– อาคิยามะ เออิชิ –
สุดท้ายจนกระทั่งหมดคาบเรียนผมก็ไม่ได้คุยกับโอโตเมะอีก อันที่จริงแล้วไม่ได้คุยกันจนกระทั่งเลิกเรียนเลย หากจะมีสิ่งปลอบใจก็คงเป็นปลาสเตอร์ที่ไม่รู้โอโตเมะไปเอามาจากไหนซึ่งตอนนี้แปะไว้บนแขน
ตอนที่อยู่ในคาบเรียนเป็นเพราะถูกเพื่อนๆ บอกว่าห้ามจู๋จี๋กันในเวลาเรียน ผมกับโอโตเมะจึงถูกจับแยกและถูกจับตาดูอย่างใกล้ชิด
บอกตรงๆ เลยว่าการโดนจับตาเพราะคิดว่าจะแอบหนีไปจู๋จี๋กับสาวเนี่ย ทำเอาเขินซะจนไม่กล้าขยับตัวเลย
พอเรียนเสร็จก็พักกลางวันที่ต่างคนมักจะต่างไปกับกลุ่มเพื่อนสนิทของตัวเอง
ตกเย็นเลิกเรียนโอโตเมะก็ยังรีบไปทำงานสภานักเรียนของเธอที่ช่วงนี้ดูจะวุ่นวายเป็นพิเศษเนื่องจากการเตรียมการสำหรับงานเทศกาลดนตรีฤดูฝน เห็นว่าทางโรงเรียนส่งตัวแทนนักเรียนเข้าร่วมด้วย ดูวุ่นวายใหญ่โตกันทีเดียว
ก็นั่นแหละครับทำให้ผมไม่มีโอกาสดีๆ อย่างการเกริ่นชวนเธอไปเที่ยวในช่วงสิ้นเดือนนี้เลย
[‘หรือต้องเกริ่นเรื่องนี้ทางโทรศัพท์จริงๆ ?’]
เพราะสิ้นเดือนนี้คือวันเกิดของเธอ แถมยังตรงกับวันอาทิตย์ ผมจึงมีความคิดอยากจะชวนเธอไปเที่ยวแล้วเซอร์ไพรส์เธอด้วยของขวัญวันเกิดที่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรดี
โชคดีหน่อยที่เพื่อนรักโซเฮย์แนะนำร้านมาแล้ว ดังนั้นเหลือแค่หาของขวัญให้ได้อย่างเดียวก็พอ
ใจจริงผมตั้งใจว่าจะไปเดินหาในงานเทศกาลดนตรีฤดูฝนนี้ เนื่องจากมีของมากมายหลายอย่างที่ค่อนข้างจะเป็นของดีแต่ราคาถูกมาขาย
ทว่าเมื่อไม่นานมานี้เองสหายในทีม F4 ได้ติดต่อเข้ามาพร้อมแจ้งความประสงค์ว่าอยากจะไปงานเทศกาลดนตรีฤดูฝนครั้งนี้ด้วย ทว่ามันจำเป็นต้องใช้บัตรเข้างาน
โมโมสุเกะ : – “เออิชิเพื่อนเลิฟ นายหาบัตรเข้าเผื่อพวกเราได้ใช่มั้ย แฟนนายเป็นรองประธานนักเรียนนินา” –
เออิชิ : – “ยังไม่ใช่แฟน” –
โมโมสุเกะ : – “ชิชะ ขอให้โดนหมาคาบไป” –
เออิชิ : – “บัตรก็โดนหมาคาบไปแล้ว” –
โมโมสุเกะ : – “ผิดไปแล้วคร้าบบบ…” –
โคสุเกะ : – “นายอย่าไปใส่ใจกับโมโมสุเกะนักเลย ตอนนี้หมอนี่กำลังอารมณ์เสียที่รุ่นน้องตัวเองพาแฟนจากโรงเรียนหญิงล้วนมาแนะนำ” –
โมโมสุเกะ : – “นายเองก็อิจฉาเหมือนกันนั่นแหละน่า” –
โคสุเกะ : – “ก็ไม่ได้ฟาดงวงฟาดงาเหมือนนายสักหน่อย” –
โมโมสุเกะ : – “นายว่าฉันเป็นช้าง?” –
โคสุเกะ : – “แมมมอธต่างหาก” –
โมโมสุเกะ : – “แมมมอธมันไม่ใช่ช้างเหรอ? หือออ? ยังไงเออิชิ” –
ผมในตอนนั้นส่ายหน้าให้กับเพื่อนที่แยกชนิดของสัตว์ไม่ถูก รู้สึกเอือมระอานิดๆ แต่ก็รู้สึกคิดถึงด้วยเช่นกัน
บรรยากาศเก่าๆ ที่ไม่ได้เจอนับตั้งแต่ตอนที่ผมล้มป่วย ชวนให้เกิดความรู้สึกอยากเจอเพื่อนๆ ขึ้นมา
สุดท้ายก็ตกปากรับคำว่าจะลองมาขอโอโตเมะดู แต่คนที่รับปากดันเป็นทาเคโนะอุจิที่บังเอิญเข้ามาพอดี
เธอบอกว่าตัวเองยินดีจะหาบัตรเข้างานมาให้ แต่มีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่ง
– “ต้องมาเป็นบอดี้การ์ดให้ฉันกับอามายะจังนะ ตกลงมั้ย?” –
เป็นข้อเสนอที่ทั้งน่าเย้ายวนใจและชวนอึดอัดใจไปพร้อมๆ กัน
ผมพิมพ์ข้อความหาอันนะก่อนจะหิ้วกระเป๋ากลับบ้านพร้อมกับอารมณ์หดหู่นิดหน่อย
การกลับบ้านพร้อมอันนะคล้ายกับเป็นกิจวัตรที่หากเราทั้งคู่ไม่ติดธุระอะไรก็จะกลับด้วยกันเป็นเรื่องปกติ แต่ในช่วงแรกๆ นั้นเป็นอะไรที่เตะตาพอสมควร
เนื่องจากอันนะไปเป็นรู้จักของนักเรียนจากการสอบเข้าด้วยคะแนนสูงเป็นอันดับหนึ่ง พ่วงด้วยรูปร่างหน้าตาที่จัดว่าน่ารัก แถมยังเป็นไทป์มินิ พกพาง่าย จะมองทางไหนก็น่าทะนุถนอม เธอเลยค่อนข้างจะเป็นที่นิยมในหมู่เด็กผู้ชาย
และผมในฐานะที่เป็นเด็กผู้ชายเหมือนกันได้มาโรงเรียนพร้อมเธอ แถมยังกลับบ้านพร้อมกันอีก ย่อมถูกเพ่งเล็งเป็นธรรมดา
แต่สองเดือนมานี้ผมกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น ไม่ว่าจะในฐานะนักเลงขาใหญ่ หรือบุรุษผู้ถูกหมายปองจากชมรมกีฬา ชายเพียงคนเดียวที่ประธานตามหาเพื่อจะกินข้าวด้วย และล่าสุดอันดับหนึ่งของชั้นปี
ไม่ว่าฐานะไหนก็สร้างชื่อให้ผมได้ในชั่วข้ามคืน
แต่สำหรับอันนะและเด็กนักเรียนปีหนึ่ง ผมจะเป็นที่รู้จักกันในอีกฐานะหนึ่งนั่นคือ คุณพี่ชาย
“ทำไมทำหน้าบูดแบบนั้นล่ะพี่ชาย?”
[‘หืมมม?’]
อาจเป็นเพราะเผลอคิดอะไรไม่ดีมาก่อนหน้านี้ สีหน้าเลยยังคงค้างอยู่จนอันนะสังเกตได้
ผมบอกเธอไปว่าไม่มีอะไร แต่แม่น้องสาวคนนี้กลับไม่ยอมปล่อยผ่านผมไปง่ายๆ จนผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าเธอเป็นน้องหรือเป็นแม่
“อ่ะนี่”
เพราะไม่รู้จะทำยังไงให้อันนะเลิกเซ้าซี้ ผมเลยเปลี่ยนใจเอาคุกกี้ที่ตั้งใจว่าจะให้เธอตอนถึงบ้านมาให้เธอตอนนี้แทน แน่นอนว่ามันเบี่ยงเบนความสนใจของอันนะได้เป็นอย่างดี
“อะไรๆ ว้าววว… พี่ชายทำเองเหรอเนี่ย?”
“ไม่ทุกขั้นตอนหรอก แต่ก็ทำเป็นส่วนใหญ่ละนะ”
“เห… กินเลยได้หรือเปล่าอ่ะ”
“ตามใจเธอซิ แต่เดินไปกินไปมันจะไม่ดีละมั้ง”
“ฮิๆๆ ชิ้นเดียวไม่เป็นไรหรอก”
ผมมองเด็กสาวตัวเล็กที่เดินข้างกันพยายามแกะริบบิ้นไม่ให้มันยับด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจแล้วก็อดหัวเราะเธอไม่ได้
เจ้าตัวเองก็คงรู้ว่าผมหัวเราะอะไร เธอหันมายิ้มเขินอายให้ผม แล้วจึงดึงเสื้อให้ผมก้มต่ำลงไป
นุ่มนวลและแผ่วเบา
ราวกับว่ามันเป็นความรู้สึกที่ผมคิดไปเอง
เพียงแวบเดียวที่คิดว่าเธอจะพูดอะไร ผิวสัมผัสที่แก้มก็รับรู้ได้ถึงความนุ่มนวลและแผ่วเบานั้น แล้วมันก็หายไปทันทีที่สมองรับรู้
“ขอบคุณนะคะพี่ชาย ฮิๆๆ”
อันนะพูดขอบคุณผมพร้อมกับเดินถอยหลังไปด้วย
เด็กสาวตัวเล็กชูถุงขนมแนบแก้มของตัวเองด้วยมือทั้งสองข้าง
เธอหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูร่าเริงสดใสแต่แฝงไว้ด้วยเค้าความงามที่เริ่มปรากฏเด่นชัด
เป็นความงามที่บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ให้ความรู้สึกว่าอยากปกป้อง อยากทะนุถนอม อยากจะดูแลรักษาเอาไว้
ไม่อยากให้แปดเปื้อน…
ไม่อยากให้หายไป…
ไม่อยากสูญเสียไปให้คนอื่น…
“เร็วๆ ซิพี่ มัวแต่ยืนเหม่อเดี๋ยวก็ไปติวไม่ทันหรอก”
ผมเลือกที่จะปล่อยผ่านสัมผัสมายานั้นไปและเริ่มออกเดินตามอันนะอีกครั้งหนึ่ง
เธอยังคงหันหน้ามาทางผมและเดินถอยหลังโดยไม่มองทางต่อไป
“มองทางหน่อยซิ”
“พี่ก็ช่วยดูให้ฉันอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“เธอเนี่ยน้า…”
“น่ารักใช่ป๊ะล่ะ ฮิๆๆ”
รอยยิ้มไร้เดียงสาปรากฏอยู่บนใบหน้าของเด็กสาว…
ราวกับรู้ความลับในใจผม…
ราวกับกำลังพยายามล่อลวงผมอยู่…
—
ชั่วโมงเร่งด่วนในช่วงเย็นของวันที่มีฝนตกเป็นอะไรที่น่าเบื่อหน่าย
สถานี H ในช่วงเวลาพลบค่ำแบบนี้มักจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ฝนตกแบบนี้
ผมไม่ได้เกลียดฝน อันที่จริงผมชอบไอเย็นจากฝน แต่ไม่ชอบความชื้นเฉอะแฉะของมัน
เพราะแม้ว่าฝนจะหยุดไปแล้ว ความชื้นเฉอะแฉะก็ยังคงสร้างความลำบากและความรำคาญอยู่ดี
ตลอดการเดินมาสถานีผมต้องหลบแอ่งน้ำเกือบสิบแห่ง เกือบจะโดนน้ำที่กระเซ็นมาเพราะรถที่ขับผ่านไป แล้วก็เกือบลื่นตอนที่เดินลงบันไดสถานีมา
ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะว่าฝนที่เพิ่งหยุดตกไป
ผมเดินไปประจำตำแหน่งในสถานีที่แม้ผู้คนจะหนาแน่นกว่าวันปกติ แต่ที่ประจำของผมยังคงว่างอยู่เหมือนเดิม เลือกวางกระเป๋าไว้ข้างๆ กาย มือซ้ายล้วงกระเป๋าเสื้อคลุมควักเอาโทรศัพท์ออกมา
ช่วงเวลาหลังจากนี้คือการรอ…
…รอเจ้าหมี
ผมไม่ได้กลับบ้านพร้อมโอโตเมะมานานมากแล้ว น่าจะมากกว่า 1 เดือนด้วยซ้ำ
ทั้งที่เมื่อก่อนพอวันศุกร์ผมก็จะมารอเธอแบบนี้ จากนั้นเราก็จะกลับบ้านพร้อมกัน ระหว่างทางก็พูดคุยบอกเล่าเรื่องราวของแต่ละฝ่าย
มีทั้งเรื่องที่ชวนให้ปวดหัว เรื่องตลกขำขัน ปัญหาชีวิตในโรงเรียน แม้แต่การหยอกล้อกันตามประสา
เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ผมเฝ้ารอให้มาถึงเร็วๆ
แต่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว
โอโตเมะค่อนข้างจะยุ่งกับงานสภานักเรียนและมักจะกลับบ้านเย็นย่ำพร้อมกับทาเคโนะอุจิผู้เป็นคู่หู
ส่วนผมก็มีงานพิเศษช่วงห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่มทุกวันศุกร์ นั่นทำให้เวลาของเราไม่ตรงกัน ส่งผลให้ผมเกิดอาการคุยกับโอโตเมะไม่เพียงพอ
อาการที่ผมตั้งชื่อเองว่า ‘ภาวะขาดแคลนโอโตเมะไอออน’
ก็จะไม่ให้มันขาดได้ยังไง เมื่อก่อนผมกับเธออยู่กันคนละโรงเรียนไม่ได้เจอหน้ากัน แต่ยังคุยกันผ่านทางโทรศัพท์ได้เป็นชั่วโมงๆ
ปัจจุบันการโทรศัพท์คุยกันทุกวันยังคงมีอยู่ แต่ระยะเวลากลับสั้นลงจนน่าใจหาย แถมส่วนใหญ่จะเป็นโอโตเมะที่หลับคาสายบ่อยๆ ด้วย
ผมรู้ว่าเธอเหนื่อย…
โอโตเมะพยายามอย่างมากทั้งการเรียนและงานสภานักเรียน
ที่โรงเรียนผมเฝ้ามองดูเธอทำสิ่งต่างๆ อยู่ตลอด
เธอตั้งใจเรียน เธอช่วยเหลือเพื่อนและช่วยงานครู เธอสนุกสนานเฮฮากับกลุ่มสามสาวเพื่อนสนิท เธอมุ่งมั่นทุ่มเทให้การทำงานในตำแหน่งรองประธานนักเรียน
เธอที่ทำทุกอย่างนั่นช่างดูเปล่งประกาย ยิ่งอยู่กับคู่หูประธานนักเรียนด้วยแล้วยิ่งเปล่งประกายจนเข้าใกล้ลำบาก
ความลำบากที่ว่านี้ไม่ใช่เพราะทั้งคู่เข้าถึงยาก กลับกันเลย พอพวกเธออยู่ด้วยกันแล้วบรรยากาศกีดกันที่ติดตัวทาเคโนะอุจิอยู่จะหายไป แทนที่ด้วยความละมุนละไมนุ่มนวลชวนหลงใหลเข้าถึงง่ายและเป็นกันเอง
โดยเฉพาะกับตัวผมยิ่งเป็นหนัก
นับตั้งแต่ที่คุยกันเมื่อครั้งนั้น ทาเคโนะอุจิก็ทำตามที่ประกาศไว้จริงๆ
เธอเข้าหาผมแบบไม่แคร์สายตาคนอื่น แม้ไม่ได้รุกหนักขนาดถึงเนื้อถึงตัว แต่ก็ทำให้ผู้ชายเกือบทั้งโรงเรียนมองผมเป็นศัตรูร่วมไปเรียบร้อย
ด้านโอโตเมะเองก็รู้เห็นเรื่องราวเหล่านี้แต่กลับไม่ว่าอะไรสักคำ กลับกันถ้ามีเด็กผู้หญิงคนอื่นเข้าหาผมบ้าง เธอจะแสดงออกว่าไม่ค่อยพอใจ
ทำเอาผมเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ตกลงแล้วโอโตเมะคิดยังไงกับผมกันแน่ ใจหนึ่งอยากจะถามให้รู้แล้วรู้รอด แต่อีกใจก็ดันปอดบอกให้ค่อยๆ เขยิบเข้าไปใกล้เธอช้าๆ
แน่นอนว่าผมเลือกแบบช้าแต่ชัวร์
ทว่าหนึ่งเดือนกว่ามานี้มันไม่มีอะไรคืบหน้าเลย ที่โรงเรียนผมไม่มีโอกาสได้พูดคุยหรืออยู่ใกล้ชิดโอโตเมะแบบสองต่อสองเท่าไรนัก เป็นทาเคโนะอุจิเสียอีกที่คุยกันบ่อยๆ เพราะเธอมักจะมาฐานทัพลับแล้วกินข้าวกลางวันกับพวกผม
สรุปแล้วที่โรงเรียนเราแทบไม่ได้คุยกัน ยกเว้นตอนเรียนวิชาเลือกที่ได้นั่งข้างกันบ้างเท่านั้น
“กรุณายืนหลังเส้นเหลือง…”
เสียงประกาศจากทางสถานีพาผมออกมาจากความคิดเลอะเทอะของตนเองเมื่อครู่
ผมเลื่อนสายตาขึ้นไปมองมุมบนของหน้าจอโทรศัพท์
[‘อีก 8 นาที 6 โมงเย็น…’]
หากเป็นวันธรรมดาเธอคงจะกลับมาแล้ว แต่เพราะพรุ่งนี้เป็นวันแรกของงานเทศกาลดนตรีฤดูฝน แถมตัวแทนของโรงเรียนก็จะขึ้นแสดงในวันพรุ่งนี้ด้วย ผมคิดว่าเธออาจจะอยู่เตรียมความพร้อมกัน
ผมปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไปอีกครั้งพร้อมกับพาตัวเองดำดิ่งไปกับตัวหนังสือบนหน้าจอโทรศัพท์
คิดว่าเวลาไม่น่าจะผ่านไปนานเท่าไรนักหลังจากดูเวลาครั้งล่าสุด ในที่สุดตรงหน้าผมก็มีคนมา
MANGA DISCUSSION