– อาคิยามะ เออิชิ –
[“ใคร?”]
ความประหลาดใจผุดขึ้นมาในหัวทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาตามเสียงร้องทักตรงหน้า
คนที่เข้ามาทักทายผมเป็นสาวตัวเล็กแต่ทรงโต เป็นเด็กสาวน่ารักที่ใช้คำว่าหน้าประถม นมมหาวิทยาลัยได้อย่างเต็มปาก
“รู้จักผมเหรอครับ?”
“รู้ซิ เธอออกจะดังนะที่โรงเรียนน่ะ”
[‘คนในโรงเรียน?’]
“ทำไมทำหน้าสงสัยกันขนาดนั้นล่ะ อ่ออ… จริงซินะ ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ฉันชื่อจิซึรุ… มาโดกะ จิซึรุ อยู่ชั้นปี 3 นั่นก็คือเป็นรุ่นพี่ของเธอ”
[‘เอ๊ะ? หน้าเด็กแบบนี้เหรอรุ่นพี่? อ่อ… ไม่เด็กแล้ว’]
ผมพยักหน้ารับคำแนะนำตัวของคุณมาโดกะที่ยืนแหงนคออยู่ตรงหน้าทำให้คุณรุ่นพี่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
[‘ถ้าไม่มีตรงส่วนนั้นมองยังไงก็เด็กแฮะ’]
“ฉันได้ยินเรื่องของเธอมานานแล้ว อยากเจอเธอตัวเป็นๆ จะๆ สักครั้งอยู่พอดีเลย”
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ก็เธอเป็นคนดังนี่ แถมตัวจริงหล่อกว่าในรูปด้วย…”
[‘เห… รูปอะไร?’]
“นี่ สนใจมาคบกับฉันมั้ย?”
“เอ๊ะ? ห๊ะ!? เอ่ออ… อะไรล่ะครับนั่น มุขใหม่เหรอครับ?”
“คิกๆ เธอนี่มีอารมณ์ขันดีนะ ว่าไงล่ะ? หรือว่าฉันไม่มีเสน่ห์เหรอ?”
[‘มีครับ มากด้วย จะโดนแล้วครับ’]
คุณมาโดกะขยับเดินเข้ามาใกล้ แต่ตัวผมดันถอยหลบไม่ได้เพราะแต่เดิมก็ยืนหลังพิงเสาอยู่แล้ว
“เอ่ออ… คุณมาโดกะครับ…”
“ว่าไง~~”
“คือว่า… กระดุมคอ โอ๊ะ…!?”
ในจังหวะเข้าได้เข้าเข็มจะชนไม่ชนแหล่นั่นเอง จู่ๆ ผมก็ถูกแรงลัพธ์ ขนาดมหาศาลดึงแขนซะจนร่างกายเซถลาไปตามแรงดึง หลบรอดจากการถูกวัตถุคู่หน้าสุดอันตรายของคุณมาโดกะชนได้อย่างหวุดหวิด
[‘ซี๊ด…’]
ถึงจะรอดพ้นจากการถูกจนมาได้ แต่แรงบีบที่แขนก็ใช่ว่าจะน้อยๆ
ผมมองแขนตัวเองที่ถูกจับไว้ก่อนจะไล่สายตาตามท่อนแขนขาวนั้นขึ้นไปยังใบหน้าเจ้าของ
[‘มือหนักไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ สิพับผ่า’]
โอโตเมะมองผมด้วยหางตาแล้วปล่อยแขนผมที่จับไว้ จากนั้นจึงหันไปจ้องเขม็งที่คุณมาโดกะ
[‘ว้า ปลาสเตอร์หลุดเลย’]
ผมลอกปลาสเตอร์ออกมาแล้วแปะใหม่ แต่เสียงของโอโตเมะดึงความสนใจของผมให้กลับไปที่เธอ
“ฉันมาขัดจังหวะหรือเปล่า? …”
[‘หืมม?’]
“ตอนแรกเห็นแค่ข้างหลัง คิดว่าลำบากอยู่ แต่ดูท่าแล้วฉันคงยุ่งไม่เข้าเรื่องเอง”
[‘อารมณ์ไม่ดีจริงๆ นี่หว่า’]
“ขอโทษที่ขัดจังหวะนะคะรุ่นพี่ ฉันขอตัวก่อน”
มาไวและไปเร็ว
โอโตเมะที่ไม่รู้ไปกินรังแตนที่ไหนมาพูดใส่ผมและคุณมาโดกะฉอดๆๆ แล้วก็หันกลับทำท่าจะจากไป
[‘จะไปไหน? รอมาตั้งนาน อยู่ๆ จะหนีไปใครจะไปยอม’]
ผมจับกระเป๋าเธอไว้ก่อนจะหันไปพูดกับคุณมาโดกะ
“คุณมาโดกะไม่มีธุระอะไรกับผมแล้วใช่ไหมครับ? ถ้าไงผมขอตัวก่อน”
“จ้าาา~ ไว้เจอกันที่โรงเรียนนะ~~”
ว่าแล้วคุณเธอก็เดินจากไปอย่างอารมณ์ดี ปล่อยให้ทางนี้หาทางเอาตัวรอดจากดงระเบิดด้วยตัวเอง
โอโตเมะยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงเพราะโดนผมดึงกระเป๋าเอาไว้ เธอนิ่งมาก ไม่มีการขยับตัว ไม่แม้แต่จะหันมาคุยกัน ราวกับของเล่นที่จู่ๆ ก็แบตหมด
[‘อารมณ์บูดหนักเลยแฮะ’]
ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเธออารมณ์เสียเรื่องอะไร แต่คิดว่าของหวานๆ น่าจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้ เพราะผู้หญิงชอบของหวานยังไงล่ะ
เวลาไม่คอยท่า ง้อช้ามันอันตราย ผมล้วงเอาลูกอมจากกระเป๋าตัวเองขึ้นมาสองเม็ด ก่อนจะสะกิดโอโตเมะเบาๆ เมื่อเธอหันมาผมก็ยื่นลูกอมให้เธอหนึ่งเม็ด
สีหน้าของโอโตเมะยังคงอึมครึมแต่ก็ยอมรับลูกอมของผมไปแต่โดยดี
ผมอาศัยจังหวะนี้รับกระเป๋านักเรียนของเธอมาถือไว้เป็นตัวประกันป้องกันไม่ให้เธอหนีพร้อมกับกินลูกอมของตัวเองไปด้วย
ความหวานจากลูกอมนั้นเทียบได้กับการอมน้ำตาลปี๊บเป็นก้อน เรียกได้ว่าหวานจนตาโล่ง จัดเป็นแหล่งกลูโคสชั้นยอด เหมาะมากสำหรับช่วงเวลาที่ร่างกายต้องใช้พลังงานแบบฉับพลัน หรือไม่ก็ตอนที่กำลังง่วงๆ
ผมกับโอโตเมะยืนลูกอมกันอยู่พักหนึ่งโดยที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่พูดอะไรเลยจนกระทั่งลูกอมละลายไปได้ประมาณ 1 ใน 3 ผมถึงสังเกตว่าสีหน้าของโอโตเมะดูผ่อนคลายขึ้น
[‘น่าจะมีอารมณ์คุยแล้ว’]
ผมพิจารณาเหตุและผลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากถามโอโตเมะตรงๆ เพราะค่อนข้างคุ้นเคยกันดีกับการคุยกันแบบนี้
“ช่วงนั้นของเดือนเหรอ?”
โอโตเมะยังไม่มองมาที่ผมแต่ก็พยักหน้ารับ มองไม่ออกว่าตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่
“เมื่อกี้ขอโทษนะที่ไปขัดจังหวะแบบนั้น กำลังเข้าได้เข้าเข็มกันเลย”
[‘ไหงพูดอะไรล่อแหลมแบบนั้นล่ะน่ะ’]
ไม่รู้ว่าไม่พอใจผมหรือว่าอะไร แต่รู้ว่าอารมณ์เธอคงไม่ปกติเลยเลือกจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปและเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาใหม่แทน
“ไม่ล่ะ ขอบคุณเลยต่างหาก เธอมาช่วยฉันได้ทันเวลาพอดีเลย”
“เอ๊ะ?”
“ก็ผู้หญิงคนเมื่อกี้น่ะ”
“รุ่นพี่มาโดกะ”
[‘เป็นรุ่นพี่จริงๆ สินะ’]
“นั่นแหละ ฉันไม่รู้จักมาก่อนหรอก แต่ระหว่างที่รอเธออยู่เขาก็เข้ามาทัก คุยกันนิดเดียวแล้วก็มีสภาพอย่างที่เห็น”
“ทำไมนายไม่หลบเธอล่ะ?”
“ฉันยืนพิงกำแพงอยู่แต่แรกแล้วมั้ย?”
“หลบออกมาข้างๆ ก็ได้นิ”
“เอ๊ะ?! จริงด้วย โอโตเมะ เธอเนี่ยอัจฉริยะชัดๆ”
“ไม่ต้องมาเนียนยกยอปอปั้นฉันเลย ฉันไม่ได้บ้ายอหรอกนะ”
[‘คุณครูครับ คนไม่บ้ายอแก้มกระตุกอยู่ครับ’]
เห็นว่าโอโตเมะเริ่มจะกลับมามีสีหน้าปกติแล้วผมก็ชักจะสบายใจ ไม่รู้หรอกนะว่าเธอผ่อนคลายอารมณ์ตัวเองเพราะได้ยินคำอธิบายหรือเป็นเพราะกลูโคสเริ่มเข้าสู่กระแสเลือด ที่แน่ๆ คือเธอกลับมาคุยกับผมได้เป็นปกติแล้ว
เราสองคนเดินคุยกันไปเรื่อยๆ ตามทางเดินในสถานีเพื่อไปรอรถกลับบ้านโดยที่ผมยังคงยึดกระเป๋าของเธอไว้เป็นตัวประกันเหมือนเดิม
[‘แสบๆ แฮะ’]
ก้มมองดูแขนตัวเองก็พบว่าปลาสเตอร์ที่ปิดทับไว้เมื่อกี้หลุดห้อยล่องแล่ง กาวเพียงเล็กน้อยตรงปลายแผ่นกำลังพยายามสุดชีวิตที่จะยึดเกาะกับผิวหนังของผม แต่เจ้าน้ำเหลืองที่ไหลออกมาดูท่าไม่ยอมให้มันยึดเกาะได้ง่ายๆ เช่นกัน
[‘แย่แฮะ’]
เพราะน้ำเหลืองที่ไหลออกมาดูจะมากเกินกว่าปริมาณที่ปลาสเตอร์จะรับไหว ผมจึงตัดสินใจดึงปลาสเตอร์แผ่นนั้นออกแล้วหันไปถามหาทิชชูจากโอโตเมะ
“มี อยู่ในกระเป๋า ทำไมเหรอ?”
“จะขอหน่อย พอดีน้ำเหลืองที่แผลไหลน่ะ”
ผมตอบพร้อมกับยื่นกระเป๋าที่ยึดมาให้เธอ
“นายไปทำอะไรมาอีก ครั้งก่อนฉันแปะปลาสเตอร์ให้แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ถลอกเมื่อกี้น่ะ”
“เพราะฉันเหรอ…”
“เธอหึงแรงไปหน่อยนะ”
กะจะแกล้งหยอกโอโตเมะเล่นสักหน่อย แต่เจ้าตัวไม่เล่นด้วย กลายเป็นว่ามุขไม่ฮาพาสาวเครียดเลยทีนี้
“นี่ขอทิชชูหน่อยซิ มันเริ่มไหลแล้ววว… เฮ้ย!! ทำอะไร?”
แทนที่จะหยิบทิชชูให้ โอโตเมะกลับเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาทำท่าจะเช็ดแผลให้
“นายจะหลบทำไม?”
“นั่นผ้าเช็ดหน้านะ มันจะเลอะ”
“เลอะก็ช่างมันซิ”
“ไม่เอา!! เอาทิชชูมา”
โอโตเมะเม้มปากมองหน้าผมครู่หนึ่งแล้วจึงเปิดกระเป๋าหาทิชชู ปากก็บ่นพึมพำไปด้วยว่า
“รังเกียจผ้าเช็ดหน้าของฉันขนาดนั้นเชียว”
“เธอจะคิดมากไปแล้วนะ”
ผมที่ยื่นกระเป๋าให้เธออยู่ตอบกลับคำที่เธอพึมพำออกมา มองดูเธอค้นหาในกระเป๋าตัวเองพร้อมกับพูดต่อ
“ฉันแค่กลัวผ้าเช็ดหน้าของเธอจะเลอะ นี่มันน้ำเหลือง…”
“แล้วมันยังไง?”
น้ำเสียงฟังดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจ โอโตเมะหยุดค้นหาทิชชู พร้อมกันนั้นก็เอื้อมมือมาจับแขนผมที่ถือกระเป๋าอยู่
“ดะ.. เดี๋ยว…”
พูดได้แค่คำเดียว ผ้าเช็ดหน้าสีขาวลายลูกแมวสามตัวก็โปะลงมาแบนแผลของผม โอโตเมะกดมันเบาๆ ค่อยซับและเช็ดน้ำเหลืองที่ไหลออกมา
ท่วงท่ารวดเร็วแกร่งกร้าวเมื่อตอนแรกจับแขน เปลี่ยนไปเป็นอ่อนโยนนุ่มนวลชวนอยากให้เวลาหยุดนิ่งอยู่ ณ ตอนนี้
[‘โหมดคุณพี่สาวแบบนี้ก็ดีเหมือนกันแฮะ’]
โอโตเมะเช็ดบริเวณรอบๆ แผล จากนั้นจึงล้วงกระเป๋าตัวเองในมือผม ควาญอยู่ครูหนึ่งก็หยิบเอาปลาสเตอร์ออกมา
ผมสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมเธอถึงได้มีปลาสเตอร์พกไว้ในกระเป๋าเยอะจัง ก่อนหน้านี้ก็ให้ผมมาแผ่นหนึ่ง ตอนนี้ก็ยังมีอีก
“ยังเจ็บอยู่มั้ย?”
[‘บ้าจริง ใช้สายตาแบบนี้ใครจะกล้าบอกว่าเจ็บเล่า’]
“ไม่เจ็บหรอก อ๊ะ เดี๋ยวฉันแปะเอง”
“อยู่นิ่งๆ ถ้าขยับฉันโกรธนะ”
[‘ตามบัญชาขอรับองค์หญิง’]
ว่ากันว่าการที่เราได้รับการดูแลจากคนที่รักนั้นเป็นเสมือนยาวิเศษที่จะทำให้อาการเจ็บป่วยหายดี
คำกล่าวนี้เป็นจริงแค่ส่วนหนึ่ง…
เพราะว่าการดูแลจากคนที่เรารักนั้นไม่สามารถเป็นยาได้แต่อย่างใด หากแต่มันส่งผลทางอ้อมต่อจิตใจของผู้ป่วย ซึ่งในทางการแพทย์นั้นหากผู้ป่วยมีกำลังใจสูง มีความเข้มแข็งที่จะต่อสู้กับอาการเจ็บป่วย นั่นย่อมทำให้การรักษามีโอกาสประสบความสำเร็จสูงตามไปด้วย ดังผลการวิจัยของหลายๆ สำนักที่เผยแพร่ออกมา
ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องมานึกถึงผลการวิจัยพวกนั้นเอาในเวลาแบบนี้ แต่ช่างเถอะ ยังไงตอนนี้ผมก็มีความคิดที่อยากจะหายไวๆ ตามผลการวิจัยจริงๆ นั่นแหละ
ผมกลับมาให้ความสนใจกับโอโตเมะอีกครั้ง แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว
[‘คิดไปเองเหรอ?’]
ทั้งสีหน้า ทั้งแววตา สัมผัสรับรู้ที่แขน ไออุ่นจากตัวของอีกฝ่าย ลมหายใจ กลิ่นหอมหวานอมเปรี้ยวคล้ายผลไม้อะไรสักอย่าง
ทั้งที่ทำให้กันขนาดนี้แท้ๆ ทำไมบางครั้งถึงทำเหมือนว่าไม่ได้คิดอะไรเกินเลยต่อกัน หรือว่านี่คือการเอาใจใส่ของคนที่เป็นเพื่อนสนิทกันงั้นเหรอ
แบบนั้นมัน…
“ขี้โกงเกินไปแล้ว”
รู้ตัวอีกที่ก็สายไปแล้ว คำพูดพึมพำเบาๆ ที่หลุดออกจากปากไม่สามารถเรียกคืนมาได้
โอโตเมะชะงักมือเล็กน้อย แต่ก็ยังทำงานของเธอต่อจนเสร็จ แล้วเงยหน้าขึ้นมามองกัน
ดวงตาของเธอยังคงงดงาม
“ต่อไปฉันจะขี้โกงให้มากกว่านี้อีก นายจะปัญหามั้ย?”
ถ้อยคำน้ำเสียงราวกับมีเวทมนตร์สะกด และผม…
…เหมือนจะหลงเข้าไปในมนต์สะกดนั้น
“ถ้างั้นฉันขี้โกงบ้างได้หรือเปล่า?”
ระยะห่างระหว่างเราเป็นศูนย์ มือข้างหนึ่งของผมถือกระเป๋าอยู่สองใบ ส่วนอีกข้างกุมมือคนตรงหน้าไว้หลวมๆ
“นายก็ขี้โกงเป็นประจำอยู่แล้ว”
“ฉันไปขี้โกงตอนไหน?”
“ก็กำลังทำอยู่นี่ไง”
แรงบีบที่มือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
“งั้นเหรอ… ถ้างั้นเธอจะโกรธฉันมั้ยถ้าฉันจะขี้โกงอีกหน่อย”
โอโตเมะไม่ตอบ แต่แววตาของเธอเปลี่ยนไป ดูท้าทายแต่ยั่วเย้า
เธอปล่อยมือผมและเขยิบออกไปเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ตัวเราติดกันมากเกินไป
ผมมองมือตัวเองและปลาสเตอร์ที่ปิดแผลอยู่ รู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นรัวและพองโตมากที่สุดตั้งแต่กลับมาเจอกันอีกครั้ง
“ขอบคุณนะ”
“ฉันทำนายเจ็บนิ”
“มันไม่ได้เจ็บขนาดนั้น”
“หน้านายตอนที่ฉันดึงแขนไม่ได้บอกงั้นนะ ฉันยังคิดแวบนึงเลยว่านายจะหันมาชกฉันหรือเปล่า”
“ฉันจะไปชกเธอได้ไง?”
“แต่หน้านายแสดงออกมาชัดเจนเลยว่าไม่พอใจ ตอนแรกฉันยังคิดเลยว่านายไม่พอใจที่ฉันเข้าไปแทรกจังหวะจีบสาวของนาย ถ้ารู้ว่านายจะเจ็บฉันคงไม่ทำหรอก ขอโทษนะ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก เธอก็ทำแผลให้ฉันแล้วไง ฉันซิต้องขอบคุณ จริงซิ เอาผ้าเช็ดหน้ามา เดี๋ยวฉันเอาไปซักให้”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันซักเอง”
“แต่มัน…”
“ไม่ต้องหรอก”
แล้วบทสนทนาก็ตัดจบดื้อๆ ไปแบบนั้น
MANGA DISCUSSION