และไม่มีการโจมตีอื่นใดอีก พวกเราจึงปกป้องแนวป้องกันไว้ได้เป็นวันที่สามอย่างปลอดภัย
.
.
.
“ดูเหมือนกองทหารรับจ้างไซปรัสจะพินาศแล้วนะเจ้าคะ ผู้ที่รอดกลับมามีเพียง 21 นาย และรวมถึงหัวหน้าหน่วยไซปรัส สมาชิกดั้งเดิมส่วนใหญ่ได้สูญหายไปเจ้าค่ะ”
นอร์ซแย้มรอยยิ้มหลังจากได้ยินรายงานของซิสเตอร์ซิลเวีย
“งั้นรึ ข้ารู้สึกโล่งใจเสียจริงที่คิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้ายิ้มๆ ของเจ้าเด็กนั่นอีกแล้ว”
นอร์ซรู้สึกไม่พอใจมาตลอดกับความจริงที่ว่าเขาต้องนำกลุ่มทหารรับจ้างที่น่าสงสัยกลุ่มนั้นมาด้วย เพียงเพราะพระคาร์ดินัลเมอร์เซเดสสั่งมาโดยตรง
มันคงจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งหากเขาจ้างพวกเขามาเองเพราะพิจารณาว่าจำเป็น แต่ไม่มีทางที่เขาจะยอมรับเงียบๆ เพียงเพราะผู้บังคับบัญชาสั่งให้พาพวกเขามาด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น หัวหน้าหน่วยไซปรัสก็มีนิสัยชอบทำตัวเหลวไหล ไม่มีทางที่คนแบบนั้นจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับใครได้ ไม่ต้องพูดถึงนอร์ซผู้ซึ่งอารมณ์ร้อนและหัวรั้นเลย
“แต่ว่า แบบนั้นจะดีหรือเจ้าคะ? ที่จะใช้แล้วทิ้งพวกเขาไปเช่นนั้น? ในสถานการณ์ที่ท่านปิดบังข้อมูลส่วนใหญ่เกี่ยวกับแนวป้องกันของหมู่บ้านไว้ มันไม่ต่างอะไรกับการหลอกลวงพวกเขานะเจ้าคะ?”
เมื่อนอร์ซขอให้ไซปรัสโจมตีหมู่บ้าน เขาก็ได้รับคำตอบ ‘ตกลง!’ จากไซปรัสอย่างรวดเร็ว และไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับ ‘การโจมตีของปิศาจ’ หรือเกี่ยวกับการต่อต้านอย่างรุนแรงที่พวกปิศาจแสดงออกมาเลย
“พระคาร์ดินัลเมอร์เซเดสเพียงแค่สั่งให้ข้าพาพวกเขามายังทวีปแพนโดร่าด้วยเท่านั้น เขาไม่ได้สั่งให้ข้าพาพวกเขากลับไปทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยนี่” (นอร์ซ)
“นั่นมันไม่ใช่แค่การเล่นสำนวนหรอกหรือเจ้าคะ?”
“ไม่ เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อพวกเขา ข้าได้รับคำยืนยันมาแล้วว่าข้าสามารถปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นเดียวกับกลุ่มทหารรับจ้างอื่นๆ ได้ตราบใดที่ข้าพาพวกเขามาด้วย ไม่มีปัญหาใดๆ แม้ว่าพวกเขาจะถูกทำลายล้างระหว่างปฏิบัติ ‘งาน’ ของพวกเขาก็ตาม”
ท้ายที่สุดแล้ว นอร์ซก็ไม่รู้ว่าทำไมพระคาร์ดินัลเมอร์เซเดสถึงได้สั่งให้เขานำกลุ่มทหารรับจ้างนี้มาด้วย แต่เขาก็ได้จัดการกับกลุ่มที่น่ารำคาญนั้นไปแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องไร้สาระอีกต่อไป เขาสามารถมีความสุขได้โดยไม่ต้องปิดบังอะไร
“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ? แล้วจะทำอย่างไรกับผู้ที่รอดกลับมาเจ้าคะ?”
“ทิ้งพวกมันไปซะ นั่นคือสิ่งที่ข้าอยากจะพูด แต่เดี๋ยวมันจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากทีหลัง จ่ายเงินให้พวกเขาตามสัญญาแล้วไล่ให้กลับไป พวกมันก็แค่ทหารรับจ้างหน้าไม่อาย หลังจากเจอเรื่องแบบนั้น พวกมันก็จะกลับไปอย่างมีความสุขเองนั่นแหละ”
“ถ้าเช่นนั้น ก็ตามที่ท่านว่าเจ้าค่ะ”
ซิลเวียร่างคำสั่งอย่างรวดเร็วแล้วยื่นให้กับทหารคนหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ คำสั่งก็จะถูกดำเนินการตามเจตจำนงของนอร์ซ ในเมื่อพวกเขาซึ่งเป็นนายจ้าง ยอมจ่ายเงินตามสัญญา ก็จะไม่มีปัญหาใดๆ จากฝ่ายนั้น
“แต่ว่า การโจมตีของ ‘ปิศาจ’ นั่นมันน่ารำคาญจริงๆ”
นอร์ซขมวดคิ้ว หลังจากได้เห็นพวกทหารรับจ้างถูกบดขยี้ภายใต้การยิงสกัดของศัตรู เขาก็ตระหนักถึงพลังของการโจมตีนั้นอีกครั้ง
“ในเมื่อพวกมันสามารถใช้มันในวันนี้ได้อีกโดยไม่มีปัญหาใดๆ ก็หมายความว่ามันไม่มีขีดจำกัดการใช้งานหรือขีดจำกัดด้านเวลาสินะเจ้าคะ”
ขีดจำกัดที่ซิลเวียพูดถึงนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับจำนวนกระสุนหรือลำกล้องปืนที่ต้องทนทานต่อความอ่อนล้าขณะยิง
มันเกี่ยวกับขีดจำกัดทางเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งกว่านั้น ซึ่งมีอยู่ในโลกนี้
ตัวอย่างเช่น เช่นเดียวกับที่ลิลี่สามารถกลับคืนร่างปกติได้เฉพาะในคืนพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น ก็มีขีดจำกัดทางเวทมนตร์ เช่น เวลาที่กำหนด, ช่วงเวลา, ฤดูกาล, หรือตำแหน่งของดวงดาว ซึ่งในช่วงเวลานั้นเท่านั้นที่ความสามารถจะแสดงออกมาได้
มันยังรวมถึงการใช้ไอเทมเวทมนตร์หรือเครื่องประกอบพิธีพิเศษที่ไม่สามารถใช้ได้อีกหลังจากใช้ไปครั้งเดียว
เพียงแต่ว่า ยิ่งขีดจำกัดนั้นแข็งแกร่งและเข้มงวดมากเท่าไหร่ ผลของเวทมนตร์ก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นตามสัดส่วนเท่านั้น แม้ว่าการยิงสกัดจะเป็นการโจมตีที่ทรงพลังอย่างยิ่ง มันก็ดูไม่เหมือนเวทมนตร์ขนาดใหญ่ที่ต้องมีขีดจำกัดบางอย่าง หรืออย่างน้อยซิลเวียก็เชื่อเช่นนั้น
หากเธอจะเดา มันคงเป็นเวทมนตร์ที่สามารถใช้งานได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้แรงงานหรือความพยายามมากนัก
“อืม ถ้าเจ้าบอกว่ามันเป็นเวทมนตร์ที่สมบูรณ์แบบโดยไม่มีจุดอ่อนเฉพาะเจาะจง มันก็ช่วยไม่ได้ การโจมตีจากด้านหน้าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เหนือสิ่งอื่นใด เรายังคงมีกองทหารจำนวนมหาศาลเหลืออยู่ อีกอย่าง การโจมตีนั้นได้หยุดลงเป็นบางครั้งในระหว่างนั้น นั่นหมายความว่ามันไม่สามารถใช้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด” (นอร์ซ)
“คงเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ หากทำซ้ำสองหรือสามครั้ง ช่วงเวลาพักก็น่าจะยาวนานขึ้น ตราบใดที่เราไม่คำนึงถึงความเสียหายของเรา เราก็น่าจะสามารถเอาชนะพวกเขาได้ด้วยจำนวนที่เหนือกว่า”
พวกเขาไม่มีหลักฐานที่แน่นอน แต่เมื่อพิจารณาจากทฤษฎีของเวทมนตร์และสถานการณ์ มันก็เป็นสถานการณ์ที่เป็นไปได้มากที่สุด นอร์ซก็เห็นด้วยกับเรื่องนั้น
“อา โอ้ ใช่แล้ว เกิดอะไรขึ้นกับกำลังเสริมที่ท่านบิชอปเกรกอเรียสกำลังส่งมาน่ะ?”
บนพื้นฐานของ ‘คำทำนาย’ ที่ถูกส่งมาเมื่อไม่กี่วันก่อน มันได้ถูกเขียนไว้ว่ากำลังเสริมบางส่วนถูกส่งมาทางนี้
“พวกเรายังไม่ได้รับรายงานใดๆ ว่าหน่วยดังกล่าวได้มาถึงหรือกำลังเข้ามาใกล้เลยเจ้าค่ะ ตราบใดที่มันไม่ใช่เรื่องโกหก กำลังเสริมเหล่านี้ดูเหมือนจะเคลื่อนที่อย่างสบายๆ มากเลยนะเจ้าคะ”
“หึ ข้าไม่สนใจหรอกจะเป็นทางไหน ข้าไม่อยากเก็บหน่วยประหลาดๆ ไว้ใกล้ตัว ข้าว่าเป็นการดีกว่าถ้าพวกเขาไม่มาเลย”
“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ? ไม่ว่าทางใด ก็คงไม่มีหน่วยใหม่มาถึงที่นี่ก่อนการโจมตีครั้งต่อไปเป็นอย่างน้อยเจ้าค่ะ”
“ฟึ่บ การโจมตีครั้งต่อไป สินะ?”
เมื่อตอบสนองต่อคำพูดเหล่านั้น นอร์ซก็เผยรอยยิ้มคล้ายกับสัตว์ร้ายกินเนื้อ
“พรุ่งนี้ ไม่สิ มะรืนนี้ การเตรียมการข้ามแม่น้ำจะเสร็จสมบูรณ์ และเราจะเข้าโจมตีอีกครั้ง การที่ต้องล่าช้าไป 5 วัน เราจะมีเวลาแทบจะไม่พอที่จะไล่ตามพวกปิศาจที่เจ้าพวกนั้นปล่อยให้หนีไปได้ แต่—“
รอยยิ้มของนอร์ซผสมผสานไปด้วยความยินดีที่จะได้เหยียบย่ำพวกปิศาจ ซึ่งทำให้เขาต้องประสบกับความสูญเสีย
“—ฟุฮ่าฮ่า คราวนี้แหละ ข้าจะกำจัดเจ้าพวกปิศาจน่ารำคาญพวกนั้นให้สิ้นซากแน่นอน”
.
.
.
วันต่อมา วันที่ 5 แห่งเดือนฮัตสึฮิ
วันนั้นไม่มีทหารรับจ้างบุกเข้ามาอย่างบ้าบิ่นเหมือนเมื่อวาน และการระดมยิงก็ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีสัญญาณว่าจะหยุด และพวกครูเสดเดอร์เองก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
เนื่องจากลวดหนามและรั้วบางส่วนถูกระเบิดปลิวไปจากการระดมยิง พวกเราจึงออกไปซ่อมแซมมัน
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ศัตรูดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องนั้น และยกเว้นการระดมยิงแล้ว พวกเราก็สามารถซ่อมแซมเสร็จได้อย่างราบรื่น
จริงๆ แล้ว ผมอยากจะทำให้แนวป้องกันของเราดำทมิฬเหมือนกับกิลด์ด้วย แต่ มอสไม่สามารถร่ายคุณสมบัติ [เอเทอร์นิตี้] ลงไปได้ ผลของการทำให้ดำทมิฬจึงไม่สามารถคงอยู่ได้ ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปล่อยมันไว้แบบนั้น
ในขณะเดียวกัน ต้องขอบคุณ (?) การระดมยิง ทางลับใต้ดินสำหรับหลบหนีและส่งเสบียงที่เตรียมไว้ล่วงหน้าก็ได้ใช้งานจริง
หากทหารบุกเข้ามาโดยตรงเหมือนวันแรก ก็ไม่จำเป็นต้องขนย้ายสิ่งของใต้ดิน แค่ขนส่งจากด้านหน้าก็พอ แต่หากศัตรูระดมยิงเราจากระยะไกล มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แม้ว่ามันอาจจะดูไม่สมควรเรียกว่าทางเดินใต้ดิน เพราะมันเป็นเพียงร่องสนามเพลาะอำพรางอย่างดีเท่านั้น แต่ตราบใดที่ลูกไฟไม่ตกลงมาจากเหนืออุโมงค์โดยตรง มันก็สามารถป้องกันเปลวไฟได้ ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากมันซ่อนหน่วยส่งเสบียงไว้ จึงไม่มีโอกาสถูกลอบยิงด้วย
มันคงจะดีหากขนย้ายสิ่งของตอนกลางคืนเมื่อการระดมยิงหยุดลง แต่ศัตรูก็ยังคงสังเกตการณ์พวกเราอยู่ ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าอย่างเห็นได้ชัดที่จะใช้ทางลับใต้ดินที่ปลอดภัยแน่นอน
แต่ถึงกระนั้น แม้ว่าการระดมยิงนี้น่ารำคาญจริงๆ แต่นักผจญภัยในกิลด์พร้อมกับวัลแคนกลับสงบและเชื่อฟังอย่างน่าประหลาดใจ
ผมได้เตรียมใจไว้แล้วว่าจะวางแผนจู่โจมไม่ให้รู้ตัวเข้าใส่พวกจอมเวทที่กำลังระดมยิง ไม่ว่าจะบ้าบิ่นแค่ไหนก็ตามหากความไม่พอใจของพวกเขาทนไม่ไหวแล้ว แต่มันก็กลายเป็นความกังวลที่ไม่จำเป็นของผมไป
ขณะคิดเช่นนั้น ผมก็นอนหลับไปอีก 2 ชั่วโมงและจบวันของผมลง
.
.
.
และในเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากเสร็จสิ้นการเตรียมการข้ามแม่น้ำ วันแห่งการโจมตีก็มาถึงในที่สุด
การรบป้องกันอัลซัส บทสรุปแห่งโชคชะตาได้เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 6 แห่งเดือนฮัตสึฮิ
Translater : Eidolonwww.nekopost.net/editor/78229
MANGA DISCUSSION