ตอนที่ 3 ช่างภาพ
และฉันเพียงแค่จดจำมันไว้
สำนักงานนักสืบสำหรับไขคดี ตั้งอยู่ในอาคาร 3 ชั้นบนถนนแห่งหนึ่งในเขต 14
มันเป็นเรื่องแปลกใจที่ลูกค้าสามารถหาทางมาที่สำนักงานเล็ก ๆ ของฉันได้
“คือมันมีข่าวลือเรื่องซอยผีสิง เวลามีคนเดินผ่านจะหายตัวไป”
“คดีคนหายอีกแล้วสินะ”
“แล้วพวกเขาหายไปได้ไง?”
เอสราถามด้วยความอยากรู้
“ไม่มีใครรู้ว่าใครหายไปแล้วหายไปได้ยังไง ที่เรารู้มีแค่มีคนหายไป”
“แบบนั้นน่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงความทรงจำไม่ก็การบิดเบือนความเป็นจริง”
“แต่คุณนักสืบ การบิดเบือนความเป็นจริงเป็นแค่ทฤษฎีนิ?”
“ก็นี้อาจเป็นครั้งแรกที่เราเจอ”
“พวกคุณหมายถึงอะไรกัน?”
“ไม่ต้องใส่ใจหรอก มันก็แค่ศัพท์เฉพาะของทางเรา แล้วจุดที่พวกเขาหายไปคือตรงไหน”
“มันเกิดแถว ๆ จัตุรัสถนอมหวัง”
“ไม่ได้ไกลจากที่นี่ซะเท่าไหร่”
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่ามีคนหายไป?”
“มันมีสิ่งของถูกทิ้งไว้แถวนั้น อย่างจักรยานไปจนถึงรถยนต์ และที่สำคัญคือในห้องใต้หลังคาของบ้านฉันมีเฟอร์นิเจอร์วางไว้เหมือนมีคนเคยอยู่”
“หมายความว่ามีคนในครอบครัวของคุณหายตัวไปสินะ”
“อ่า? คือฉันอยู่คนเดียว”
“เมื่อเราสืบสวนดู เดี๋ยวเราก็รู้”
“…คือถ้าฉันมีครอบครัวตามที่คุณบอกจริง ๆ แล้วเขาตายไปแล้ว…”
“คุณอยากให้คดีจบลงยังไง”
“คนร้ายต้องถูกฆ่า”
“คุณเป็นคนที่เด็ดขาดมาก”
“นั้น~ เรามาคุยเรื่องค่าบริการกันเลยดีกว่า”
เอสราตาเป็นประกายเมื่อเธอพูดขึ้นมา ฉันปล่อยให้เอสราดูแลเรื่องการเงินของสำนักงานเรา เธอรู้ดีว่าคดีมีความตึงเครียดหรือความยากระดับไหน ฉันจึงวางใจให้เธอเจรจาค่าบริการ ฉันเดินไปที่ระเบียง ปล่อยเอสรากับลูกค้าเจรจากัน
ฉันเริ่มสูบไปป์ ยืนรับลมฉุนของตรอกหลัง มันแย่แต่ก็ดีเมื่อเทียบกับสงครามควัน(Smoke War)มาก มากจริง ๆ มองลงไปตามถนน สัตว์ประหลาดจากการบิดเบือนก็ยังคงเดินเกลื่อนกลาดเหมือนเคย ฉันจะทำต่อไปได้อีกนานแค่ไหน ฉันพ่นควันไปพลางคิดไป
“คุณนักสืบ! ฉันทำสัญญาเสร็จแล้ว ส่วนลูกค้ากลับไปแล้ว”
“จัตุรัสถนอมหวังสินะ… ไปเตรียมตัวให้พร้อม”
“ค่ะหัวหน้า~ ให้ฉันเอาอุปกรณ์ไปเหมือนเดิมไหม?”
เอสราถามขณะเอาอุปกรณ์ใส่กระเป๋ามิติ
“ตามนั้น”
ฉันเดินไปทางถนนกับเอสรา ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสอง
“ต๊า-ดา~ เรามาถึงจตุรัสถนอมหวังแล้ว! เราจะทำไรกันต่อหรอ? ต้องรอให้ถึงกลางคืนไหม?”
จากที่ลูกค้าบอกมา นี้น่าจะเป็นการบิดเบือนประเภทสถานที่ เป็นการบิดเบือนอย่างรุนแรงที่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อม มันจะกลืนกินทุกสิ่งรอบข้างเข้าไป
“เราต้องหาอาคารที่บิดเบือน”
“แต่มีแค่คุณนี่น่าที่มองเห็นอาคารแปลก ๆ คุณนักสืบ~ แล้วฉันล่ะต้องทำอะไร?”
“ก็มองหาพวกจักรยานที่ถูกทิ้งไว้”
หน้าต่างมีตา อาคารลอยฟ้า ประตูที่มีฟัน แล้วก็ห้องที่เต็มไปด้วยน้ำ… มีอาคารมี่บิดเบือนอยู่เยอะมากเลย มันคงเป็นภาพที่น่าชมมาก ถ้าพวกมันก่อตัวปรากฏขึ้นพรัอมกัน
เอาล่ะ เราจะตรวจสอบอาคารหลังไหนก่อนดี? ฉันไม่ได้มีเกณฑ์เฉพาะเจาะจงในใจด้วยสิ หากลองอนุมานและใช้สัญชาตญาณดูก็น่าจะหาทางออกได้ นี้เป็นคดีของการบิดเบือนที่กลืนกินผู้คน เหยื่อจะถูกลืมไปจากคนอื่น ทำไมพวกเขาถึงเข้าไปหาเจ้าสิ่งบิดเบือน? ฉันอยากรู้ข้อมูลของแต่ละคน แต่ไม่มีใครรจำได้ว่าใครหายไป มันเลยเป็นเรื่องยากที่จะจับจุดสังเกต…
“เอสรา มองหาร้านที่ขายหรือไม่ก็บริการฟรี”
“เอ่~ ? ของฟรี? มันจะมีร้านแบบนั้นจริงเหรอ?”
“ถ้าให้เจาะจงก็ร้านที่คนว่างงานจะไป”
และเหตุผลที่หาทางออกเจอ นั้นเพราะการบิดเบือนตามท้องถนนและในเมืองนี้ มันเข้าใจง่าย
“นั้น! มีตรงนั้นค่ะ ร้านที่ชื่อว่าร้านซุปลูเมียร์”
“มีใครเป็นผู้สนับสนุนร้านนี้ไหม”
“ม่ายมีค่ะ มันเป็นร้านอาหารส่วนบุคคล”
ผู้คนที่จะถูกเมืองลืมเลือน จะเข้าหาอาหารฟรีเป็นธรรมดา
“นี้ไม่ใช่ร้านถ่ายรูปเหรอ?”
“เอ่ะ? มันเป็นแค่ค่ายเต็นท์เน่า ๆ นี่น่า?”
“…การบิดเบือน”
“งั้นคุณเห็นเป็นร้านถ่ายรูปสินะ คุณนักสืบ?”
“ก็เป็นร้านที่เก่าทีเดียว มันเป็นร้านซุปสินะตรงนี้?”
“ค่ะ จากคำอธิบายเห็นว่าจะมีการแจกอาหารฟรีให้เด็กและคนแก่ที่ยากจน”
“เราจะใช้แฟรี่เพื่อเข้าไปเลยไหม?”
“หาาา?? คุณไม่รู้หรือไงว่าการใช้แฟรี่หนึ่งครั้งต้องเสียเงินไปมากแค่ไหน มันเป็นแค่ค่ายเต็นท์โง่ ๆ เราเดินเข้าไปได้เลย”
“ฉันถามเพราะว่าฉันเห็นมีประตูล็อค และฉันก็ไม่ชอบวิธีที่เธอพูดกลับ หักเงินเดือน”
“เอ่?!!!!”
“ฉันล้อเล่น”
“คุณคงสนุกมากเลยสินะที่มาเล่นตลกกับจิตใจของฉัน?! …แล้วเราต้องรอให้ถึงกลางคืนไหม?”
“เราจัดการมันได้เลยถ้าการบิดเบือนมาขนาดนี้แล้ว”
“งั้นรออะไรอยู่ล่ะ ไปกันเลย!”
“รอก่อน สถานที่นี้เป็นเหมือนจิตใจที่ปิดกั้นคนอื่น ถ้าบุกรุกเข้าไปโดยไม่คิด อาจเกิดปัญหาขึ้นได้”
ฉันเดินเข้าไปที่ประตูแล้วเคาะเบา ๆ ผ่านไปสักพักประตูก็เปิดออก
“เข้าไปข้างในกัน”
“เมื่อกี้คุณทำอะไรน่ะ? จู่ ๆ ประตูก็เปิด!”
“ฉันแค่แสดงมารยาทของฉัน เธอบอกว่าไม่ใช้แฟรี่ เพราะอย่างนั้นที่ฉันทำได้ก็มีแต่การเคาะประตู”
ร้านถ่ายรูปในอาคารไม้ กลิ้งไม้ฟุ้งไปทั้งห้อง บนกำแพงมีกรอบรูปแขวงไว้ไม่ถ้วน
“โว้… ข้างในดูใหญ่ข้างนอกอีกใช่ไหมเนี่ย? ตอนนี้ฉันเห็นเป็นร้านถ่ายรูปเหมือนที่คุณเห็นแล้ว”
“เธอเห็นแล้วสินะ”
“รูปภาพพวกนี้เป็นคนที่หายไปรึเปล่า?”
“อาจจะใช่”
แต่ละกรอบรูปเป็นภาพของศพ เป็นรูปถ่ายร่างของคนตายแต่ละคน จุดที่รูปภาพแต่ละรูปเหมือนกันคือพวกเขาตายในบ้าน
ห้องนี้กำลังหายใจ ฉันสัมผัสได้ถึงลมหายใจ หัวใจกำลังเต้นอยู่ ไม่รู้ว่าห้องนี้มันกินไปกี่คนแล้ว มีคนชราใกล้ตายอย่างโดดเดี่ยวอยู่ข้างหน้า ลมหายใจของเขาเบากว่าลมหายใจของห้องนี้ ผู้ที่ถูกลืมโดยคนอื่นชักนำผู้คนเข้ามาและเก็บไว้ เมื่อเขาถูกลืมเลือนหายไปเท่าไหร่ คนที่ถูกเก็บไว้ก็จะถูกลืมหายไปตาม ไม่มีใครรู้จักเขาและเขากำลังตายเพียงลำพังโดยไม่มีใครรู้จัก
“ที่นี่คือสถานที่รำลึกความทรงจำ”
คนชราคนหนึ่งที่มีหัวเป็นกล้องเดินออกมาและกล่าวทักทายเรา เลนส์สี่ตัวเคลื่อนไหวไปมาบนหัว แล้วจ้องมาที่ฉัน
“ยี้กี๋!!”
เอสราตกใจล้มตกพื้น
“แต่ละรูป แต่ละคน ฉันจำพวกเขาได้ ฉันเป็นคนถ่ายภาพพวกเขา แล้วนำมาใส่กรอบไว้เอง”
“คุณเป็นใคร?”
“ฉันเป็นช่างภาพ และตามจริงแล้วฉันควรจะเป็นคนถามพวกคุณ”
“คนนี้คือนักสืบสิ่งบิดเบือนโมเสส และก็ฉันสุดยอดคู่หูเอสรา!”
เธอพูดด้วยความมั่นใจมาก ทำไมถึงไปเปิดเผยตัวจริงแบบนี้ น่าอายจริง ๆ
“เราคือฟิกเซอร์ เราได้รับคำว่าจ้างเกี่ยวกับคดีที่คนหายตัวไป”
“มีคนรู้ตัวว่ามีใครหายไปสินะ ทำไมถึงทำอย่างนี้? ก่อนที่พวกเขาจะหายไปก็ไม่มีใครสนใจพวกเขาอยู่แล้ว…”
“คุณล่อคนมาฆ่าด้วยอาหารฟรีใช่ไหม?”
เอสราพูดด้วยแววตาสงสัย
“ไม่ ฉันไม่ได้ทำ ฉันทำเพียงแค่จดจำพวกเขาที่จะถูกหลงลืมเหมือนคุณนายแอกเนส ฉันถ่ายรูปพวกเขาแล้วรำลึกถึงพวกเขา”
ฉันคิดว่าหญิงชราที่อยู่ตรงหน้าเราชื่อแอกเนส เธอมองไปที่รูปที่แขวนบนกำแพงพร้อมหายใจแรง
“มีคนจำนวนมากที่ต้องตายเพียงลำพัง ฉันตระหนักได้ตอนที่ฉันทำงาน ฉันอยากจดจำพวกเขา”
“งานอะไร ลักพาตัวคนเหรอ?”
“ไม่เลย งานของฉันเป็นงานที่มาพร้อมกับกลิ่นเหม็น เมื่อมีคนแจ้งเข้ามาเพราะได้กลิ่นเน่า ฉันเป็นคนที่ต้องไปรับร่าง”
“คุณเป็นสัปเหร่อที่คอยดูแลคนที่ตายเพียงลำพังสินะ”
“ใช่ งานของฉันเป็นการหาร่างในถนนของเขต 14 และจัดงานศพให้พวกเขา มันเป็นสวัสดิการในรังของ N คอร์ป ฉันจัดงานให้คนมาทั้งหมด 253 คน แต่ไม่เคยมีใครมาร่วมงานเลยสักคน ฉันจึงเริ่มถ่ายรูปพวกเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเก็บร่าง เพื่อที่จะรำลึกถึงพวกเขา”
“คุณไม่ได้เปิดร้านอาหารแต่แรกสินะ?”
“ฉันถูกไล่ออก ที่รังของ N คอร์ป ไม่อยากเสียภาษีให้กับสัปเหร่อที่ไร้ประโยชน์”
“…นั่นสินะ งานศพเป็นงานเพื่อคนเป็น”
“ฉันเองก็มีจุดจบแบบเดียวกัน เพราะไม่มีใครที่จดจำฉัน เพื่อที่ชีวิตจะมีความหมาย ความทรงจำต้องส่งต่อไป เราเลยต้องจดจำกันและกัน จำว่าเราเคยมีชีวิตและตัวตนในเมืองนี้”
“คุณบิดเบี้ยวไปแล้ว สิ่งที่คุณทำก็แค่ลักพาตัวคนด้วยอาหารฟรี ก็แค่นั้น คุณไม่มีสิทธิ์มาตั้งสินว่าใครจะต้องตายลำพัง”
“มันชัดเจนอยู่แล้ว! ว่าพวกเขาต้องตายอย่างเดียวดายในห้องของพวกเขา ถูกทิ้งและถูกลืม… เราจะจดจำกันและกันแล้วลืมหายไปอย่างสงบ พวกเรามีสิทธิ์ที่จะไม่ถูกลืมไปอย่างโหดร้าย!”
“และก็ลบความทรงจำของคนที่จำพวกเขาได้หรอ? คุณแค่ลักพาตัวคนที่เหมือนคุณ เพราะว่าคุณเองนั้นแหละที่กลัวตัวเองถูกลืม คุณพรากโอกาสที่พวกเขาจะถูกจดจำ”
เลนส์กล้องเริ่มหมุนไปรอบ ๆ
วิ๊…
ทันทีที่ได้ยินเสียงบางอย่างหมุน ฉันก็หลบตัวไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว
ค-ลิ๊ก
เข่าของฉันทรุดตัวแล้วล้มลงกับพื้น รู้สึกชาไปทั้งตัว และรู้สึกเจ็บปวดเหมือนหัวจะระเบิดออก
“คุณนักสืบ!”
“ออกห่างจากเลนส์! อย่าโดนถ่ายเต็มตัว!”
ได้ยินเสียงของเลนส์ที่เริ่มหมุนและเสียงเปลี่ยนฟีล์ม
การถ่ายรูปใครสักคนเหมือนมันดึงบางอย่างของคนนั้น
ฉันรู้สึกเจ็บสาหัสไปทั่วร่าง เหมือนมีเข็มมาแทงเต็มตัว
กี่คนแล้วนะที่ทำให้ฉันเจ็บแบบนี้
“เอสรา ฉันจะสร้างม่านควัน!”
“ค่ะ หัวหน้า!”
ฉันหยิบไปป์ออกมาจากเสื้อคลุม และเป่าให้แรงที่สุดเท่าที่ทำได้
ฟู่มมม
ควันปกคลุมไปทั่วห้อง
วิ๊… ค-ลิ๊ก
วิ๊… ค-ลิ๊ก
วิ๊… ค-ลิ๊ก
แสงแฟลชจากกล้องฉายออกมาทั่ว
“คุณนักสืบ เราจะทำยังไงกันดี?!”
หือ…
เป็นประเภทที่ไม่ควรให้มองเห็น
ไม่ควรอยู่ในสายตาของพวกมัน
“วันนี้เธอใส่อะไรไว้บ้างในกระเป๋า?!”
“เหมือนปกติเลย! ดาบจากสติกมาเวิร์กช็อป, ถุงมือของอัลลาสเวิร์กช็อป(Allas Workshop), ถุงมือโคออรี(Ko’ori gloves), ค้อนเนสเตอร์(Nester hammer)… และ…”
“โยนถุงมือโคออรีมา!”
“ได้เลย!”
ในควันหนามีแค่เอสราที่มองเห็นฉันได้
ถุงมือสีฟ้าสองข้างโยนข้ามห้องมาหาฉัน ฉันคว้ามันมาในทันที
ฉันใส่ถุงมือแล้วใช้มือกระแทกกำแพงอย่างแรง
กำแพงเริ่มกลายเป็นน้ำแข็ง
ค-ลิ๊ก
ค-ลิ๊ก
ฉันสูดหายใจเข้าลึกผ่านไปป์ของฉัน
วิ๊…
ควันในห้องถูกดูดกลับเข้ามาในไปป์
แล้วก็ปรากฏกำแพงน้ำแข็งขึ้นมา
ค-ลิ๊ก
แสงแฟลชถ่ายภาพของตัวเองผ่านภาพสะท้อนในน้ำแข็ง
แคร๊ง!
ช่างภาพล้มลง โดยที่เลนส์บนหัวแตก
“เห่อะ… ที่คุณทำให้คนอื่นถูกลืม เพราะคุณไม่อยากถูกลืมตัวคนเดียว”
“คงจะใช่… ฉันอาจเป็นคนที่พรากโอกาสที่พวกเขาจะถูกจดจำไป…”
“คุณขังไปทั้งหมดกี่คน”
“57 คน…”
“สามารถนำกลับได้ไหม?”
“ฉัน… ทำได้…”
“คุณรอดตัวไป ปล่อยพวกเขาออกมา”
“แล้วจะมีใครที่จดจำฉันบ้าง?”
“…เรา”
“…ขอบคุณมาก”
หัวของช่างภาพกลับเป็นปกติ เหลือไว้แต่เลนส์ที่ตาหนึ่งข้าง
ร้านถ่ายภาพกลับเป็นเต๊นท์ที่เต็มไปด้วยคน
การบิดเบือนถูกแก้ไขแล้ว
“เราพบครอบครัวของคุณที่หายไปแล้ว ชายคนนี้ใช่ไหม?”
ผู้ว่าจ้างดูไม่ดีใจ
“อ่า… ใช่แล้ว… พ่อของฉันกลับมาแล้ว ลืมไปเลยว่ามีเขาอยู่”
“ถ้านั้น! เรามาคุยเรื่องค่าจ้างส่วนที่เหลือกันเลยไหม?”
เอสรานับเงินด้วยรอยยิ้ม ขณะที่ลูกค้าและพ่อของเขาเดินจากไปด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
ไม่มีใครจะพอใจกับผลลัพธ์ของการว่าจ้างครั้งนี้
พวกเขาคงต้องการจะลืมมากกว่าจะนำกลับมา
พวกเขาบ่นกับตนเองหวังให้คนที่กลับมาหายไปตลอดกาล
ฉันได้ยินในภายหลังว่า วันหนึ่งในตรอกหลังของรัง N คอร์ป มีควันดำพวยพุ่งออกมาจากเตาเผาศพอย่างเงียบ ๆ ที่จำนวนของมันเท่ากับคน 58 คน
และฉันเพียงแค่จดจำมันไว้
-สิ่งที่จะเกิดขึ้นในตอนต่อไป…
“สวัสดีดีครับ อาจารย์โมเสส นานมากแล้วที่เราไม่ได้พบกัน”
มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาหาฉัน เขาคือฟิกเซอร์ประจำแผนกที่ 2 ของเซเว่นสาขาใต้ และอดีตผู้ช่วยของฉัน ฮีจุน
ดวงตายังคงไร้เดียงสาเหมือนเคย
Chapters
Comments
- ตอนที่ 11 คลื่น 3 วัน ago
- ตอนที่ 10 สิ่งกีดขวาง 3 วัน ago
- ตอนที่ 9.2 [รายงาน] ฮัน ฮีจุน 3 วัน ago
- ตอนที่ 9.1 คลื่น 3 วัน ago
- ตอนที่ 9 จุดแดงฉาน 3 วัน ago
- ตอนที่ 8 บริษัทแทยองโปรดิวซ์ 3 วัน ago
- ตอนที่ 7 ยูเรีย อเทลิเยร์ 3 วัน ago
- ตอนที่ 6.1 [รายงาน] โมเสส(Moses) & เอสรา(Ezra) 3 วัน ago
- ตอนที่ 6 ไปป์ 3 วัน ago
- ตอนที่ 5 การสอบจำลอง 3 วัน ago
- ตอนที่ 4 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ 3 วัน ago
- ตอนที่ 3 ช่างภาพ 3 วัน ago
- ตอนที่ 2 ความขัดแย้งในตัวเอง 3 วัน ago
- ตอนที่ 1 ฉันมองเห็นการบิดเบือน 3 วัน ago
MANGA DISCUSSION