บทที่ 109 – พลังศักดิ์สิทธิ์แห่งทมิฬเทพ
ลิลี่ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก เย้ยหยันอยู่ในใจต่อเหล่าอัศวินเพกาซัสที่ไม่เลือกไล่ตามเธอลงมา
“อิคิคิ โง่จริงนะพวกแก ทั้งๆ ที่เมื่อกี้นี้เป็นโอกาสดีที่จะฆ่าฉันได้แท้ๆ”
แน่นอน ต่อให้เหล่านักรบตัดสินใจไล่ตามเธอ เธอก็คงไม่ยอมให้ตัวเองถูกฆ่าตายง่ายๆ หรอก
มันเป็นเพียงเรื่องของความเป็นไปได้เท่านั้นเอง เหล่าอัศวินเพกาซัสไม่มีโอกาสชนะเลยขณะที่อยู่บนฟ้า แต่หากพวกมันไล่ตามเธอลงมาในป่าตอนนี้ อย่างน้อยก็อาจจะพอมี ‘โอกาส’ ชนะอยู่บ้าง
“เจ้าพวกนั้นเดาถูกแค่ว่าผลของเวทมนตร์ฉันหมดลง แต่ว่า ตัวเลือกในการรับมือกับมันกลับผิดพลาดมหันต์”
เหล่าอัศวินเพกาซัสละสายตาไปจากทิศที่ลิลี่หายไปแล้ว และหันไปให้ความสนใจกับการต่อสู้เบื้องล่างอย่างเต็มที่
เมื่อพิจารณาว่ากำลังรบทางอากาศเพียงคนเดียวของศัตรูได้หนีไปแล้ว การตัดสินใจนั้นก็ดูไม่ผิดนักในทางยุทธวิธี
แต่ว่า
“ช่างโง่เขลาเสียจริง พวกมันคิดว่าฉันจะไม่กลับไปที่แนวหน้ารึไง? หรือแค่ไม่อยากจะยอมรับความเป็นไปได้นั้นกันแน่?”
ตามคำพูดของลิลี่ มันราวกับว่าหญิงสาวเหล่านั้นเพียงแค่อยากจะหลอกตัวเองให้เชื่อว่าผลของเวทมนตร์ที่ลิลี่ใช้ได้หมดลงแล้วจริงๆ
และ เทเลพาธีของลิลี่ก็ยืนยันว่าความคิดนั้นก็ถูกไปครึ่งหนึ่งเช่นกัน
สำหรับเด็กสาวลิลี่แล้ว มันง่ายมากที่จะอ่านความคิดผิวเผินของคู่ต่อสู้ ที่ไม่ได้ร่ายเวทป้องกันจิตใจโดยเฉพาะ แม้จะอยู่ในระหว่างการต่อสู้ก็ตาม
ลิลี่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าหญิงสาวเหล่านั้นกำลังคิดอะไร และพวกเธอไปถึงข้อสรุปปัจจุบันได้อย่างไร
“พวกมันคิดว่าไม่เวทมนตร์ของฉันก็พลังศักดิ์สิทธิ์หมดเวลาลงสินะ แต่ ดูเหมือนพวกมันจะไม่เคยเอะใจเลยว่าฉันมีและสามารถใช้ได้ทั้งสองอย่าง”
เหตุผลที่ลิลี่ใช้การเบี่ยงเบนความสนใจอันฉูดฉาดเพื่อหนีเข้าไปในป่า ก็เพราะผล 30 นาทีของ [ควีนเบริล] หมดเวลาลงพอดี
เนื่องจาก [ควีนเบริล] ไม่ใช่อาร์ติแฟกต์ที่สร้างขึ้นสำหรับแฟรี่โดยเฉพาะ ความเข้ากันได้ของเธอกับมันจึงอยู่ในระดับปกติเท่านั้น
นั่นคือเหตุผลของขีดจำกัดเวลา 30 นาที หากฝืนใช้นานกว่านั้นจะสร้างภาระอันใหญ่หลวงให้กับลิลี่
“ฟุฟุ ให้ฉันแสดงพลังคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์ของราชินีแฟรี่ให้ดูหน่อยแล้วกัน—“
แต่ [พลังคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์ของราชินีแฟรี่] นั้นแตกต่างออกไป มันคือพลังสำหรับแฟรี่ที่สร้างขึ้นโดยแฟรี่ มันไม่มีภาระต่อร่างกายเมื่อใช้งาน ท้ายที่สุดแล้ว เธอก็แค่กลับคืนสู่ร่างที่แท้จริงอันทรงพลังของเธอเท่านั้นเอง
“[ไลฟ์เดรน]—منح جمیع الطلاب تتخذ قوة الحیاة الطبیعیة من روح امتصاص الدم (มอบพลังชีวิตธรรมชาติจากจิตวิญญาณดูดกลืนโลหิตแก่ศิษย์ทั้งปวง)”
ลิลี่เริ่มร่ายคาถาอันน่าสะพรึงกลัว พร้อมกันนั้นก็หยิบม้วนคัมภีร์ออกมาจากเวทมนตร์มิติประเภทแสงของเธอ คลี่ออกแล้วโยนมันขึ้นไปในอากาศ
มันคือม้วนคัมภีร์ชั้นเลิศ ราคาแพงที่สุดในหมู่บ้าน ทำขึ้นจากหนังของมอนสเตอร์แรงค์ 4 เท่านั้น บนนั้นคือวงเวท [ไลฟ์เดรน] ที่ลิลี่บรรจงวาดไว้
ม้วนคัมภีร์ที่ถูกกระตุ้นด้วยพลังเวทมนตร์ พลันสลายเป็นอนุภาคแสงแล้วขยายตัวเป็นวงเวทขนาดใหญ่โดยมีลิลี่เป็นศูนย์กลาง
และผลของเวทมนตร์อันชั่วร้ายก็สำแดงเดชออกมา พลังชีวิตของทุกสรรพสิ่งในอาณาเขตโดยรอบเริ่มถูกดูดกลืนอย่างบ้าคลั่ง!
“เอาล่ะ มอบชีวิตอันไร้ค่าของพวกแกมาให้ข้าซะดีๆ”
การดูดกลืนพลังชีวิต ซึ่งมีลิลี่เป็นศูนย์กลาง แผ่กระจายออกไปโจมตีสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในป่าราวกับพายุทอร์นาโดมรณะ!
พืชพันธุ์สีเขียวพลันเหี่ยวเฉาลงในพริบตา แมลงที่คลานอยู่บนพื้นดินหยุดนิ่งสนิท เหล่านกกาบนท้องฟ้าต่างร่วงหล่นลงมา
กว่าที่สัตว์กินพืชในบริเวณนั้นจะรู้ตัวและพยายามหนี ร่างกายของพวกมันก็แข็งทื่อและสิ้นใจไปเสียแล้ว
มันก็เหมือนกันกับสัตว์นักล่าที่กินเนื้อ พวกตัวผู้ที่เริ่มระแวดระวังก็ล้มลงในเวลาไม่นาน ส่วนตัวเมียที่พยายามปกป้องลูกน้อยหรือไข่ ก็สูญสิ้นเรี่ยวแรงไปขณะโอบกอดสิ่งที่รักไว้เป็นครั้งสุดท้าย
โดยธรรมชาติแล้ว เหล่าชีวิตน้อยๆ ที่เหลือก็ไร้ทางต่อต้านเช่นกัน ชีวิตที่เพิ่งถือกำเนิดพลันสูญเสียความอบอุ่นในร่างกายไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่ชีวิตเล็กๆ ที่ยังไม่ทันลืมตาดูโลกและยังคงอยู่ในไข่ก็ถูกดูดกลืนไปจนหมดสิ้น!
มันดูดกลืนทุกชีวิตรอบข้างอย่างไม่เลือกหน้า ไม่ปรานี นั่นคือเวทมนตร์อันน่าพรั่นพรึงที่รู้จักกันในนาม [ไลฟ์เดรน]!
“อืม พลังชีวิตแค่นี้ อย่างน้อยก็น่าจะพอให้ข้าอาละวาดได้อีกสัก 20 นาทีล่ะนะ” ลิลี่พึมพำอย่างเย็นชา
แต่สำหรับเธอแล้ว มันเป็นเพียงขั้นตอน ‘เตรียมการ’ ที่จำเป็น เป็นแค่การเติมเชื้อเพลิงเท่านั้น
มันคือราคาที่ต้องจ่าย เครื่องสังเวย บูชายัญ เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่
“โอ้ ราชินีผู้บริสุทธิ์ ผู้น่ารัก และงดงามของข้า—“
ต้นกำเนิดของพลังเวทมนตร์คือโลกใบนี้ แต่ต้นกำเนิดของพลังคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์คือเหล่าทวยเทพ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดึงพลังนั้นมา ไม่ใช่จากโลกนี้ หากแต่เป็นโลกแห่งทวยเทพ
และจิตวิญญาณคือสิ่งที่เชื่อมต่อกับโลกที่เหล่าทวยเทพประทับอยู่
พลังเวททั้งหมดภายในรัศมี 100 เมตรรอบตัวลิลี่ได้ถูกส่งเป็นเครื่องบูชาแก่เหล่าทวยเทพผ่าน [เกท] ภายในจิตวิญญาณของเธอ
และเมื่อร่างกายของลิลี่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์ เธอก็ตะโกนก้องออกมา
ด้วยความรู้สึกขอบคุณและความเคารพอย่างสูงสุด เธอขานพระนามแห่งเทพผู้ประทานพรแก่เธอ
“[ราชินีแฟรี่ ไอริส]!!!”
ลิลี่ ผู้ซึ่งกลับคืนสู่ร่างที่แท้จริงอันทรงพลังอีกครั้งด้วยความช่วยเหลือของพลังคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์ บินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง ทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงผืนป่าสีขาวโพลนอันเหี่ยวเฉาไร้ชีวิต
.
.
.
จนถึงตอนนี้ คุโรโนะไม่เคยเห็นพลังคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์มาก่อนเลย
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ พลังทั้งหมดของคุโรโนะคือ [พลังศักดิ์สิทธิ์แห่งทมิฬเทพ] และพลังทั้งหมดของซาเรียลคือ [พลังศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพขาว]
แต่ทั้งสองกรณีนี้เป็นกรณีพิเศษ คุโรโนะผู้ได้รับพลังมาจากการทดลอง และอัครสาวกผู้ได้รับพลังมาอย่างกะทันหัน ถือเป็นข้อยกเว้นท่ามกลางข้อยกเว้น
แล้ว คนแบบไหนกันล่ะที่จะได้รับพลังคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์ตามปกติ? คำตอบที่เป็นสากลที่สุดก็คือ [ผู้แข็งแกร่ง]
บนทวีปแพนโดร่า พลังคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์ประเภทต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ก็มีอยู่เช่นกัน แต่มันจะไม่เป็นที่สังเกตเห็นเลย สิ่งเดียวที่สามารถแสดงออกมาได้อย่างชัดเจนคือความแข็งแกร่งในการต่อสู้ ในโลกของปิศาจอันทรงพลังแห่งนี้ซึ่งมีกฎแห่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือผู้อยู่รอดดำรงอยู่ มันจึงเป็นความจริงที่เห็นได้ชัด
โดยปกติแล้ว เมื่อใดก็ตามที่มีใครบางคนแข็งแกร่งขึ้นอย่างผิดปกติ นั่นหมายความว่าเขาต้องมีพลังคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์บางอย่างอยู่แน่ๆ
ผลของมันอาจเป็นการอนุญาตให้ใช้เวทมนตร์พิเศษได้, เพิ่มความแข็งแกร่งทางกายภาพ, การฟื้นฟูพลังเวท, เพิ่มความสัมพันธ์กับธาตุ, การเปลี่ยนแปลงรูปร่าง, ฯลฯ มันมีประเภทมากมายเหลือเกินจริงๆ และแต่ละอย่างล้วนมอบพลังอันมหาศาลให้กับบุคคลนั้น
ในทางกลับกัน ตราบใดที่คนๆ หนึ่งไม่ได้แข็งแกร่งพอตั้งแต่แรก เขาจะไม่มีทางได้รับพลังคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์ได้เลย
ระดับนั้นจะอยู่ที่ประมาณแรงค์ 3 ตามระดับนักผจญภัย หรือถ้าจะให้แม่นยำคือ ช่วงครึ่งหลังของแรงค์ 3 ซึ่งเป็นพลังที่ใกล้เคียงกับแรงค์ 4
เนื่องจากคุโรโนะทำแต่เควสต์แรงค์ 1 เท่านั้นหลังจากมาถึงทวีปแพนโดร่า จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาไม่เคยอยู่ร่วมกับนักผจญภัยที่แข็งแกร่งคนใดที่อาจจะมีพลังคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์
แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป กองกำลังจู่โจมที่นำโดยคุโรโนะล้วนเป็นนักผจญภัยแรงค์ 3 ขึ้นไปทั้งสิ้น
นอกเหนือจากมนุษย์หมาป่าแรงค์ 4 แล้ว ยังมีนักผจญภัยเผ่าพันธุ์แข็งแกร่งอย่าง ออร์ค, มนุษย์กิ้งก่า, โกเลม รวมถึงมนุษย์และเอลฟ์ที่ครอบครองทักษะยุทธ์ต่างๆ พวกเขามีหลากหลายประเภท แต่ทั้งหมดล้วนเป็นนักรบที่ครอบครองพลังคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง
และดังนั้น คุโรโนะจึงได้เห็นพลังอันท่วมท้นของผู้ใช้พลังคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์เป็นการส่วนตัวในการต่อสู้ครั้งนี้เป็นครั้งแรก
.
.
.
“โอร่าาาาาา!!”
ทุกครั้งที่ดาบยักษ์ [ดาบเขี้ยว–เขมือบปิศาจ] ของวัลแคนถูกเหวี่ยงออกไป พวกครูเสดเดอร์จำนวนมากก็ปลิวกระเด็นไปในอากาศ!
ทหารทุกคนที่โดนเข้าไปต่างสูญเสียแขนขาไปหนึ่งข้างหรือหลายข้างทันที พวกที่ไม่เป็นเช่นนั้นนับว่าโชคดีมาก หากไม่นับความจริงที่ว่าพวกเขาก็ยังคงต้องตายอยู่ดีไม่ช้าก็เร็ว
“เข้ามาเลย ไอ้พวกมนุษย์ชั้นต่ำ! ข้าเริ่มจะติดลมแล้วโว้ย!”
วัลแคนแบกดาบเปื้อนเลือดพาดบ่า ยิ้มอย่างไม่เกรงกลัวให้เหล่าทหาร เป็นภาพลักษณ์ของปิศาจอันน่าสะพรึงกลัวตามที่เล่าขานกันในสาธารณรัฐอย่างแท้จริง
แต่เหล่าทหารจะไม่ถอย พวกเขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ท้ายที่สุดแล้ว การสังหาร การทำลายล้างสิ่งมีชีวิตเช่นนี้คือหลักศรัทธาของพวกเขา
“อย่าหวั่นไหว! โจมตีมันพร้อมกัน!!”
ภายใต้คำสั่งของผู้บังคับหมู่ เหล่าทหารตั้งกระบวนทัพด้วยหอกของตนและเผชิญหน้ากับวัลแคน
“เหะเหะ ดูเหมือนพวกแกจะยังไม่กลัวสินะ ดีล่ะ ข้าเองก็จะเอาจริงขึ้นมาหน่อยก็แล้วกัน—“
โดยไม่ยอมแพ้ต่อจิตสังหารและจิตวิญญาณการต่อสู้ที่วัลแคนปลดปล่อยออกมา เหล่าทหารก็โจมตีเขาด้วยหอกของตน!
หอกพุ่งเข้าใส่เขา! แม้จะเป็นดาบใหญ่ แต่หอกก็ยังคงมีระยะยาวกว่า! เบื้องหน้ากำแพงหอกที่ไม่มีทางหนี วัลแคนก็เปล่งนามแห่งเทพของตน!
“เขี้ยววายุเดียวดาย—[หมาป่าเดียวดาย–วูล์ฟแกนด์]!”
พลังแห่งพลังคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์แผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขาในทันที ขณะที่เขากลับเยือกเย็นลงยิ่งกว่าเดิมขณะเผชิญหน้ากับกำแพงหอกนั้น!
“[แอร์สแลช]!!!”
พลังแห่งลมสถิตอยู่ภายในการฟันในแนวนอนเพียงครั้งเดียวที่ทำด้วยดาบใหญ่เล่มนั้น!
เนื่องจากวัลแคนควบคุมดาบของตนได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันจึงไม่ได้กลืนกินพลังเวทมนตร์ของลมที่สร้างขึ้น!
เพลงยุทธ์ [แอร์สแลช] ที่ถูกปลดปล่อยออกมาคือการฟันที่ยาวขึ้นมากและไปได้ไกลหลายเมตร กวาดทำลายทุกสิ่งที่อยู่ข้างหน้าอย่างสิ้นเชิง!
หอกที่อยู่ห่างจากร่างเขาเพียงไม่กี่เซนติเมตร ถูกพัดกระเด็นไปในทันที และเหล่าทหารก็ถูกผ่าร่างออกเป็นสองท่อนและตายไปขณะที่ยังคงเชื่อว่าการโจมตีของตนได้ผล!
วัลแคนผู้สังหารทหารจำนวนมากได้ในดาบเดียว เปลี่ยนเป้าสายตาและตัดสินใจเลือกเหยื่อรายต่อไปแล้ว!
ผู้ที่ตกอยู่ในสายตาของหมาป่าอันโหดร้ายคือผู้บังคับหมู่ซึ่งสวมใส่อุปกรณ์ดีกว่าทหารคนอื่นๆ อุปกรณ์นั้นไม่ได้มีไว้แค่โชว์ เขาแข็งแกร่งกว่าทหารคนอื่นๆ จริงๆ และครอบครองทั้งเวทมนตร์ระดับต่ำและเพลงยุทธ์ด้วย
วัลแคนคิดว่าหากทหารระดับเดียวกับเขาสัก 5 คนโจมตีพร้อมกัน เขาอาจจะได้รับบาดเจ็บอย่างน้อยสักครั้ง
“พ-พระเจ้า โปรดประทานการคุ้มครองแก่ข้าด้วย!—- [ไอซ์ซาจิตต้า]: بیرس الجلید الأسھم (ศรน้ำแข็งทะลวง)”
อาจเป็นเพราะเขาเห็นลูกน้องจำนวนมากตายไปในดาบเดียว ใบหน้าของเขาแสดงความหวาดกลัวออกมา แต่เขาก็ยังไม่ได้สูญเสียจิตวิญญาณการต่อสู้ไปโดยสิ้นเชิง!
เขาไม่เพียงแต่สวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าของตน แต่ยังใช้งานเวทโจมตีด้วย!
(“เจ้าฆ่าข้าด้วยแค่ไอซ์ซาจิตต้าไม่ได้หรอก”)
แม้ว่าวัลแคนจะยอมรับว่าคู่ต่อสู้ของเขากล้าหาญพอที่จะไม่หนีไปในทันที แต่นั่นก็ไม่เพียงพอที่จะลดช่องว่างในความแข็งแกร่งของพวกเขาได้
(“โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ที่พลังคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์ของข้าทำงานอยู่ ข้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ด้วยซ้ำ”)
พลังคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์ [หมาป่าเดียวดาย–วูล์ฟแกนด์] คือพลังแห่งลม
ผู้ที่ได้รับพลังคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์นี้จะมีร่างกายห่อหุ้มด้วยลม เมื่อโจมตี คมดาบแห่งลมก็จะเสริมแรงเข้าไปด้วย แรงดันลมจะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันเพื่อลดความเสียหายที่เข้ามา และขณะวิ่ง สายลมอันรุนแรงก็จะช่วยพยุงร่าง
ผลนี้ที่ช่วยเพิ่มพลังโจมตี ป้องกัน หลบหลีก ทุกอย่างอย่างสมดุลนั้น มีประโยชน์อย่างยิ่งในระหว่างการต่อสู้ที่ต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้จำนวนมากเช่นนี้
ดังนั้น การป้องกันหรือหลบหลีก [ไอซ์ซาจิตต้า] นี้จึงเป็นเรื่องง่าย หากเขาต้องการ วัลแคนสามารถพุ่งตรงไปข้างหน้าและฟันเขาลงทันทีได้เลย!
ในที่สุดวัลแคนก็ตัดสินใจเลือกแนวทางการกระทำของตน และก้าวไปข้างหน้าด้วยขาข้างหนึ่งที่เบาขึ้นกว่าเดิมเพราะสายลม โจมตีอย่างคล่องแคล่วว่องไวดุจพายุที่รุนแรง!
“ไอซ์ซาจิตต้าาาาาาาา!!!”
“หือ?”
วัลแคนหยุดเคลื่อนไหว ก่อนที่การโจมตีของเขาจะไปถึง เลือดก็พุ่งออกมาจากลำคอของผู้บังคับหมู่ และเขาก็ล้มลงก่อนที่จะทันได้โจมตีเสียอีก!
(“ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยนี่หว่า…..”)
วัลแคนกำลังสงสัย แต่เขาก็ได้คำตอบในไม่ช้าเมื่อมองดูใกล้ๆ
“ชิ ขโมยเหยื่อของข้าไปไม่ได้รับอนุญาตนะ คุณซูซู”
“ฟุฟุฟุ ของแบบนี้ใครดีใครได้ค่ะ”
โดยไม่มีความลังเล นักผจญภัยแรงค์ 4 ซูซู ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
เธอสวมเสื้อคลุมสีเทา เป็นผู้หญิงที่ไม่มีลักษณะโดดเด่นอะไรเลย เธอธรรมดามากเสียจนขณะเดินผ่านไปตามท้องถนน ผู้ชาย 9 ใน 10 คนจะไม่แม้แต่จะหันกลับมามองเธอ
แต่การที่เธอกำมีดสั้นเล่มใหญ่ในท่าจับย้อนศรซึ่งสามารถตัดผ่านได้แม้กระทั่งเกราะโซ่ เธอคือตัวตนที่หาได้ยากที่สามารถสนทนาได้อย่างสงบพร้อมรอยยิ้มแม้จะอยู่ต่อหน้าวัลแคนผู้ซึ่งกำลังปลดปล่อยจิตต่อสู้อันมหาศาลออกมา
ไม่สิ สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าคือความจริงที่ว่าแม้แต่วัลแคนก็คงไม่รู้ตัวว่าเธออยู่ตรงนั้นด้วยซ้ำหากเขาไม่ได้ตั้งสมาธิอย่างถูกต้อง!
เธอไม่ได้ใช้เวทมนตร์โดยตรงเพื่อปกปิดตัวตน เธอเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญในการปกปิดตัวตนของตนเองเสียจนกระทั่งเธอกลายเป็นเหมือนก้อนกรวดริมถนนที่ไม่มีใครแม้แต่จะนึกถึง!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากการสังหารหมู่ที่เลือดและคมดาบปลิวว่อนเช่นนี้ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้เผชิญหน้ากับเธอแบบนี้!
“คราวนี้เธอดูเอาจริงเอาจังน่าดูเลยนะ” (วัลแคน)
“ก็แหงสิคะ ฉันต้องแสดงความเท่ให้คู่หูของฉันเห็นนี่นา” (ซูซู)
“ห้ะ ดูเหมือนเธอจะสนใจเจ้าเด็กนั่นนะเนี่ย ไม่คิดเลยว่าเธอจะมีรสนิยมแบบนั้น”
หลังจากที่เขาพูดเช่นนั้น เขาก็ตระหนักได้ว่าซูซูได้หายไปจากสายตาของเขาแล้ว
ก่อนที่เขาจะทันได้คิดว่าเธอหายไปไหน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังเขา
“ฉันไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าไม่สนใจเขา แต่ที่คุณพูดมามันไม่ดีเลยนะ คุณนี่ขาดความละเอียดอ่อนจริงๆ”
(“บ้าจริง คราวนี้ข้ามองไม่เห็นเธอเลยแม้แต่น้อย! นอกจากลอบเร้นแล้ว ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเธอยังเหนือกว่าวูล์ฟแกนด์อีกเหรอ? หรือว่ายัยสไลม์นี่กำลังใช้พลังคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์ของเธออย่างจริงจัง?”)
เขาได้ข้อสรุปว่าการพูดคุยไร้สาระต่อไปจะมีแต่จะนำปัญหาที่ไม่จำเป็นมาให้ และตัดสินใจที่จะขอโทษอย่างจริงใจ
“ข้าผิดเอง เป็นเรื่องดีถ้าพวกเธอสองคนเข้ากันได้”
“แน่นอนค่ะ งั้นไปก่อนนะคะ มาพยายามกันต่ออีกสักหน่อยเถอะค่ะ”
เมื่อเขามองกลับไป ซูซูก็หายไปแล้ว
วัลแคนรู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังพูดคุยกับภูตผีอยู่จนถึงตอนนี้
“ใช้พลังคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์ของ [นักย่างเงา–ฮันโซมะ] งั้นเหรอ เธอไม่ใช่นักโจรแต่เป็นนักฆ่าสินะ”
เออ ช่างมันเถอะ พวกเขาจะใช้ทักษะของเทพองค์ไหนมันก็เป็นทางเลือกของพวกเขาเอง ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับมัน นั่นคือวิถีการทำงานของนักผจญภัย หยุดความคิดไว้แค่นั้น เขาก็หันไปหาเหล่าทหารที่กำลังข้ามแม่น้ำมาที่นี่
“ตอนนี้ ข้าแค่ต้องสนุกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็พอ!!”
สาบานว่าจะไม่ยอมให้เหยื่อของตนถูกขโมยไปอีกครั้ง วัลแคนยกดาบใหญ่ขึ้นและพุ่งเข้าใส่กลุ่มศัตรูอย่างร่าเริงยินดี!
ขนสีเทาของวัลแคนที่ห่อหุ้มด้วยสายลมขณะที่เขาวิ่งไปมาราวกับพายุสังหารศัตรูนั้น คือภาพลักษณ์ที่แท้จริงของผู้ที่ได้รับพลังคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์ของ [หมาป่าเดียวดาย–วูล์ฟแกนด์]
Translater : Eidolonwww.nekopost.net/editor/78229
MANGA DISCUSSION