– โอโตเมะ อามายะ –
เหมือนฉันจะสูญเสียความทรงจำไปช่วงหนึ่งค่ะ
เป็นเพียงความทรงจำช่วงสั้นๆ แค่ตอนที่เดินกลับมาห้องเรียนเท่านั้นที่หายไป เพราะฉันจำไม่ได้ว่าตัวเองเดินกลับมาห้องเรียนยังไง เห็นหรือผ่านอะไรบ้าง นึกยังไงก็นึกไม่ออกค่ะ
รู้ตัวอีกทีก็คือเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ของตัวเองแล้วเพื่อนๆ ก็เข้ามาถามว่าเป็นอะไร นั่นแหละฉันถึงรู้ตัวอีกอย่างว่าตัวเองไม่ได้เดินเข้าไปหาเพื่อนๆ ที่แต่เดิมนั่งกินข้าวด้วยกันอยู่ที่โต๊ะของเซริ
อามายะ : “ไม่เป็นไรหรอก พอดีมีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ”
เมกุมิ : “พวกเธอนี่เป็นอะไร ทำไมมีอะไรไม่ยอมบอกฉันกับอาโอะจังตรงๆ นี่ถ้าไม่เค้นก็ไม่ยอมบอกซินะ”
อามายะ : “เธอพูดเรื่องอะไรน่ะ?”
เมกุมิ : “จะเรื่องอะไรล่ะ เธอนั่งเหม่ออยู่ตั้งนานนะกว่าพวกฉันจะเข้ามาหาน่ะ แค่ดูก็รู้ว่าเธอไม่ปกติแล้ว”
อามายะ : “โทษที แต่ไม่ได้มีเรื่องอะไรมากหรอก แค่ยังคิดไม่ตกนิดหน่อย”
เมกุมิ : “ฮึ ไม่บอกก็ไม่ว่าหรอก แต่ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจฉันก็อยากให้มาปรึกษาบ้าง เก็บไว้คนเดียวเดี๋ยวก็อกแตกตาย”
อาโอะ : “นั่นซิคะ เซริจังก็ด้วยนะรู้มั้ยคะ?”
เซริ : “รู้แล้วล่ะน่า พวกเธอบ่นฉันจนหูชาแล้วนะ”
เมกุมิ : “ก็มันน่าบ่นมั้ยล่ะ? รู้เรื่องตั้งแต่เช้าแล้วแต่เก็บเงียบไม่ยอมบอกใคร นี่ถ้าฉันไม่ออกไปดูป้ายประกาศถึงรู้ว่าไม่มีชื่อเธอ พวกเราก็คงไม่รู้หรอกว่าผลสอบคราวนี้ของเธอออกมาไม่ดีน่ะ”
อามายะ : “เอ๊ะ?! ไม่ดี? ยังไงน่ะเซริ?”
เซริ : “ก็แค่ไม่ติด 30 คนแรกน่ะ”
อามายะ : “เดี๋ยวนะ งั้นเธอได้ที่เท่าไร?”
เซริ : “35 น่ะ”
อามายะ : “แบบนี้มันก็แย่เลยไม่ใช่หรือไง?”
เซริ : “ก็อาจจะนิดหน่อย”
เมกุมิ : “นิดหน่อยกับผีน่ะสิ!! เธอพลาดทุนของเทอมหน้าแล้วนะ!!”
อาโอะ : “แบบนี้มันจะแย่เอานะคะ”
เซริ: “เงินเก็บก็ยังพอมี เดี๋ยวทำงานพิเศษเพิ่มเอา…”
อามายะ : “ไม่ใช่ว่าเธอทำงานพิเศษมากไปจนไม่มีเวลาดูหนังสือหรอกนะ? เธอมีปัญหาที่บ้านใช่มั้ย?”
เซรินิ่งเงียบตอบคำถามของฉัน บรรยากาศพลันอึดอัดขึ้นมา ฉันรู้ตัวทันทีว่าตัวเองก้าวล่วงเข้าไปในเขตที่เซริไม่อยากให้เข้าไป ครั้นขยับปากจะขอโทษ เซริกลับพูดดักกันไว้ก่อน
เซริ : “ก็มีปัญหานิดหน่อย พอดีย้ายบ้านใหม่ด้วย แล้วทำงานพิเศษเพิ่มด้วย เวลาเลยน้อยลงเฉยๆ น่ะ แต่คราวหน้าฉันไม่พลาดแน่”
อามายะ : “ขอโทษนะที่เข้าไปวุ่นวาย แต่ฉันเป็นห่วงเธอจริงๆ นะ”
เมกุมิ : “พวกเราด้วย”
อาโอะ : “ใช่ค่ะ”
เซริขอบคุณพวกเราพร้อมกับโผเข้าหาอ้อมกอดให้กำลังใจที่พวกเราสี่คนมักจะทำเมื่อคนใดคนหนึ่งกำลังไม่สบายใจ
ฉันค้นพบว่าความอบอุ่นและกำลังใจจากเพื่อนๆ สามารถช่วยให้ความไม่สบายใจต่างๆ ทุเลาลงได้ มันคล้ายกับยาวิเศษที่ได้รับมาปั๊บอาการก็ทุเลาขึ้นปุ๊บ
ฉันถือโอกาสนี้รับยาวิเศษนี้ไปพร้อมๆ กับเซริ ปิดบังและฝังกลับความรู้สึกซับซ้อนสับสนของตนเอง รวมถึงข้อสันนิษฐานที่น่าจะเป็นข้อเท็จจริงมากกว่าเอาไว้
ข้อเท็จจริงที่เธอไม่เคยลืมเขา และข้อเท็จจริงที่เขาไม่เคยลืมเธอเช่นกัน
ทุกความทรงจำระหว่างเรา… ฉันจะไม่มีวันลืมมัน…
—
การกลับมาอยู่คนเดียวทำให้ฉันมีสมาธิมากขึ้น ทว่าสมาธิของฉันกลับไม่ได้เพ่งไปที่การเรียนในคาบวิชาตอนบ่าย แต่กลับเพ่งไปที่ความไม่สบายใจของตัวเองจนกระทั่งเลิกเรียน
เรื่องของเซรินั้นยังพอทำเนา แม้ว่าปัญหาของเซรินั้นจะนับว่าเป็นปัญหาร้ายแรงที่อาจมีผลตัดสินต่อการเรียนของเธอในอนาคต แต่เรื่องนี้ต้นตอปัญหามาจากการจัดการภายในครอบครัว เป็นเรื่องที่พวกเราไม่สามารถเข้าไปยุ่งด้วยได้แม้อยากจะเข้าไปยุ่งก็ตาม แถมเจ้าตัวยังพูดอ้อมๆ เป็นเชิงว่าไม่อยากให้เข้าไปยุ่งด้วย ดังนั้นตอนนี้ฉันจึงทำได้แค่ถอยออกมาดูอยู่ห่างๆ
แตกต่างจากอีกปัญหาคาใจที่เป็นเรื่องใกล้ตัวกว่า เจ้าตัวต้นเหตุปัญหาก็ออกไปจากห้องตั้งแต่เลิกเรียน
ฉันคิดว่าเขาคงหลบเลี่ยงปัญหาและความวุ่นวายจากบรรดาคนที่เข้ามาหาเพราะว่าเจ้าตัวคือท็อปคนใหม่ของระดับชั้น
[‘ทำลงไปจริงๆ ซินะ…’]
แม้จะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเจ้าตัวเรียนเก่ง แต่ไม่คิดว่าจะทำได้ถึงขนาดนี้ ฉันเพิ่งจะนึกออกตอนนี้เองแหละว่าเมื่อก่อนเขาเคยพูดไว้ทำนองที่ว่าจะยูบิจังหรือนิโนะมิยะก็จะจัดการให้หมด
มาตอนนี้คำพูดที่เคยบอกกันด้วยท่าทางอวดดีเมื่อตอนนั้นไม่ใช่คำพูดเลื่อนลอยไร้สาระ แต่เป็นเพราะว่ามั่นใจว่าทำได้จริงจึงพูดแบบนั้น
แต่ว่าเรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น เรื่องที่ฉันคิดมากจนเก็บมากังวลทั้งบ่ายนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องผลการสอบ แต่เป็นเรื่องที่ฉันบังเอิญไปได้ยินมาเมื่อตอนพักกลางวัน
เพราะตอนนั้นจู่ๆ ยูบิจังก็เดินเข้ามาหา ทักทายและแสดงความยินดีกันเรื่องผลสอบเล็กน้อย ทุกอย่างดูแล้วก็เหมือนปกติจนกระทั่งเธอบอกว่ามีเรื่องอยากคุยกับอาคิยามะ
จากนั้นเธอก็เดินไปหาเขาเลย ได้ยินไม่ชัดว่าพูดคุยอะไรกัน เห็นเพียงอาคิยามะกับโฮตานิที่เดินตามยูบิจังออกไป
ความคิดวิ่งวนอยู่ในหัวว่าคุยอะไรกัน? ไม่ใช่เรื่องงานเหมือนทุกทีเหรอ? ทำไมถึงไม่มีฉันอยู่ด้วย? แต่ก็พาโฮตานิไปด้วยนินา? หรือว่าจะคุยเรื่องส่วนตัว? แต่จะส่วนตัวกันสามคนอ่ะนะ? ถ้างั้นแล้วพากันออกไปไหน?
ฉันนิ่งกินข้าวกลางวันอยู่กับความคิดหมุนวนราวๆ นั้น หมุนเวียนเปลี่ยนกันไปซ้ำๆ วนๆ จนไม่รับรู้รสชาติเท่าไร ไม่รับรู้แม้กระทั่งว่าเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ตรงหน้ากำลังทำหน้าเอือมระอาฉันอยู่
– “อิ่มแล้วกระมัง?” –
ตรงหน้ามีตะเกียบยื่นมาเคาะที่กล่องข้าวของตัวเอง เจ้าของมันคือเพื่อนสาวคนสนิทที่เอ่ยถามฉัน
ฉันมองหน้าเซริซึ่งตอนนี้ก็กำลังมองฉันอยู่ แล้วจึงก้มมองกล่องข้าวของตัวเองที่ตอนนี้เหลือแต่ข้าว
– [‘อ้าว กับข้าวล่ะ?’] –
– “วันนี้เธอไม่อยากกินข้าวหรือไงถึงได้กินแค่กับน่ะ” –
– “นั่นซิคะ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?” –
ตอบปฏิเสธอาโอะจังกับเมกุมิไปว่าไม่เป็นไร แต่ความรู้สึกอยากอาหารดันหายไปจริงๆ คิดว่าน่าจะอิ่มแล้วอย่างที่เซริว่า
ฉันปิดฝากล่องข้าว และดื่มน้ำตามเล็กน้อย รู้สึกว่าน้ำชาในขวดมันขมกว่าปกติจนต้องดูว่าขวดที่ซื้อมานี้มันใช่ยี่ห้อเดิมที่เคยดื่มหรือเปล่า
เซริ : – “ถ้าสงสัยทำไมไม่ตามไปดูล่ะ?” –
– [‘แทงใจดำกันจัง’] –
อามายะ : – “แบบนั้นมันออกจาก…” –
เมกุมิ : – “เธอก็เป็นซะแบบนี้ ไม่เห็นหรือไงว่าคุณทาเคโนะอุจิเริ่มลงมือแล้วน่ะ จะมามัววางใจเหมือนตอนปี 1 ไม่ได้หรอกนะ” –
อาโอะ : – “ใช่ค่ะ อาคิยามะคุงเริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะคะ ถ้าอามายะจังไม่ลงมือตั้งแต่ตอนนี้ อนาคตจะลำบากเอานะคะ?” –
อามายะ : – “ลำบาก?” –
เซริ : – “เธอไม่รู้จริงๆ เหรอ? ก่อนหน้านี้เจ้าหมอนของเธอก็เป็นที่พูดถึงในฐานะเด็กใหม่ที่กำราบนักเลงได้ด้วยตัวคนเดียว ต่อมาพวกเธอก็ยังไปปั้นเสริมเติมแต่งจนภาพลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปเป็นคนดีที่เป็นมิตรกับทุกคน บวกกับพลังการโฆษณาของประธานและรองประธานนักเรียนเข้าไปอีก…” –
– [‘มันก็ใช่แหละ แต่แค่นั้น…’] –
เซริ : – “ชื่อเสียงของอาคิยามะคุงตอนนี้น่ะไม่ได้น้อยไปกว่าพวกหนุ่มหน้าตาดีโปรไฟล์สูงคนอื่นๆ ในโรงเรียนเลย นี่ยังไม่รวมเรื่องที่เขามีผลการทดสอบสมรรถภาพระดับที่ดึงดูดทุกชมรมกีฬาในโรงเรียนอีก ถึงความนิยมจะยังไม่มากเท่าไรเพราะการแต่งเนื้อแต่งตัวของเขาตอนนี้ แต่เธอเชื่อฉันเถอะว่าหลังจากวันนี้เขาจะถูกประเมินใหม่อีกครั้ง และฉันกล้าพนันเลยว่าเขาจะเป็นที่นิยมไม่แพ้นิโนะมิยะ” –
น้ำเสียงและแววตาของเซริบอกว่าทั้งหมดที่เธอพูดมานั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แม้กระทั่งเมกุมิที่ไม่ค่อยจะถูกกับอาคิยามะนักยังพยักหน้าเห็นด้วย
อาโอะ : – “ไปเถอะค่ะ พวกเราเอาใจช่วย” –
นั่นแหละเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันตัดสินใจออกไปตามหาอาคิยามะ
เป็นสาเหตุให้ได้รู้ว่าโฮตานิแยกตัวออกมาซื้อขนมปังที่โรงอาหารคนเดียว
เป็นสาเหตุให้รู้ว่าอาคิยามะกับยูบิจังกำลังคุยกันอยู่ตามลำพังในสถานที่ลับปลอดสายตาคน
และเป็นสาเหตุให้ฉันได้ยินเรื่องราวระหว่างทั้งคู่เมื่อเดินมาถึงกำแพงพุ่มไม้อันเป็นสถานที่ที่โฮตานิบอกว่าเป็นฐานทัพลับ…
“อามายะจัง ตรงส่วนนี้ฉันว่าจะปรับจากปีที่แล้วนิดหน่อย เธอคิดว่าไง? อามายะจัง…?”
“อ๊ะ!? อ่ออ ขอโทษที เผลอคิดอะไรนิดหน่อย ตรงส่วนนี้เหรอ…”
ฉันตื่นจากภวังค์ด้วยความรู้สึกผิดที่เผลอคิดเรื่องไม่ดีอย่างการไปแอบฟังเรื่องของคนอื่น แล้วยังรู้สึกผิดขึ้นไปอีกที่ต้องปกปิดเรื่องนี้เอาไว้และแสร้งทำตัวเป็นปกติกับเพื่อนที่อยู่ตรงหน้า
ราวกับว่าฉันกำลังหลอกลวงเพื่อนของตัวเองอยู่เลย
“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า? ถ้ายังไงวันนี้เราพักกันก่อนมั้ย? นี่ก็เย็นมากแล้วด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก เหลือแค่ตรงนี้เองใช่มั้ยล่ะ ฉันไม่เป็นอะไรหรอก”
“งั้นรีบทำให้เสร็จแล้วรีบกลับกันเถอะ”
“นั่นซินะ”
การทำงานต่อจากนั้นเป็นไปอย่างราบรื่นและใช้เวลาไม่นานตามที่ตั้งใจไว้ ทว่าฉันก็ยังไม่สามารถสลัดความคิดแย่ๆ ออกไปจากหัวได้ แม้แต่ในตอนที่เดินกลับบ้านพร้อมยูบิจังตามปกติ แต่ตัวฉันในวันนี้กลับรู้สึกว่ามันไม่เหมือนเดิมอีก
[‘ยูบิจังตั้งใจปกปิดงั้นเหรอ? หรือแค่บังเอิญ? แล้วอาคิยามะล่ะ? หมอนั่นตั้งใจปกปิด? หรือแค่เห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะต้องบอก? หรือเห็นว่าไม่จำเป็นต้องบอกคนนอกอย่างฉัน?’]
ท่ามกลางบรรยากาศโพล้เพล้ที่แสงอาทิตย์ลับหายไปจนเกือบหมด ความมืดกำลังกลืนกินท้องฟ้าอย่างช้าๆ แต่ทว่าไร้ปรานี
แสงสว่างสุดท้ายทางด้านทิศตะวันตกดูราวกับกำลังดิ้นรนต่อสู้ด้วยแรงเฮือกสุดท้ายคล้ายต้องการอยู่ต่อ คล้ายไม่ต้องการหายไป คล้ายตัวฉัน…
…ไม่อยากเป็นคนที่ต้องถอยห่างและจางหาย ไม่ว่าจะในฐานะเพื่อนหรืออะไรก็ตาม
“อามายะจังจำเรื่องที่เราแข่งทดสอบสมรรถภาพได้มั้ย?”
[‘ที่ฉันแพ้น่ะเหรอ?’]
“จำได้ซิ เธอยังไม่ได้บอกเลยว่าจะขออะไร”
“อื้มมม ตอนนี้ฉันคิดได้แล้วว่าจะขออะไร”
คำพูดแค่นั้นก็ทำให้หัวใจฉันบีบตัวแน่น แน่นจนรู้สึกเหมือนตัวเองจะหายใจลำบาก
“ฉันขอเลยได้มั้ย?”
อึก… เกือบจะตอบกลับไปอย่างเป็นธรรมชาติไม่ได้
“งั้นเธออยากขออะไรล่ะ แต่บอกไว้ก่อนเลยนะว่าต้องเป็นเรื่องที่ฉันทำได้เท่านั้นนะ”
“ทำได้ซิ แต่ก่อนอื่นขอเช็กให้แน่ใจก่อน”
“แน่ใจ?”
เหมือนบทสนทนาจะนอกเรื่องออกไปจากแนวทางเดิม สร้างความแปลกใจขึ้นมาในความไม่สบายเล็กน้อย
“อามายะจังน่ะ ชอบอาคิยามะคุงใช่มั้ย?”
“ปะ…”
เกือบจะหลุดคำตอบที่เซตไว้ออกไปโดยปฏิกิริยาสะท้อนก่อนจะพบว่ายูบิจังนั้นจริงจังกับคำถามนี้เช่นไร
เป็นหญิงสาวที่จริงจังและงดงามยิ่งกว่าใครที่ฉันเคยเห็น มันทำให้ฉันรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีกหากจะเลี่ยงตอบหรือตอบแบบไม่จริงจัง
[‘แต่จะให้ตอบ…’]
หลายครั้ง ความเงียบก็ถือเป็นคำตอบได้เช่นกัน ระหว่างฉันกับยูบิจังในตอนนี้ยืนห่างกันเพียงแค่เอื้อมแขนถึง แต่ฉันรู้สึกราวกับกำลังยืนมองเธอจากที่ห่างไกล
“เธอชอบเอสจริงๆ ด้วย”
[‘เอส? อาคิยามะเหรอ? เรียกกันด้วยชื่อเล่นงั้นเหรอ?’]
รู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อยแต่ก็รู้ตัวได้ในทันทีและไม่เผลอแสดงมันออกมาให้อีกฝ่ายรู้ตัว
“ทำไมเธอถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”
“ฉันเคยบอกไปแล้วนิว่าพวกเราน่ะชอบอะไรเหมือนๆ กัน”
[‘ชอบเหมือนกัน… แบบนั้นเองเหรอ? แบบนั้นจริงๆ ซินะ?’]
ความรู้สึกที่ไม่รู้เรียกว่าอะไรค่อยๆ เอ่อล้นขึ้นมาจากในท้อง เหมือนมันจะไหลย้อนกลับขึ้นมาตามทางเดินอาหาร ไต่ขึ้นมาตามหลอดอาหารมาจุกแน่นที่หน้าอก ไต่ไล่ขึ้นมาถึงลำคอ
“งั้นยูบิจังก็ชอบอาคิยามะใช่มั้ย?”
“ใช่…”
อีกฝ่ายตอบแบบไม่ต้องคิดอะไรเลยราวกับว่ามันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติของร่างกาย
“…ชอบมาตั้งแต่ต้น…”
[‘ลงไป อย่าดันขึ้นมานะไอ้ความรู้สึกบ้า’]
“…ชอบมานาน…”
[‘มันอึดอัดนะ’]
“…แล้วก็ชอบแค่เขาคนเดียวมาตลอด”
อย่างกับตัวเองโกรธสุดขีดแล้วลมออกหู ฉันรู้สึกว่าในหูมันอื้อๆ อึงๆ แปลกๆ ความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ท่วมท้นอยู่เต็มออก รสเฝื่อนในปากเริ่มชัดเจน จนต้องพยายามข่มอารมณ์ตัวเองอย่างเต็มที่
[‘ชอบมาตั้งแต่ต้นเหรอ? ชอบมาตลอดงั้นเหรอ?’]
ความทรงจำในคืนวันเทศกาลดอกไม้ไฟค่อยๆ หวนกลับมา ภาพใบหน้าของอาคิยามะในยามนั้นยังคงติดตาแม้จะล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้
เขาที่เล่าเรื่องราวในอดีตนั้นช่างเปราะบาง เปราะบางราวกับจะแตกสลายได้ตลอดเวลา
“ถ้าชอบขนาดนั้นแล้วทิ้งเขาไปทำไม?”
สีหน้าตกใจของยูบิจังทำให้ฉันรู้ตัวว่าเผลอพูดความในใจของตัวเองออกไป
ยูบิจังมีท่าทางตกใจแต่ก็ไม่ได้แสดงออกอะไรที่ไม่ดีออกมา หลังจากยืนทำตาโตเพียงครู่หนึ่งแล้วจึงเริ่มอธิบายสิ่งที่เคยเกิดขึ้นให้ฉันฟัง
“ฉันไม่เคยคิดจะเลิกกับเอสนะ แต่เพราะตอนนั้นเกิดเรื่องหลายๆ อย่างทำให้เราเข้าใจกันผิด แต่ตอนนี้เราปรับความเข้าใจกันแล้ว”
[‘ปรับความเข้าใจ? อ่อ… แบบนั้นหรอกเหรอ?’]
ฉันเพิ่งรู้ว่าแค่คนคนนึงพูดคำว่าปรับความเข้าใจกันแล้วมันจะทำให้เราดิ่งได้ขนาดนี้ เล่นเอาสมองตื้อคิดอะไรไม่ออก
“คืนดีกันแล้ว?”
“อือออ”
“กลับมาคบกันเหมือนเดิมแล้ว?”
“ยังหรอก… ถึงเอสจะบอกว่าไม่ได้โกรธฉันแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมตกลงกลับมาคบกัน เขา… อืมม… แต่ยังไงฉันก็ไม่ยอมแพ้หรอก”
“งั้น… เรื่องที่จะขอคือให้ฉันเปิดทางให้งั้นเหรอ?”
[‘พูดไปแล้ว ฉันพูดเรื่องที่อาจทำลายความสัมพันธ์ของเราออกไปแล้ว แต่… ยูบิจังเริ่มก่อนเองนะ’]
ความคิดที่ว่าตัวเองอาจจะต้องเลือกระหว่างเพื่อนสนิทกับคนรักไม่เคยมีอยู่ในหัวของฉันมาก่อนจนถึงตอนนี้
ที่แท้มันก็ทรมานแบบนี้นี่เอง
MANGA DISCUSSION