เส้นทางในอนาคต—คำหกพยางค์นี้คงทำให้ใครหลายคนหนักใจ โดยเฉพาะพอขึ้นชั้นมัธยมปลายแล้ว มันก็จะกลายเป็นหัวข้อที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหลายครั้งในฐานะการแนะแนวอาชีพ
อิโอริกับอาสุมิที่กำลังจะขึ้น ม.5 ในอีกสองเดือนข้างหน้าก็หนีไม่พ้นเช่นกัน
ช่วงปลายกุมภาพันธ์ที่ใกล้ถึงการสอบปลายภาค ทั้งสองก็นั่งพูดคุยกันอยู่หน้ากระดาษแบบฟอร์มสำรวจเส้นทางอนาคต
“มหาลัยสินะ ถึงจะไม่ต้องไปก็ได้ แต่ก็ควรไปแหละมั้ง”
“อิโอริคุงอยู่ได้โดยไม่เรียนต่อก็เถอะนะ”
“แต่จะรู้ได้ไงว่างานมันจะอยู่กับเราไปตลอด แล้วอาสุมิล่ะ?”
“วงการนี้ไม่รู้จะซบเซาเมื่อไหร่ ฉันตั้งใจจะเรียนให้ถึงมหาลัยไว้ก่อนค่ะ”
“งั้นสินะ”
ทั้งอิโอริและอาสุมิก็มีสถานะเป็นนักเรียนก็จริง แต่ชีวิตประจำวันนั้นแทบไม่ต่างจากคนทำงานเลย
ถ้ายังเป็นแบบนี้ก็คงใช้ชีวิตไปได้เรื่อยๆ ไม่มีปัญหาเรื่องเงินอยู่แน่นอน
แต่ในโลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในกรณีของอาสุมิที่สายอาชีพของเธอพึ่งพากระแสและความนิยมอย่างมาก
ยิ่งมีทางเลือกไว้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีโอกาสรอดในวันที่สิ่งเหล่านั้นเริ่มตกต่ำ ไม่ว่าจะตัดใจได้หรือสู้ต่อ
“แล้วก็ ฉันมีเป้าหมายไว้แล้วด้วยค่ะ”
“เห? จะเข้าที่ไหนเหรอ?”
“ที่นี่ค่ะ”
อาสุมิดูเหมือนจะตัดสินใจเรื่องมหาลัยเป้าหมายไว้แล้ว
ก็สมกับที่เป็นนักเรียนตัวท็อปนั่นแหละ
เธอเปิดหน้าจอมือถือให้ดูว่ามหาวิทยาลัยเป้าหมายของเธอคือที่ไหน
“ที่นี่ก็ค่อนข้างดีเลยใช่ไหม?”
“ค่ะ ชื่อเสียงน่าจะคุ้นกันดี ฉันตั้งใจจะไปที่นี่แหละค่ะ”
“ขอฟังเหตุผลได้ไหม?”
“ไม่ค่อยน่าสนใจหรอกนะคะ?”
“งั้นไม่ก็ได้”
การที่เธอคิดไว้เร็วก็คงมีเหตุผลที่หนักแน่นอยู่แน่
อิโอริลองถามดู แต่อาสุมิก็ทำหน้าลำบากใจขึ้นมาทันที
จากที่เคยได้ยินมาก่อน อาจจะเกี่ยวกับปัญหาครอบครัวของเธอ จึงไม่ควรถามอะไรลึกไปกว่านี้
อิโอริเลยรีบถอนคำถามก่อนจะไปเหยียบกับระเบิดเข้า
“ยังไงอิโอริคุงก็ลองคิดให้ถี่ถ้วนละกันนะคะ แล้วถ้าตัดสินใจได้ว่าจะเข้าที่ไหน ถ้าคะแนนยังไม่ถึง ฉันก็จะสอนให้เองค่ะ”
“ขนาดนั้นเลยก็ไม่กล้าไปรบกวนแล้วล่ะ”
“พูดอะไรแบบนั้นล่ะคะ ช่วยกันทำกับข้าว ออกไปซื้อของด้วยกันตั้งหลายครั้งแล้วนะคะ”
อาสุมิเป็นระดับท็อปของชั้นปี การจะช่วยดึงคะแนนอิโอริขึ้นคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แต่อย่างไรก็ตาม มันก็จะทำให้เธอต้องเสียเวลาลง และในเมื่ออิโอริเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าจำเป็นต้องเข้ามหาลัยขนาดนั้น เขาอยากให้อาสุมิใส่ใจกับอนาคตตัวเองมากกว่า
แต่ในเมื่อเธอพูดแบบนั้น—ต่างคนก็ต่างพึ่งพากัน และอิโอริก็รู้ตัวดีว่าเขาพึ่งพาเธอไม่น้อยเลย “ถึงขั้นนี้แล้วจะพูดว่าเกรงใจก็คงไม่ใช่” นั่นก็จริง
“แต่ก็เกี่ยวกับอนาคตนะ”
“ก็เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ ว่าถ้าเป็นเพื่องานวาดของอิโอริคุง หรือควรจะเรียกว่าของเซ็นเซย์ล่ะก็ ฉันยอมทำได้ทุกอย่างเลย”
“เธอนี่ชอบงานของฉันจริงๆเลยนะ ดีใจมากเลยล่ะ”
“ค่ะ ก็เป็นโอชิอันดับหนึ่งของฉันนี่คะ”
ถึงอิโอริจะเกรงใจ แต่เธอก็พูดออกมาอย่างชัดเจนเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
สำหรับนักวาดแล้ว นี่คือคำที่น่ายินดีที่สุดแล้ว และกับคนอย่างอาสุมิ ที่ทั้งเรียนเก่ง กีฬาเด่น และเป็นผู้หญิงที่พึ่งพาตัวเองได้มาพูดแบบนี้ให้…อิโอริรู้สึกว่าเขาโชคดีสุดๆ
ในเมื่อเป็นแบบนั้น อิโอริก็ตั้งใจจะไม่เป็นภาระเธอ และตัดสินใจจะตั้งใจอ่านหนังสือสอบให้เต็มที่ เขาเขียนในกระดาษสำรวจไปแค่ว่า “เรียนต่อ”
“ตรงนี้ใช้สูตรเลยจะง่ายกว่านะคะ”
พอตัดสินใจจะตั้งใจเรียน อิโอริก็รีบลงมือก่อนที่แรงจูงใจจะหดหาย
อาสุมิที่เห็นก็พลอยเริ่มอ่านหนังสือเตรียมสอบไปด้วยกันข้างๆ
“ก่อนหน้านี้ฉันคิดๆไปได้อยู่ แต่ก็ว่าอยู่ น่าจะใช้สูตรเนอะ”
“ถ้าอิโอริคุงเลิกขี้เกียจหน่อย คะแนนก็น่าจะดีกว่านี้แล้วล่ะค่ะ”
หลังจากใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการอ่านหนังสือ อิโอริก็อยู่ในสภาพที่อาสุมิต้องมานั่งดูแลอีกแล้ว
เธอบอกว่าการสอนเป็นเหมือนการผ่อนคลาย และช่วยให้เข้าใจมากขึ้นด้วย
ในเมื่อเป็นแบบนั้น ก็ขอรับพรจากท่านนักบุญไว้ล่ะกัน
“ตรงจุดนี้ฉันจะพยายามเองนะ”
“ค่ะ คะแนนน่าจะเปลี่ยนเยอะเลยล่ะ ว่าแต่ ผลสอบของอิโอริคุงคราวก่อนเป็นยังไงเหรอคะ?”
“คราวก่อนอยู่อันดับ 32 มั้ง”
“นั่นก็ถือว่าดีเลยนี่คะ? ไม่ใช่ว่าอ่านในคืนเดียวเหรอคะ?”
อาสุมิเอียงคอเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
ดูจากท่าทางก่อนสอบของอิโอริแล้ว น่าจะลำบากกว่านั้นสิ
แต่คะแนนกลับสูงกว่าที่คิด เธอจึงทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย
“ก็อ่านในคืนเดียวแหละ แต่เวลาว่างก็ทบทวนในสมุดบ้างแหละ อีกอย่างฉันเป็นพวกที่พอเรียนในห้องแล้วเข้าใจเลยได้น่ะ ยกเว้นเลขกับฟิสิกส์ที่ดึงคะแนนลงน่ะ”
“อ๋อ ฉันนึกว่าคะแนนจะต่ำกว่านี้อีกนะคะ”
“พวกวิชาท่องจำฉันชอบ แล้วพวกสายอักษรก็ถนัดด้วย แต่สองวิชานั้นถ้าไม่อ่านจริงจังก็ได้ศูนย์เอาง่ายๆ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
อิโอริเป็นพวกที่มีความถนัดและไม่ถนัดชัดเจน จึงสามารถเทเวลาลงกับวิชาที่ไม่ถนัดได้มาก
พอมีวิชาที่ถนัดคอยถัวคะแนน ก็เลยทำให้อันดับโดยรวมดูดีขึ้นได้
ถึงจะไม่ได้เรียนหนัก แต่เขาเป็นคนที่ขยันวาดรูปมาตลอด ดังนั้นเวลาว่างก็ยังใช้ทบทวนบทเรียนได้
อีกอย่างตอนเรียนในห้องก็ยังมีคานาตะคอยช่วยติวให้ ก็เลยได้คะแนนพอสมควร
“ถ้าแค่สองวิชานั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรหรอกค่ะ ถ้ามีอะไรก็ขอให้บอกนะคะ ถ้าคะแนนตกอาจได้ซ้ำชั้นเอาได้”
“ช่วยได้มากเลยล่ะ”
อาสุมิทำหน้าจริงจังเหมือนจะบอกว่า “ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก” แล้วมองตรงมาทางเขา
ดูเหมือนเธอจะเอาจริงเรื่องดึงคะแนนเขาขึ้น
พอเธอพูดมาขนาดนั้นแล้ว อิโอริก็คิดว่าพึ่งพาเธอหน่อยก็คงไม่เป็นไร
เขาขยับจากท่านั่งสบายๆ เป็นท่าคุกเข่าตรงแล้วโน้มตัวลงเล็กน้อยอย่างสุภาพ
“งั้นฉันจะเป็นคนทำกับข้าวเยอะหน่อยช่วงสอบล่ะกัน”
“รับทราบค่ะ ฝากด้วยนะคะ ข้าวฝีมืออิโอริคุงอร่อยอยู่แล้ว”
อิโอริกับอาสุมิมักจะช่วยแบ่งเบาภาระกันเสมอ และในครั้งนี้ก็เช่นกัน ทั้งคู่ตกลงแบ่งหน้าที่ให้เหมาะสมกับช่วงสอบ
พวกเขาทบทวนหน้าที่กันเรื่อยๆ ตามตารางงานของแต่ละคน และวันนี้ก็มีการจัดสรรกันใหม่อีกครั้ง
“เรามาสอบผ่านและเลื่อนชั้นไปด้วยกันนะคะ”
ก่อนจะกลับไปอ่านหนังสือ อาสุมิยิ้มอ่อนโยนและพูดออกมาแบบนั้น
ถึงจะเป็นคำพูดตรงๆ ที่สื่อถึงความตั้งใจจะสานสัมพันธ์กันต่อไปในอนาคต แต่อิโอริก็รู้สึกเขินไม่น้อย
เขารู้สึกว่าคำพูดแบบห้วนๆ หรือการเลี่ยงตอบแบบปกติคงจะใช้ไม่ได้ในตอนนี้
เขาจึงตอบกลับไปว่า “ฝากตัวจนกว่าจะเรียนจบเลยล่ะกัน”
T/N: หายไปสักพักเลย พอดีม.ผมเพิ่งเปิด บวกกับ harddiskเจ๊ง ก็เลยวุ่นๆไปเป็นอาทิตย์เลย
น่าจะกลับมาแล้วแหละ ถ้างานไม่เยอะอะนะ
MANGA DISCUSSION