– อาคิยามะ เออิชิ –
ผมมองย่านการค้าที่สองข้างทางเดินเต็มไปด้วยร้านรวงมากมายหลายหลากพลางคำนวณในใจว่าครั้งสุดท้ายที่มาที่นี่มันผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว
[‘7 เดือน กับ 7 วัน’]
ย่านศูนย์การค้าของเมือง T นั้นยังคงใหญ่และพร้อมสรรพ มีสินค้า อาหาร และบริการต่างๆ ค่อนข้างครบครัน ยิ่งเป็นอาหารด้วยแล้วจัดว่ามีเยอะและหลากหลายจนลานตาโดยเฉพาะในช่วงเวลาเย็นๆ แบบนี้
ทว่าเป้าหมายของผมในวันนี้ไม่ใช่การมาเดินเที่ยวหรือมาเลือกซื้อของในย่านการค้านี้แต่อย่างใด หากแต่เป็นการไปเที่ยวบ้านเพื่อนคนแรกนับตั้งแต่เข้าเรียนที่มัธยมปลายฮิบิยะแห่งนี้
บ้านของโฮตานิ โซเฮย์ล่ะครับท่าน~~
ตอนแรกที่ผมเอ่ยปากขอไปบ้านเขานั้น ผมคิดว่าเขาคงอาศัยอยู่ที่ร้านเนื้อย่างย่านชานเมืองตามที่เขาบอกว่าที่นั่นคือบ้านของเขา
แต่เอาเข้าจริงโซเฮย์กลับพาผมมาที่ย่านการค้า จากนั้นเราก็เดินผ่านกลางย่านนั้นมาอีกราวๆ 20 นาที เข้าสู่เขตที่พักอาศัยที่จัดได้ว่าเป็นเขตของผู้มีอันจะกิน
โดยไม่รอช้า โซเฮย์เดินตรงดิ่งเข้าไปยังแมนชันสุดหรูสูงลิ่วแห่งหนึ่ง เขาทักทายพนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าทางเข้า จากนั้นก็ควักคีย์การ์ดออกมาแตะที่เครื่องสแกน เสียงปี๊บที่ไม่ดังมากดังขึ้น แล้วประตูหน้าทางเข้าก็เปิดออก
เขาหันมาพยักหน้าให้ผม อารมณ์ประมาณว่าเข้ามาซิ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย แบบว่า… อืมมม… นั่นแหละ
[‘เกลียดจริงๆ ไอ้พวกมีตังค์เนี่ย’]
ผมบ่นโซเฮย์ไปในใจไปงั้นแหละ แต่ความรู้สึกจริงๆ คือตื่นตาตื่นใจกับบ้านของเพื่อนมาก
เพราะบ้านเพื่อน บ้าเอ๊ยย…!!! หรูชิบ
อาการตื่นตาตื่นใจของผมยังดำเนินต่อไปแม้จะเดินเข้ามาภายในตัวอาคารแล้ว
มองภายนอกเป็นตึกใหญ่ที่ภายในจัดตกแต่งเป็นทรงวินเทจแต่กลับมีระบบรักษาความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยและหรูหรา
ประตูบ้านก็เป็นระบบคีย์การ์ด เมื่อเปิดเข้ามาจะพบกับบ้านลักษณะแบบ 3LDK ที่อยู่กันได้เป็นครอบครัวใหญ่สี่ถึงห้าคน
ห้องโถงกลางขนาดใหญ่เชื่อมต่อกับครัวขนาดย่อมๆ มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำรวมถึงโซนซักล้าง ถัดไปแบ่งเป็นห้องเก็บของขนาดเล็ก ห้องนอนใหญ่ และห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง
แม้การตกแต่งภายในจะดูโบราณไปบ้างเมื่อเทียบกับตัวตึกและทางเข้าที่เดินเข้ามา แต่ก็ต้องยอมรับว่าหมอนี่บ้านรวย
“บ้านนายเนี่ยสุดยอดไปเลยน้า”
“งั้นเหรอ ขอบคุณที่ชมนะ”
“แต่มันจะไม่ใหญ่เกินไปหน่อยเหรอสำหรับการอยู่คนเดียวน่ะ”
“อย่างคุณไม่น่าจะพูดแบบนั้นได้นะ ตัวเองก็อยู่บ้านเดี่ยวสองชั้นคนเดียวแท้ๆ”
“นั่นไม่เหมือนกันซิ บ้านฉันน่ะเป็นบ้านเดียวห่างไกล ไม่ใช่แมนชันหรูใจกลางเมืองอย่างนี้สักหน่อย เอาแค่ประตูทางเข้าฉันก็คิดว่าแพงหูฉี่แล้ว”
“ถ้าซื้อตอนนี้ก็คงแพงจริงๆ นั่นแหละ แต่พ่อซื้อที่นี่ไว้ตั้งแต่เริ่มคบกับแม่ นับๆ ก็ 20 ปีได้แล้วมั้ง แต่เพิ่งจะมารีโนเวทตอนที่ขยายสาขามาที่นี่แหละ”
“โหยยย… นายนี่มันคุณหนูบ้านรวยนี่หว่า”
“ไอ้คนที่มีสมบัติรองรังน่ะเงียบไปเลย ผมต้องทำงานทุกวันนะถึงจะมีเงินใช้”
“ฉันก็ทำเหอะ ทุกวันนี้ก็ตั้งใจเต็มที่เลยนะ”
โซเฮย์ว่าผมล้อเล่นหรือเปล่าพลางเดินหายเข้าไปในครัว เสียงเขาลอยมาว่าเอาชาหรือกาแฟ
ตอบกลับไปแล้วอาศัยจังหวะนั้นนั่งรอที่หน้าทีวีพร้อมกับมองดูรอบๆ ห้องไปพลางๆ
นอกจากความประทับใจอย่างเรื่องความหรูหราของตัวแมนชันแล้ว ต้องบอกว่าสิ่งที่ประทับใจอีกอย่างหนึ่งหลังจากได้เข้ามาคือเรื่องของความสะอาด
โดยส่วนใหญ่แล้วเด็กผู้ชายที่อาศัยอยู่ตัวคนเดียวมักจะเจอปัญหาเรื่องการดูแลบ้านให้สะอาดเรียบร้อย แต่เท่าที่เห็นในขณะนี้ผมคิดว่าโซเฮย์น่าจะเป็นพวกส่วนน้อยถึงน้อยมากๆ
“อ่ะ มีแต่ชาถุงนะ ลืมว่าเมื่อเช้ากาแฟหมดแล้ว”
“นี่นายตั้งใจกวนฉันหรือเปล่าเนี่ย?”
รู้สึกว่ายิ่งสนิท โซเฮย์ยิ่งกวนประสาทเก่ง จนบางครั้งก็ชักจะระแวงๆ ว่าหมอนี่พูดเล่นหรือพูดจริง
โซเฮย์ส่งถ้วยชามาให้หลังยืนยันกับผมแล้วว่าเขาลืมจริงๆ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ กัน เขาจิบชาของตนเองด้วยท่าทางแบบผู้ดีที่เห็นแล้วรู้สึกอยากกระโดดเตะสักที
“แล้วเรื่องงานพาร์ทไทม์เป็นไงบ้าง เป็นติวเตอร์นี่สนุกหรือเปล่า?”
“งานมันสนุกได้ด้วยเรอะ?”
“สนุกซิ อย่างผมเองเวลาได้บริการลูกค้า ได้ทำให้เขามีความสุขแล้วผมสนุกนะ”
“งั้นของฉันคงไม่สนุกเท่าไรมั้ง แต่ก็ไม่ได้แย่ด้วยเหมือนกัน”
“อะไรล่ะนั่น พูดยังกับพวกคุณลุงที่มาร้านหลังสองทุ่มเลย”
“ฉันยังไม่แก่ขนาดนั้นมั้ย?”
“บางทีคุณก็คิดหรือพูดอะไรเหมือนคนแก่นะ”
“จริงดิ?”
“อื้อ”
ผมถอนหายใจให้เจ้าของบ้านที่ตอนนี้นั่งไขว่ห้างจิบชาสบายใจเฉิบ ก่อนจะย้อนกลับมาที่คำถามเดิมของเขา
“จะว่างานติวเตอร์มันสนุกมั้ยก็พูดยาก ฉันเองก็ไม่ได้ไม่ชอบนะ เวลาเจอนักเรียนที่กระตือรือร้นมันก็ติวก็สอนกันเพลินดี แปบๆ ก็ถึงเวลาเลิกแล้ว แต่ก็มีบางทีที่มีปัญหาบ้าง”
“หือ? เจอเด็กดื้องั้นเหรอ?”
“อันนั้นไม่ค่อยเจอนะ ส่วนใหญ่ที่มาขอให้ติวให้ก็ตั้งใจกันดี แต่มันมีปัญหาตรงอื่นน่ะ”
“อย่างเช่น?”
“อย่างบ้านทาคาสึมะเนี่ย ตัวคนน้องที่ฉันไปติวให้นั่นก็เป็นเด็กขยันขันแข็งดีอยู่หรอก แต่คนพี่ยัยเรย์โกะเนี่ย จะว่าไงดี เธอชอบเข้ามาใกล้ชิดฉันแบบไม่ค่อยระวังตัวเท่าไร”
“คุณเรย์โกะเนี่ย ใช่เพื่อนของคุณอันนะหรือเปล่า?”
“อ่า ยัยนั่นแหละ”
“เอ๋? แบบนั้นไม่ดีเหรอ? คุณเรย์โกะออกจะน่ารัก อย่างกับตุ๊กตาแน่ะ”
ผมเตะโซเฮย์ไปทีนึงเนื่องจากความหมั่นไส้ส่วนตัว แต่เจ้าตัวหลบทัน
“ปกติอันนะอยู่ด้วย เธอจะคอยปรามให้ แต่ตอนไปติวให้น้องชายเธอต้องไปคนเดียว ฉันเลยต้องระวังตัวเอง”
“กลัวจะเผลอตัวเผลอใจ…”
เหมือนจะรู้ตัวว่าถ้าพูดต่อจะโดนอะไร โซเฮย์ทำท่ายกมือยืมแพ้พร้อมกับยิ้มแหยๆ ให้ผม
“มันจะเป็นเรื่องยุ่งยากเอาได้ถ้าทำอะไรไม่คิด นายเองน่าจะเข้าใจนิ”
โซเฮย์พยักหน้าช้าๆ ผมคิดว่าเข้าคงจะเข้าใจถึงความลำบากใจของผมบ้างแล้ว แต่กลายเป็นว่าเจ้าหมอนี่กลับไม่เข้าใจเลยสักนิด
“แต่ผมก็ยังคิดว่าคุณน่าอิจฉาอยู่นิดหน่อยนะ ทุกวันนี้มีแต่สาวๆ มารุมล้อม กลายเป็นหนุ่มฮอตไปจริงๆ แล้วสินะ”
“มีแต่เรื่องปวดหัวล่ะซิไม่ว่า นายเองก็ตัวหดลีบทุกทีที่พวกนั้นเข้ามาไม่ใช่หรือไง?”
“ก็จริง แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีใครสนใจแบบผมนะ”
“นายก็ทำตัวให้เหมือนตอนนี้สิ”
“มันแก้กันได้ง่ายๆ ที่ไหนล่ะครับ แล้วถึงผมจะอิจฉาก็จริง แต่พวกคนที่เข้ามานั้นไม่ใช่คนที่ผมอยากให้เข้ามาสักหน่อย”
ว่าแล้วก็เอนตัวพิงพนักพิงของโซฟาด้วยท่าทางที่บอกไม่ถูกว่าสบายใจหรือหมดอาลัยตายอยาก ทำเอาผมเอนตัวตามไปด้วย
“ใช่มั้ยล่ะ เป็นไปได้ก็ขอแค่คนเดียวก็พอแล้ว”
“แล้วตกลงคนไหนล่ะครับ? คุณน้องสาว? ประธาน? หรือรองประธาน? … โอยย…”
มองโซเฮย์ที่ยกขาขึ้นมาลูบเบาๆ ด้วยความสะใจเล็กน้อย เจ้าตัวบ่นงุบงิบพร้อมมองค้อนแต่ผมเมินไม่สนใจ เจ้าตัวเลยเปลี่ยนเรื่องเข้าสู่เนื้อหาที่จริงจังมากขึ้น
“แล้วตกลงที่มาวันนี้มีเรื่องอะไรให้ช่วยล่ะ?”
[‘เกือบลืมจุดประสงค์ไปเลย’]
อันที่จริงสาเหตุที่ตั้งใจมาบ้านโซเฮย์วันนี้ก็เพื่อจะขอตามไปร้านของเขาเพราะคิดว่าเขายังอาศัยอยู่ที่นั่น แต่เมื่อไม่ใช่ก็คงทำได้แค่ขอให้เจ้าตัวช่วยตรงๆ
“ว่าจะปรึกษาเรื่องร้านของนายน่ะ”
“ร้านของผม?”
“อือ ตอนแรกคิดว่านายยังอยู่ที่ร้านเดิม ฉันเลยว่าจะตามไปดูหน่อย เผื่อจะได้ข้อมูลดีๆ บ้าง”
“คุณจะเอาข้อมูลอะไรล่ะนั่น?”
“ก็อย่างเรื่องราคา โปรโมชั่น หรือส่วนลด”
“คุณจะมาเป็นลูกค้าร้านผมเหรอ?”
“ก็ตั้งใจว่าจะชวนโอโตเมะไปเลี้ยงวันเกิดที่นั่นน่ะ”
“เหหห… เลือกท่ารองซินะ…”
โซเฮย์ยกขาหลบลูกเตะผมไปได้อย่างหวุดหวิด จากนั้นก็พูดต่อโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“แต่ว่าก็แปลกดีนะ ผมไม่เคยเห็นใครพาแฟนมาฉลองวันเกิดที่ร้านมาก่อนเลย”
“แค่เพื่อน…”
“คร้าบๆ แต่ถามจริงเหอะ คิดได้ไงจะพาสาวมาเลี้ยงวันเกิดในร้านเนื้อย่างเนี่ย บรรยากาศเป่าเทียนเค้กวันเกิดโคตรจะไม่เข้ากับเตาที่มีเนื้อย่างอยู่เลย”
“ฉันว่ามันออกจะแปลกใหม่นะ แถมเพื่อนยังเป็นลูกชายเจ้าของร้านด้วย น่าจะมีส่วนลดพิเศษให้กันบ้างแหละ”
“เฮ้ออ… เล็งตรงนั้นไว้สินะ”
เห็นเพื่อนถอนหายใจใส่กันแบบไม่คิดจะปิดบังแล้วก็รู้สึกผิดนิดๆ เลยกะว่าจะพูดแก้ตัวสักหน่อย แต่โซเฮย์เสนอไอเดียวใหม่ออกมาซะก่อน
“ร้านผมน่ะกว่าจะเปิดก็บ่ายแล้ว แถมส่วนใหญ่ลูกค้าก็เป็นผู้ใหญ่ บรรยากาศไม่ค่อยเหมาะนัก ถ้ายังไงไปร้านอื่นดีกว่านะ ผมรู้จักอยู่ร้านหนึ่ง ถึงจะเป็นร้านอาหารสไตล์อิตาเลียนแต่เขาทำเค้กอร่อยนะ ผมมีส่วนลดด้วยแต่ว่าใช้ได้แค่ถึงสิ้นเดือน”
“โอ้วว… ดีเลย แต่เอามาให้ฉันเนี่ยจะดีเหรอ?”
“เก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้…”
“ไม่ลองชวนเขาดูล่ะ?”
“ไม่ต้องมาเนียนหลอกถามผมเลยนะ ผมรู้ทันหรอก”
“ฉันล่ะเกลียดเด็กฉลาดอย่างนายจริงๆ”
—
เท่าที่ผมรู้ นักเรียนชั้นปี 2 ของโรงเรียนมัธยมปลายฮิบิยะจะต้องเรียนและทำกิจกรรมที่เยอะมากๆ
เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าตัวหลักสูตรพยายามจะจัดการเรียนการสอนให้จบเร็วกว่าปกติ เพื่อให้นักเรียนชั้นปี 3 ได้มีเวลาเตรียมตัวในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมากขึ้น
แต่กระนั้นก็ใช่ว่านักเรียนชั้นปี 3 จะว่างไม่มีเรียน พวกรุ่นพี่ยังคงมาโรงเรียนกันตามปกติ แต่จะมีช่วงเวลาของการเรียนรู้ด้วยตัวเองมากขึ้น เป็นลักษณะคล้ายๆ กับวิชาเลือกที่ใครชอบหรือสนใจในด้านไหนก็ไปศึกษาด้านนั้น ซึ่งผมมองว่าเป็นการเรียนที่ให้อิสระแก่นักเรียนค่อนข้างมากเลย
พูดถึงเรื่องให้อิสระกับนักเรียนแล้ว พวกผมที่เป็นนักเรียนปี 2 ก็เริ่มจะได้รับอิสระกันมากขึ้นกว่าตอนอยู่ปีหนึ่ง… รึป่าว..??
เอาเถอะ ไม่รู้ว่าปีหนึ่งเรียนกันยังไงล่ะนะ แต่ตอนนี้เปิดเรียนมาได้ 2 เดือนแล้ว ผมพบว่าที่โรงเรียนนี้มีอิสระในการเลือกเรียนให้เหล่านักเรียนค่อนข้างมาก
ยกตัวอย่างเช่นการเรียนในวิชาเลือกที่ผมกำลังเดินตามเพื่อนๆ ไปเรียนอยู่ในขณะนี้ก็เป็นหนึ่งในวิชาเลือกที่ปล่อยให้นักเรียนเลือกเรียนได้ตามความถนัดและสนใจ โดยมีข้อกำหนดเดียวเท่านั้นคือคุณจะต้องลงทะเบียนเรียนให้ทันชาวบ้านเขา
สำหรับวิชาเลือกที่ผมกำลังเดินไปเรียนอยู่นี้คือวิชาคหกรรม จะเรียนกันที่ห้องคหกรรมเป็นหลัก เนื้อหาที่เรียนก็จะสลับๆ กันไประหว่างตัวทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
ภาคทฤษฎีนั้นจะเน้นไปทางเรื่องของความเหมาะสมทางโภชนาการ การจัดตกแต่งอาหาร ขั้นตอนการทำอาหาร การเลือกวัตถุดิบ และอื่นๆ อีกมากมายที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันจำเป็นต้องรู้ด้วย
เคยคิดว่าแค่ทำตามสูตรแล้วออกมากินได้ก็พอแล้ว แต่เอาเข้าจริงๆ มันมีรายละเอียดที่ยิบย่อยกว่านั้นมาก ถือว่าเป็นหนึ่งในวิชาที่เรียนแล้วได้ความรู้ไปใช้ในชีวิตได้จริงอีกวิชาหนึ่ง
ส่วนในภาคปฏิบัตินั้นก็คือการเอาภาคทฤษฎีมาทำให้ออกมาเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ มันไม่ง่ายนักสำหรับคนที่ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดมากอย่างผม แต่ว่าก็ไม่ยากเกินกว่าจะเรียนรู้
เมื่อเข้าสู่ห้องเรียน พวกผมก็ถูกแยกกันไปตามกลุ่มที่ได้เคยจัดไว้เมื่อครั้งที่แล้วซึ่งเป็นการเรียนภาคทฤษฎี มีสมาชิก 4 คน ชาย 1 อันได้แก่ผมเอง และหญิง 3 ประกอบไปด้วยคุณอาซาคุระ คุณซากุระ และคุณซาโตมิ
ส่วนอีกกลุ่มที่มาจากห้องเดียวกันประกอบไปด้วยโอโตเมะ คุณอาโออิ คุณมิยาโมริ แล้วก็โซเฮย์
ดูจากสมาชิกแล้วทุกท่านอาจจะแปลกใจว่าทำไมกลุ่มคนที่สนิทๆ กันถึงได้พลัดพรากกันไปอยู่คนละกลุ่ม
คือผมอยากจะบอกว่าเรื่องมันมีสตอรี่ มีที่มาที่ไปครับ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง
สาเหตุมันเริ่มจากการจับกลุ่มครั้งแรกที่เป็นการจับกลุ่มกันอิสระ อาจารย์ประจำภาควิชาปล่อยให้เด็กนักเรียน 35 คน มีอิสระในการจับกลุ่มกันเต็มที่ มีข้อแม้อย่างเดียวคือต้องมีสมาชิกในกลุ่มไม่น้อยกว่า 4 และห้ามเกิน 5 คน
ทีนี้ห้องผมที่ลงทะเบียนเรียนวิชานี้มีมากัน 8 คนพอดี กลุ่มโอโตเมะมา 4 พวกเธอก็จับกลุ่มของเธอไป ที่เหลืออีก 4 จะให้ไปจับคู่กับห้องอื่นก็ดูจะไม่สะดวกใจเท่ากับจับกลุ่มกันเอง สุดท้ายก็กลายเป็นผมกับโซเฮย์ที่ต้องมาจับกลุ่มกับคุณซาโตมิและคุณมิยาโมริ
ตอนแรกเริ่มมันไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมายนอกไปจากการสื่อสารที่ค่อนข้างจะลำบาก เพราะโซเฮย์ของเราพอนั่งใกล้สาวที่ไม่คุ้นหน้าก็ตัวหดลีบ เสียงเองก็หดหาย พูดอะไรทีก็ต้องตะแคงหูฟังตั้งใจฟัง ส่วนสาวๆ อีกสองท่านในกลุ่มก็ดูเหมือนจะเป็นไทป์ขี้อาย พูดน้อย ไม่ค่อยสบตา ดีหน่อยที่เวลาพูดฟังออกชัดกว่าโซเฮย์
ทีนี้ปัญหามันมาเกิดขึ้นจริงๆ ตอนที่เริ่มภาคปฏิบัติครั้งแรก เนื่องจากโซเฮย์ผู้เป็นเด็กผู้ชายกลุ่มน้อยที่ทำงานบ้านได้เนียบแถมเป็นถึงลูกชายเจ้าของร้านเนื้อย่าง แต่ดันไม่มีสกิลการทำอาหารซะงั้น ส่วนคุณซาโตมิกับคุณมิยาโมริยังดีหน่อยที่ทำอาหารได้ แต่ก็เกร็งซะจนทำพลาดหลายครั้ง กว่าคาบเรียนวันนั้นจะจบลงได้ ผมนี่แบกกลุ่มแทบหลังหัก
หลังจากครั้งนั้นพวกโอโตเมะเลยเสนอให้มีการแบ่งกลุ่มกันใหม่เพื่อให้เกิดความสมดุลกัน ดังนั้นในครั้งที่สองนี้จึงมีการสลับเอาโอโตเมะกับคุณอาโออิมาแทนคุณซาโตมิกับคุณมิยาโมริ
แล้วก็เป็นไปตามคาด ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติผ่านฉลุย โอโตเมะทำอาหารเก่งอยู่แล้ว การทำอาหารกับเธอจึงเป็นเรื่องง่ายและสนุกมาก
ผมคิดว่าช่วงเวลาแห่งความสุขนี้จะคงอยู่ต่อไปนานๆ แต่สุดท้ายมันก็ไม่คงทนเมื่อทุกคนบอกว่าเราสองคนไม่ควรจะมาจู๋จี๋กันในคาบเรียน
– “พวกคุณจู๋จี๋กันเองจนผมกับคุณอาโออิไม่ได้ทำอะไรเลย” –
– “ยังกับคู่สามีภรรยาเข้าครัวด้วยกันงั้นแหละ” –
– “พวกคุณทำแบบนี้ด้วยกันบ่อยๆ เหรอคะ?” –
– “ทั้งสองคนเก่งมากเลย ดูเข้ากันสุดๆ” –
และอีกมากมายที่ผมกับโอโตเมะได้แต่ปฏิเสธว่าเราไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น
[‘นึกแล้วก็แก้มกระตุก อย่าเผลอยิ้มเชียวนะเจ้าบ้า’]
ก็นั่นล่ะครับ ในครั้งที่ 3 นี้ พวกเราจึงได้เปลี่ยนกลุ่มอีกครั้ง โดยมีสมาชิกดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น ส่วนโจทย์ในการเรียนครั้งนี้ก็คือการทำขนมอบสำหรับเป็นของขวัญ
MANGA DISCUSSION