บทที่ 105 – นักเล่นแร่แปรธาตุสไนเปอร์
กิลด์นักผจญภัยซึ่งพวกครูเสดเดอร์ตั้งชื่อเล่นให้ว่าแบล็กบ็อกซ์ กำลังทำหน้าที่ประหนึ่งหอคอยสงครามอันทรงพลัง ระดมยิงลูกศรจำนวนมากเข้าใส่ข้าศึกอย่างต่อเนื่อง
ยกเว้น [เจ้าหญิงนักล่าทั้งสาม] แล้ว นักผจญภัยเกือบทุกคนที่ยิงธนูเป็น ต่างก็ประจำการอยู่บนตึกกิลด์ในขณะนี้
ด้วยเหตุนั้น คนที่ยืนหยัดอยู่หน้าประตู คอยใช้ธนูสกัดกั้นทัพครูเสดเดอร์ที่บุกเข้ามาซึ่งๆ หน้า จึงกลายเป็นพวกนักดาบและนักรบเสียส่วนใหญ่
แต่นั่นก็ทำให้นักธนูฝีมือฉกาจสามารถเลือกที่มั่นบนจุดสูงข่มซึ่งเหมาะแก่การเล็งยิง และสามารถมุ่งเน้นไปที่การยิงสนับสนุนเพียงอย่างเดียวได้เต็มที่ โดยมีตึกกิลด์สีดำทะมึนคอยป้องกันภัยให้
และ บนดาดฟ้าของกิลด์ซึ่งเป็นจุดรวมพลของนักธนูส่วนใหญ่ ยังมีแท่นยกสูงที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษ บนนั้นคือร่างของไซม่อน ผู้ยืนตระหง่านพร้อมสไนเปอร์ไรเฟิลคู่ใจ
“ทิศ 2 นาฬิกา ระยะ 380 ดูจากรูปพรรณน่าจะเป็นผู้บังคับหมู่ ไม่มีโล่”
ข้างกายเขา ซูซู สไลม์โจรระดับ 4 กำลังทำหน้าที่เป็นผู้ชี้เป้าสนับสนุน
นอกเหนือจากหน้าที่สนับสนุนแล้ว เธอยังทำหน้าที่เป็น ‘กล้องเล็ง’ ให้กับปืนกระบอกนั้นด้วย
ซูซูเปลี่ยนแขนข้างหนึ่งกลับสู่ร่างสไลม์โปร่งแสงตามเดิม แล้วปรับแต่งองค์ประกอบของเนื้อสไลม์นั้น สร้างเป็นเลนส์ที่สามารถขยายภาพวัตถุระยะไกลได้ราวกับกล้องส่องทางไกลชั้นดี
การแปลงร่างด้วยเวทมนตร์พิเศษนี้เองที่ไซม่อนนำมาใช้เป็นกล้องเล็งสำหรับการซุ่มยิงระยะไกล
“……เห็นเป้าหมายแล้ว”
ภาพของจอมเวทที่ไม่ทันระวังตัวกำลังร่ายคาถาปรากฏชัดขึ้นในเลนส์สโคป
ชายผู้นั้น ซึ่งคาดว่าเป็นผู้บังคับหมู่ของหน่วยจอมเวท คงไม่รู้ตัวจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย ว่าตนเองกำลังตกเป็นเป้าหมายจากยอดตึกกิลด์ฝั่งตรงข้าม ศีรษะของเขาระเบิดกระจาย และการร่ายเวทก็ถูกขัดจังหวะไปชั่วนิรันดร์
“จัดการได้ในนัดเดียวอีกแล้ว ฝีมือดีจริงๆ นะ” ซูซูเอ่ยชม
“ไม่หรอกครับ ปืนกระบอกนี้ต่างหากที่ยอดเยี่ยม…….แต่ว่า ก็ขอบคุณครับ”
ไซม่อนตอบพลางใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อกับคำชมที่ไม่คุ้นเคยนัก
ปืนที่ไซม่อนใช้อยู่ในขณะนี้ เป็นหนึ่งในผลงานที่สร้างขึ้นอย่างเร่งรีบ นับตั้งแต่วันที่เขาได้พบกับคุโรโนะ แต่พลังและประสิทธิภาพของมันนั้น เหนือกว่าอาวุธใดๆ ที่เขาเคยใช้มาอย่างเทียบไม่ติด
นับแต่แรก คุโรโนะมอบหมายหน้าที่ให้ไซม่อนเพียงสองอย่าง: หนึ่งคือการผลิตปืนกล และสองคือให้เขาเข้าร่วมรบในฐานะพลซุ่มยิง
หากย้อนเวลากลับไป เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่คุโรโนะสามารถอธิบายเกลี้ยกล่อมลิลี่ที่กำลังโกรธจัด ซึ่งบุกเข้ามาในห้องทดลองของไซม่อนจนสงบลง และส่งเธอกลับไปได้แล้วเรียบร้อย
.
.
“นี่ คุณพี่ครับ เล่าเรื่องปืนในบ้านเกิดของคุณพี่ให้ผมฟังอีกหน่อยสิครับ”
คนที่เริ่มพูดก่อนคือไซม่อน
มันคืออาวุธที่เขาสร้างขึ้นด้วยทักษะทั้งหมดที่มี และตอนนี้เขาก็เพิ่งรู้ว่ามีของประเภทคล้ายกันอยู่ที่อื่นด้วย ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้สึกสงสัยใคร่รู้
“อืม ได้สิ เอ่อ จะเริ่มจากตรงไหนดี—“
เนื่องจากพวกเขาไม่มีเวลามานั่งคุยกันสบายๆ คุโรโนะจึงอธิบายเกี่ยวกับปืนอย่างกระชับ
คุโรโนะอธิบายว่า ที่บ้านเกิดของเขา (โลก) ปืนเป็นอาวุธหลักในกองทัพอย่างไร รูปร่างและโครงสร้างของมันเป็นแบบไหน และปืนสามารถคร่าชีวิตได้มากกว่าดาบมากมายเพียงใด
แต่ว่า คุโรโนะไม่ได้พยายามจะสั่งสอนไซม่อนเกี่ยวกับอันตรายของปืนหรอกนะ สิ่งที่เขาต้องการในตอนนั้นคือปืนที่ทรงพลังต่างหาก
“มีการปรับปรุงสามอย่างที่นายสามารถทำได้ในตอนนี้ อย่างแรกคือติดพานท้ายปืนเข้าไป อย่างที่สองคือทำเกลียวในลำกล้องปืน และ—“
คุโรโนะใช้งานเมจิกบุลเล็ตอาร์ตส์ที่ปลายนิ้ว และวางกระสุนสีดำที่สร้างจากพลังเวทมนตร์ไว้ตรงหน้าไซม่อน
“อย่างสุดท้ายคือใช้กระสุนของผม”
“นี่คือ กระสุนแบบเดียวกับที่คุณพี่ใช้ด้วยเวทมนตร์เมื่อกี้นี้สินะครับ?”
“ใช่ ถึงผมจะสร้างดินปืนไม่ได้ แต่ผมสร้างหัวรบเหล็กกล้าแบบนี้นับไม่ถ้วนได้ ถ้านายสามารถใส่คุณสมบัติคงสภาพนิรันดร์ให้พวกมันได้ มันก็จะอยู่ได้นานหลายวัน และเราสามารถสร้างได้มากกว่าการสร้างกระสุนขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ต้น”
“แต่ถ้าไม่มีดินปืน มันก็ยิงไม่ได้นะครับ ผมไม่ใช่นักเวท ดินปืนที่ผมใช้อยู่ตอนนี้คือหินเวทมนตร์ประเภทไฟ มันไม่ใช่ของราคาถูกเลยนะครับ”
ดูเหมือนว่าแม้ผลลัพธ์จะเหมือนกัน แต่วัตถุดิบสำหรับดินปืนในต่างโลกจะแตกต่างออกไป
แต่สำหรับคุโรโนะแล้ว การเปลี่ยนแปลงวัตถุดิบไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล สิ่งที่จำเป็นทั้งหมดคือการยิงกระสุนออกไปได้อย่างถูกต้อง ดังนั้น ส่วนเดียวที่เขาต้องกังวลคือการจัดหาดินปืนที่ไซม่อนกล่าวถึง แต่ทว่า
“หินเวทมนตร์?”
คุโรโนะไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร
แต่ไซม่อนดูเหมือนจะไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนั้นและพูดต่อ
“ผมกำลังพูดถึงอัญมณีสีแดงที่มักจะเห็นอยู่บนยอดคทาไฟน่ะครับ คุณพี่ก็รู้ใช่ไหมครับว่าไม้เท้าเวทมนตร์ราคาสูงกว่าดาบมากน่ะ? ด้วยเงินที่ผมมีอยู่ การจะซื้อแม้แต่อันเดียวยังน่าสงสัยเลยครับ”
เหตุผลที่คุโรโนะซึ่งเป็นจอมเวท ไม่รู้เกี่ยวกับ [หินเวทมนตร์] ก็เพราะเขาไม่เคยมีความจำเป็นหรือโอกาสที่จะซื้อไม้เท้าเวทมนตร์เลยจริงๆ
ตอนที่เขาลงทะเบียนเป็นนักผจญภัย เขาก็ได้ [แบล็ก บาลิสต้า เรพลิก้า] มาแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องซื้อไม้เท้าอันอื่นอีกเลย อีกอย่าง ร้านขายไอเทมในหมู่บ้านไอร์ซก็ไม่มีไม้เท้าสำหรับเวทมนตร์ดำหรือเวทมนตร์ธาตุมืดด้วย
แต่ถึงกระนั้น เขาก็เคยเห็นไม้เท้าเวทมนตร์มาหลายครั้งและเข้าใจโครงสร้างของมันดี เขาจึงเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าส่วนไหนหมายถึงหินเวทมนตร์
แต่ ก็ไม่จำเป็นเสมอไปที่ไม้เท้าเวทมนตร์จะต้องใช้หินเวทมนตร์ แต่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
“ถ้างั้น นายต้องการไม้เท้าเวทมนตร์กี่อันถึงจะมีดินปืนพอ?” (คุโรโนะ)
“ถ้าผมมีสัก 10 อัน ผมก็จะมีพอใช้ไปจนถึงปีหน้าเลยครับ แต่ว่าจริงๆ นะครับ คุณพี่ นั่นมันขอมากเกินไป—“
“งั้นผมจะเตรียมให้นาย 10 อัน”
“——หา?”
“อะไรนะ ไม่พอเหรอ?”
“ไม่ใช่ครับ! คุณพี่จะไปเตรียมมา 10 อันได้ยังไง!?!”
“อืม เราสามารถใช้ของอะไรก็ได้ที่เหลืออยู่ในหมู่บ้านได้อย่างอิสระนี่นา เราน่าจะหาเจอพอถ้าค้นในโกดังร้านขายอาวุธ ใช่ไหม?”
“อะไรคือกระบวนการคิดแบบโจรปล้นนั่นล่ะครับ!? นั่นมันปล้นกันชัดๆ!?”
อืม นั่นอาจจะจริง แต่สำหรับคุโรโนะที่ไปไกลถึงขั้นใช้กลยุทธ์เผาทำลายแล้ว เขาไม่มีความลังเลใดๆ เลยที่จะใช้ ‘ทรัพยากร’ ใดๆ ก็ตามที่มีอยู่
ไซม่อนรู้สึกไม่สบายใจเมื่อมองทัศนคติ ‘ใช้ทุกอย่างที่มีอยู่’ ของคุโรโนะ
“ผมจะให้สิทธิ์นายในการใช้ของในหมู่บ้านก่อนเลย แล้วก็ นายต้องใช้โรงตีเหล็กเพื่อสร้างปืนด้วยใช่ไหม? ผมจะเตรียมให้นายด้วยเหมือนกัน”
สำหรับไซม่อนที่เคยทำได้เพียงวิจัยด้วยงบประมาณอันน้อยนิด ข้อเสนอนี้มันช่างน่าดึงดูดใจเกินไป
“งั้นฝากด้วยนะครับ!”
ผลก็คือ ไซม่อนตัดสินใจที่จะไม่ใส่ใจรายละเอียดหยุมหยิมและเริ่มลงมือผลิตปืนทันที
.
.
.
และสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาก็คืออาจจะเป็นสไนเปอร์ไรเฟิลกระบอกแรกในโลกนี้ที่ถูกเรียกว่า [ยาตะการาสุ] ซึ่งเขาใช้มันยิงเข้าที่ศีรษะของเหล่าจอมเวทศัตรูทีละคนๆ
อนึ่ง คนตั้งชื่อคือคุโรโนะเอง
“ที่บ้านเกิดของผม ปืนที่หัวหน้าทหารรับจ้างคนหนึ่งเคยใช้เมื่อนานมาแล้วถูกเรียกว่า [ยาตะการาสุ]”
เมื่อเขาได้ยินชื่อนั้น ไม่รู้ทำไมไซม่อนถึงชอบมันขึ้นมาทันทีและยอมรับชื่อนั้น
(“เจ้า [ยาตะการาสุ] นี่เป็นปืนที่น่าทึ่งจริงๆ ต้องขอบคุณคำแนะนำของคุณพี่ ผมถึงสามารถสร้างของระดับนี้ขึ้นมาได้”)
ปืนที่ไซม่อนภาคภูมิใจยังคงยิงกระสุนออกจากปากกระบอกและสังหารเหล่าจอมเวทศัตรูลงไปเรื่อยๆ
อย่างที่คาด มันยังคงเป็นปืนแบบยิงทีละนัด แต่ไซม่อนผู้มีความแม่นยำไร้ที่ติกลับมีจำนวนสังหารสูงกว่าใครๆ บนดาดฟ้านี้
(“แต่ยังไม่พอ ปืนนี้ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุงอีก แม้แต่ปืนกลก็น่าจะยิงได้โดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์เหมือนกัน”)
นับตั้งแต่วันที่เขาได้พบกับคุโรโนะ หัวของเขาก็เต็มไปด้วยงานวิจัยใหม่ๆ ทุกประเภท
นั่นแสดงให้เห็นว่าข้อมูลและความรู้ที่คุโรโนะนำมานั้นมีค่าเพียงใดสำหรับไซม่อน
(“เพราะงั้น ผมจะตายที่นี่ไม่ได้ ผมยังมีของอีกเยอะแยะที่อยากจะสร้าง! ผมจะไม่ยอมถูกฆ่าโดยใครก็ไม่รู้ที่โผล่มาจากไหนเด็ดขาด!!”)
สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดของไซม่อนกำลังทำงานอย่างแข็งขันกว่าที่เคยเป็นมา แต่ตรงกันข้ามกับความคิดอันร้อนแรงและมุ่งมั่น เขายังคงเยือกเย็นและสงบ ยิงเป้าหมายทุกคนลงไปอย่างใจเย็น
“หืม นั่นมัน—“
“มีอะไรเหรอ?”
คนที่สังเกตเห็น ‘สิ่งนั้น’ ได้เร็วที่สุดคือซูซู
“อัศวินเพกาซัสปรากฏตัวแล้วค่ะ ทิศ 11 นาฬิกา เห็นไหมคะ?”
เมื่อมองผ่านเลนส์สไลม์สโคป ก็เห็นร่างของอัศวินเพกาซัสกำลังบินอยู่เหนือป่าที่อยู่ไกลออกไป
“มีจำนวน…เยอะกว่าที่เราคิด”
“ค่ะ แต่ว่า ตอนนี้เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อใจแล้วล่ะค่ะ”
“…..ครับ”
ไซม่อนกำด้ามปืนแน่นอีกครั้ง แสดงสมาธิสูงสุดออกมาอีกครั้ง
เขายังไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับอัศวินเพกาซัส เขาเพียงแค่ต้องสังหารจอมเวทให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในตอนนี้
ความน่าสะพรึงกลัวของอัศวินเพกาซัสได้ยินมาจากนักผจญภัยหลายคน แต่ไซม่อนไม่ได้รู้สึกกลัวอัศวินเพกาซัสที่กำลังใกล้เข้ามาที่นี่ในตอนนี้เลย
นั่นเป็นเพราะว่า คนที่จะไปเผชิญหน้ากับอัศวินเพกาซัสเหล่านั้นคือ ‘แฟรี่’ ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่านั้นเอง
Translater : Eidolonwww.nekopost.net/editor/78229
MANGA DISCUSSION